7/20/10

Bookreview1 ฉลาด...ได้อีก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

         
                    วันนี้มีหนังสืออีกเล่มนึงจะมา reviewให้ดู อ่านแล้วรู้สึกทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆ
กับการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เพราะว่า ดร.วรภัทร์ ได้แนะนำว่าสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา
ไม่ว่าจะเป็นจากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน อะไรก็แล้วแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆให้เราสังเกตุสิ่งนั้น
ให้หัดดู หัดรู้ อยู่เพียงเท่านั้น อย่าด่วนตัดสินคนอื่น สิ่งอื่น ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามสัญญาเก่าของเราเอง ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น นะ อ่านได้อีก ฉลาดได้อีก

วิศวกรนาซ่า
ผู้เข้าถึงความรู้ใหม่
จะเปิดมุมมองชีวิต
ให้คุณรู้ว่า การใช้ชีวิตที่
ชาญฉลาด
เขาทำกันอย่างไร

 บทนำ

                         คนวางหมากบนกระดานชีวิต
     แต่ละย่างก้าวในชีวิตที่ไม่รู้แน่ว่าจะชักพาไปสู่ความสำเร็จหรือ
ล้มเหลว  ซึ่งเชื่อแน่ว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับมันแตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนปล่อยปละชีวิตตามโชคชะตา กลับมีบางคนมุ่งมั่นที่จะเดิน
ไปข้างหน้าให้ได้ตามเส้นทางที่ตนกำหนด

     ผมเป็นคนไทยที่โชคดีและมีคุณสมบัติอย่างที่องค์การวิจัยอวกาศนาซ่าต้องการและ
ตามหาอยู่ถึง3 ปี จึงจะพบและมอบทุนให้ผมเรียนจนจบดอกเตอร์ ตลอด 7 ปี ที่ทำงานอยู่กับนาซ่า หรือรวมแล้วเกือบ
10 ปี ที่อยู่อเมริกา ทำให้ผมได้สั่งสมประสบการ์ณมากมาย แต่ประสบการ์ณทั้งหมดนี้ไม่เท่ากับการได้พบ
พระพุทธศาสนาแม้นเพียงชั่วพริบตาเดียว

     ในวัยที่ย่าง51 ปี ของชีวิตผมตอนนี้ ผมได้วางแผนชีวิตไว้เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในด้าน
การวางแผนชีวิตและการเป็นนักลงทุนข้ามชาติ หมายถึง ข้ามชาติข้ามภพนะ

         วิธีคิดของผมไม่ค่อยเหมือนใครตั้งแต่เล็กแล้ว ผมชอบมองอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า
what if หรือ ถ้า

          ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะจะทำยังไง

          ผมจะมอง what if ตลอด มองความเป็นไปได้ มองทางแยก ผมคิดนะว่าเวลาเรายืน
อยู่หน้าประตู  แค่เลือกจะเลี้ยวซ้ายกับเลี้ยวขวา ชีวิตเราก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน ซึ่งในเมื่อทาง
เลือกเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ทำไมเราไม่เลือกวางแผนตั้งแต่ต้นว่าเราจะไปทางไหน

           หลังจากจบปริญญาตรีทางด้านเคมีเทคนิคจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ผมตัดสินใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยขอทางบ้านเฉพาะค่าเทอม ๆ แรก และเงินค่าตั๋วเครื่องบินก่อนจะไปตายเอาดาบหน้า ด้วยการหางานประเภทล้างจาน

          หรือแม้กระทั่งเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่ในนิวยอร์ก หาเงินส่งตัวเองเรียน โดยมีคุณปู่เป็นแรงบันดาลใจในยามผมลำบากว่า ขนาดคุณปู่หอบเสื่อผืนหมอนใบออกจากไหหลำมายังเมืองไทยแล้วก็สามารถเติบโตร่ำรวย
ขึ้นมาได้เลย เพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำได้ แต่ขอออกตัวว่าผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ไม่นาน ผมก็หาทุนเรียนฟรีได้จนจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมวัสดุศาสตร์

          ผมว่าผมไม่เก่งและโง่มาตั้งนาน ตอนอยู่จุฬา ฯ ผมได้เกรดแค่ 2.6เอง แต่พอไปอเมริกาแล้วผมไปจับหลัก learn how to learn หรือ วิธีเรียนรู้ เช่นเมื่อไปเจออาจารย์ที่พูดไม่เก่ง กลยุทธ์ที่ใช้ก็คือ สุดยอดพูดคือไม่ต้องพูด ในเมื่อเขาพูดไม่เก่ง เราก็ต้องตั้งคำถามเก่ง คือผมไปแหย่แก เข้าไปหาบ่อย ๆ เอาการบ้านไปถาม  ถามแกว่า อันนี้อะไร ๆ มันอยู่ที่การตั้งคำถามของเราต่างหาก และจะต้องขยันด้วยนะครับ

        ผมเรียนปริญญาโทอยู่ 2 ปี พอใกล้จบก็เกือบจะต้องเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยอยู่แล้วหากไม่ได้อาจารย์ที่ปรึกษา
ชาวอินเดียที่ทำให้ผมไปรู้จักองค์การด้านอวกาศที่ชื่อว่า นาซ่า

        เผอิญว่าที่นาซ่าเขาต้องการคนอย่างผมอยู่พอดี คือ
      หนึ่ง          จบปริญญาตรีวิศวกรเคมี
        สอง              ปริญญาโทด้านโลหะ
        สาม               มีความรู้ด้านชีววิทยา

         ซึ่งตอนเรียนปริญญาโทผมศึกษาเรื่องเหล็กดามในกระดูกคนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวคำนวณ
แรงต่าง ๆ อีกข้อคือต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนสาขามาเป็นวิศวกรเครื่องกล เขาจึงจะให้เรียนต่อเอกแนวประยุกต์ ผสมหลายศาสตร์แบบนี้

        ตอนกลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ไปเรียน เรียนดอกเตอร์อยู่ 7 ปี ที่เรียนนานเพราะเปลี่ยนสาขาเลยต้องปรับพื้นฐานเยอะ ต้องเรียนเซรามิคด้วย

         เขาเรียนผม จับฉ่ายวิศวกร
        
         เพราะคนที่จะเป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบอะไรใหม่ ๆ ได้คนนั้นต้องรู้วิศวกรครบทุกสาขา เขาต้องการคนที่รู้รอบพุง อย่างผมนี่ เขาหามา 3 ปีแล้ว สรุปแล้วผมได้งานที่นาซ่าเพราะฟลุก ไม่ใช่คนเก่งอย่างที่หลายท่านเข้าใจ

         การเป็นแค่นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำงานท่ามกลางคนระดับดอกเตอร์ในองค์การ
นาซ่า เป็นเรื่องกดดันสำหรับผม แต่ผมก็ฟันผ่ามาจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงที่ทำงานในนาซ่า 7 ปี ผมไปคว้ารางวัลจากงานวิจัยเรื่องการเคลือบเซรามิคลงใบพัดเครื่องยนต์ไอพ่นจึงทำกลายเป็น
ที่ยอมรับมากขึ้น

         ...แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย ด้วยเหตุผลที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่ชราลงทุกวัน อีกทั้งต้องการทดแทนพระคุณแผ่นดินอีกด้วย และผมไม่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นคนแก่เหงา ๆ

           ผมกลับมาอยู่เมืองไทยรายได้เปลี่ยนเลย ลดลงจากเดิมมากมาย แต่ผมคิดอย่างมุมานะว่า คนจน ๆ โง่ ๆ อย่างผมไปเหยียบอเมริการโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ภายใน 10 ปี ผมสามารถสร้างฐานะที่อเมริกาได้ ด้วยสมองอย่างผม อยู่เมืองไทยสิบปีผมก็ต้องมีได้

          ส่วนลู่ทางที่จะพาไปให้ถึงเป้าหมาย ผมวางไว้แล้วว่าจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์ก่อนอื่น
          เพราะผมมองอย่างนี้ว่า  ที่สูงเท่านั้นจึงจะเห็นรอบตัว เพราะฉะนั้นถ้าผมเข้าไปทำงานในโรงงานใดโรงงานหนึ่งเท่ากับผมเข้าหุบเขาไปเลย
ชีวิตผมอับเฉาทันที

          ยกตัวอย่างคุณไปโรงงาน A คุณก็ต้องไปอยู่กับเขาจันทร์ถึงเสาร์ คุณจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโรงงาน A แล้วคุณจะวุ่นวายเหมือนหนูเข้าไปปั่นอยู่ในถัง และเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนอายุ 40 กว่า คุณก็พบว่าคุณไปไหนไม่ได้ แล้วคุณก็กลายเป็นขี้ข้าให้แก่คนตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท อย่างนั้นคุณเสร็จเลย นี่เป็นความคิดส่วนตัวของผมในขณะนั้นนะครับ

          ดังนั้น ผมจึงเริ่มจากวางยุทธศาสตร์ชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายกลัยมาอยู่เมืองไทยด้วยการยอมรับเงินเดือน 7,000บาท สำหรับตำแหน่งอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ฯ

          จากนั้น ผมก็วางแผน วางการตลาดกับตนเองว่าทำยังไงคนอย่างผมจะได้เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตะกายดาวแต่ต้องตะกายดาวอย่างมียุทธศาสตร์

              ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าสันดานตัวเองเป็นอย่างไร

               จากนั้นผมนั่งเช็กคนในวงการที่ปรึกษา เช่น อาจารย์ที่ดัง ๆ ในประเทศไทยมีกี่คน คนไหนใกล้เกษียณ แล้วเขามีลูกศิษย์ไว้กี่คน ใครเก่งวิชาอะไรบ้าง วิชาใดกำลังสูญหาย ฯลฯ

              นั่นคือผมคำนวณแล้ว

               การวางแผนที่ชีวิตอย่างเป็นระบบ ประกอบกับความขยันใฝ่รู้ของผม ทำให้ผมก้าวหน้าไปอย่างดีและเป็นขั้นตอนตามแผนที่วาง

                พอวิชาคุณภาพ (Quality) กำลังจะบูม คนเก่งวิชานี้ในเมืองไทยเด่น ๆ มีไม่เกิน 5 คน แต่เนื่องจากตลาด(Market) มันใหญ่ทำไมเราไม่เป็นคนที่หก แล้วผมก็มานั่งดูจุดอ่อนของทั้ง 5 คน เขาเรียนจบทางด้านวิศวะอุตสาหการ ไม่รู้ทางด้านเคมี ไม่รู้ทางด้านเครื่องกล รอบรู้หลาย ๆ ศาสตร์สู้ผมไม่ได้ ในขณะเดียวกัน พอทำตรงนี้ได้ทำจนชำนาญและมีชื่อเสียงแน ผมจะทำแล้วก็อย่างประมาท เพราะศาสตร์ทางด้านบริหาร(Management) ตัวใหม่ ๆ มีมาเรื่อย ๆ

              ผมต้องคอยเปิดหูเปิดตา และคบผู้คนมากมายทั้งผู้ใหญ่และเด็กเสมอ อย่างเกมออนไลน์ เช่น Ranknarok ผมยังเล่นเลย ต้องอย่างสร้างแก๊ป (ช่องว่างระหว่างวัย) ซึ่งผมไม่เพียงเป็นนักเล่นเกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น สมัยก่อนหากมีเวลาว่างผมจะชอบเล่นบริดจ์ หมากรุก อ่านนิยายกำลังภายใน ศึกษาประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังคลั่งไคล้ในการดูฟุตบอลด้วย

              เวลาดูฟุตบอลผมไม่ได้เชียร์ข้างไหน ผมดูว่าถ้าผมเป็นโค้ชผมจะแก้เกมยังไง อย่าลืมนะนักยุทธศาสตร์ต้องดูเรื่องการแก้เกมเรื่อง Management ถ้าผมเป็น อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผมจะทำยังไงถ้าเป็นมูริญโญ่จะทำยังไง แล้วในนัดต่อไปผมจะทำยังไงต่อ ผมจะมองในแง่ Strategy

            นั่นเป็นการเปิดกว้างให้แก่ตัวเอง แล้วเพิ่มความฉลาดทางโลกให้แก่ตัวเองอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแง่นี้เกมกับชีวิตก็ไม่ต่างกัน ผมให้ความสำคัญอย่างมากกับการวางแผนว่าจทำอะไรต่อไป และผมมักจะมองอะไรข้ามช็อตเสมอ มองแบบนักวางแผนอนาคต (Futurist)

             เหมือนเวลาสอนลูกศิษย์ อาจารย์บางคนชอบด่าลูกศิษย์แหลกลาญ แต่ผมไม่ใช่นะ ผมไม่รังแกลูกศิษย์ ผมสอนเต็มที่และก็แทบจะรู้ก่อนสอบแล้วใครเกรด A เกรดB

               ใครที่ B ผมก็จะช่วยให้เขาได้ A ลองคิดดูสิว่าเขาจะรักคุณไหม แล้วเดี๋ยวพวกนี้ไปนั่งในบริษัทใหญ่ ๆ 15ปีผ่านไป ลูกศิษย์ผมตอนนี้ก็อายุ 35 อายุขนาดนี้จะไปอยู่ตำแหน่งไหนล่ะ คือเป็นตัวชงเรื่องแล้วไง กำลังเป็นผู้กุมอำนาจตัดสินใจว่าจะเชิญใครเป็นที่ปรึกษาคนพวกนี้แหละที่สามารถเปลี่ยน
สังคมไทยไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้อาจารย์จับหัวของพวกเขาให้อยู่

             จงให้ความรักก่อนให้ความรู้ แก่พวกเขา
 
               ในแต่ละจังหวัดชีวิตจะมองไปข้างหน้าในระยะ 5 ปี 10 ปีตลอด และสำหรับตอนนี้ผมมองยาวไปถึงบั้นปลายชีวิตทีเดียว โดยหาที่ทางให้ตัวเองเสร็จสรรพ ว่าผมจะไปอยู่วัด นี่เป็นคำตอบสุดท้าย

               ปณิธานของผมอยู่ที่นิพพาน ผมมองว่าไม่ต้องถึงกับจนแต่ก็ไม่ถึงกับรวย มีเวลาส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม เพราะการปฎิบัติธรรม เป็นการลงทุนข้ามชาติ นักวางกลยุทธ์อย่างผมมองข้ามช็อตเลย โลกหน้ามีไม่มีไม่รู้ แต่ในแง่ของการบริหารความเสี่ยง ถ้าเกิดมีแล้วไม่ทำอะไรเลย  ซวย  หรือถ้าไม่มีก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย  แต่โอกาสที่มันมี(กฏแห่งกรรม) มันสูงยิ่งมานั่งกรรมฐาน ความเชื่อมั่นผมร้อยเปอร์เซนต์เลยว่าชาติหน้ามีแน่นอน

               แม้จะวางแผนข้ามชาติข้ามภพไปแล้ว แต่เมื่อได้สัมผัสกับการปฏิบัติธรรม ผมยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับตอนนี้คือ  ความสุขและค้นพบความฉลาดที่ผมไม่เคยได้รับ แม้เดินทางไกลแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับท่องเที่ยวภายในใจของตัวเราเอง ผมยืนยัน
 
                  ทุกวันนี้ ผมยังคงไปทำงานตามบริษัทที่ผมให้คำปรึกษาตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์และนับไปถึง
วันเสาร์ในบางสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภาวนาและดูแลเว็บไซต์ managerroom.com ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นคือเวลาที่เขามอบให้กับครอบครัว โดยเฉพาะกับลูกสาวทั้งสองคนที่อยู่ในวัยร่าเริง

                    สำหรับความฉลาด ทุกคนสามารถเพิ่มพูนได้ตลอดเวลา แต่ความรู้หรือความฉลาดสูงสุด  คือ การที่เราฉลาดได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

                       จงก้าวออกจากไข่แดง  หรือโซนปลอดภัยของคุณ  กล้าคิดใหม่ ทำใหม่ กล้าค้นหาตนเอง กล้ารู้จักพฤติกรรมของตนเอง  กล้ารู้จักตัวแปร  ที่ทำให้เรา โลภ โกรธ หลง

                         สิ่งที่เราเชื่อมทั้งชีวิต อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะรับความเชื่อ ผิด ๆ โดยความกลัว และความติดใจ ความเชื่อต่าง ๆ จะได้รับการยืนยันว่า จริงหรือเท็จ ก็อยู่ที่เราจะต้องกล้าทำ กล้าพิสูจน์

                        มันไม่ง่ายนะครับ จากนักวิทยาศาสตร์ และไม่ใช่คนนับถือพุทธมาก่อนอย่างผมที่จะหันมาเป็นคนศึกษาศาสนาพุทธ  ผมต้องอาศัยความกล้า  ความขยัน ไม่ใช่อ่านเอง คิดเอง แต่เป็นการเดินจงกรม ฝึกสติ ในป่าช้า ฯลฯ

                        มีครูบาอาจารย์ที่เป็นสุดยอดครูจริง ๆ คือ  เปิดพื้นที่ ให้เรารู้เอง พบเอง ไม่ใช่ทำตามฉัน เชื่อฉัน คิดอย่างฉัน

                       ท้ายนี้ เราจะมาเปิดพื้นที่ให้แก่กัน เรียนรู้ แลกเปลี่ยน เข้าใจ สิ่งที่อยู่รอบตัว ยอมรับในความแตกต่าง

                      จากนี้ไป เราและสังคมทั้งหมดจะ ฉลาดได้อีก
.................................................................................................................................................................
วันนี้reviewเท่านี้ก่อน  แล้วจะหาหนังสือที่อ่านแล้วดีมาบอกต่อเพื่อน ๆกันอีกแน่นอน


     

     







6/29/10

อาถรรพ์แห่งผืนป่า


เรื่องจาก:Secret :อิสระชนคนเมืองเพชร
ภาพจาก: เวปไซต์
ผมเกิดและเติบโตที่เพชรบุรี ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาและทะเลมาตั้งแต่เด็ก ได้รู้ได้เห็นว่าธรรมชาติเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่มาโดยตลอด
ตอนเด็ก ๆ ผมได้อาศัยผักหญ้าจากป่าใกล้บ้านมาเลี้ยงชีวิต มีผักสารพัดชนิด ทั้งเห็ด หน่อไม้ ผักใบเขียวทั้งหลายที่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก เช่น ใบย่านาง ผักกูด
สำหรับผม ป่าเป็นเหมือนแหล่งอาหารที่ยิ่งใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใครก็ไม่อาจลบหลู่ ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าก่อนเดินทางเข้าป่าลึก พวกผู้ใหญ่จะจุดธูปแล้วปักลงไปบนสำรับกับข้าวที่มีข้าว แกง น้ำ หรือบางครั้งก็อาจมีเหล้าขาวด้วย เพื่อเป็นการเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องผืนป่า และเพื่อเป็นการขออนุญาติในกรเข้าไปยังถิ่นที่มีเจ้าป่าเจ้าเขาดูแล
แม้ป่าจะกว่างใหญ่เพียงใด แต่ก็ไม่อาจต้านทานการรุกรานของคุณไปได้ ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ในวันนี้หลายแห่งจึงกลายเป็นสนามกอล์ฟสถานที่พักผ่อนหย่อนในของคนยุคใหม่ ซึ่งพรากเอาทรัพยากรมากมายในโลกนี้ไป ทั้งผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์และพืชทั้งหลาย ที่สำคัญเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองทั้งน้ำทั้งไฟ
ผมไม่ได้ต่อต้านความเจริญ แต่ผมไม่ชอบความเจริญที่ทำลายธรรมชาติ เพราะต่อให้คนเก่งกาจกว่าสัตว์โลกชนิดอื่นแค่ไหน ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เราต้องยอมสยบให้คือธรรมชาติ และวันใดที่เราทำตัวอหังการต่อธรรมชาติ สิ่งที่ตามมามักรุนแรงเกินกว่าเราจะคาดคิด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอาจจับตามองการกระทำของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็เป็นได้ เพื่อรอให้ถึงวันที่เราเพลี่ยงพล้ำ จะได้ลงโทษอย่างสาสม
เมื่อเติบโตขึ้น ชีวิตของผมเริ่มห่างออกจากป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้าวปลาอาหารในยุคนี้แสนสะดวกสบายกว่าสมัยก่อนมาก แค่เดินเข้าไปในตลาดสดใกล้บ้านก็ได้อาหารตามที่ต้องการ
จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงฤดูฝน ผม..ในวัย 50ปลาย ๆ นึกสนุกอยากเข้าไปหาของป่าเหมือนสมัยวัยเด็กอีกครั้ง ผมเดินลัดเลาะชายป่าซึ่งอยู่ใกล้สนามกอล์ฟเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ ใจหนึ่งก็คิดว่าความเจริญคงทำให้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติหลงเหลืออยู่ในสถานที่นี้อีกแล้ว
แต่ผมคิดผิดถนัด...เพราะเหตุการ์ณประหลาดได้เกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้น
วันนั้น ผมตั้งใจเข้าไปเก็บเห็ดโคน เห็ดที่ใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่ามีรสชาติอร่อยเป็นที่สุด และช่วงหน้าฝนนี้แหละที่เห็ดชนิดนี้จะผุดขึ้นมาจากผืนดอนให้เราได้เก็บกิน และ...ขึ้นชื่อว่าของป่า ใครเห็นก่อนก็ต้องได้ก่อน ดังนั้น นอกจากผมแล้วจึงมีอีกหลายคนที่พยายามดั้นด้นเข้ามายังป่าแห่งนี้เพื่อเก็บเห็ดแสนอร่อยก่อนใคร
ก่อนเดินเข้าไปในป่า ผมลืมยกมือไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงจุดประสงค์ของการเข้ามาเสียสนิท ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในป่าเหมือนเป็นสถานที่ที่คุ้นชิน สายตาก็สอดส่ายไปตามพื้นดิน โดยเฉพาะพื้นดินที่มีลักษณะเหมือนจอมปลวก ซึ่งจะมีเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่มาก
ทันใดนั้น สายตาของผมก็ไปปะทะเข้ากับเห็ดโคนกลุ่มหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เห็ดกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 4ดอก ดอกหนึ่งบานแล้ว ส่วนอีก 3ดอกยังตูมอยู่ ขณะที่เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ผมรู้สึกเอะใจว่าทำไมเหมือนมีคนมาถอนดอกที่บายแล้วทิ้งไว้ แต่ไม่เก็บไป
แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมคิดนั่นเอง คำตอบก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า...
ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปเก็บดอกบานที่หล่นอยู่บนพื้นนั่นเอง ดอกตูมทั้งสามดอกที่อยู่ใกล้ ๆ ก็หายวับไปกับตา ราวกับว่าไม่เคยมีเห็ดทั้งสามดอกอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ใจผมเต้นตูมตามด้วยความหวาดกลัว ขนลุกซู่ไปทั้งตัว นึกถึงคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ว่าในป่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติมากมายทั้งเทพารักษ์ ภูติผีปิศาจ วิญญาณเร่ร่อน ฯลฯ คนสมัยก่อนจึงสอนลูกหลานว่า ตอนอยู่ในป่า เวลามีเสียงแปลก ๆ มาเรียกชื่อเรา อย่าขานรับเด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็นเสียงแห่งความตายที่จะมาพรากวิญญาณของเราออกไปจากร่าง
ตอนนั้นมือผมเย็นเฉียบ เหงื่อกาฬไหลชุ่มไปทั้งตัว สิ่งเดียวที่คิดออก คือทิ้งเห็ดที่อยู่ในมือลงกับพื้น พร้อมกับยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ปากก็พูดว่า "ลูกมาหาของป่าเท่านั้น ลูกขออภัยที่ไม่ได้บอกกล่าวท่าน ยกโทษให้ลูกด้วยเถอะ"
หลังจากนั้นผมก็ใส่เกียร์วิ่งสุดแรงเกิด ไม่คิดถึงอะไรอีก ขอเพียงอย่างเดียว ให้ออกจากผืนป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ในที่สุดผมก็มายืนหอบแฮก ๆ อยู่ใกล้สนามกอล์ฟ เมื่อรู้ตัวว่าออกมาพ้นแน่แล้ว ผมจึงหันไปมองผืนป่ารกทึบด้านหลังด้วย่ผมก็มาความหวาดกลัวและเริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้
ก่อนหน้าที่ผมจะพบเห็ดโคนกลุ่มนี้ น่าจะมีคนเดินเข้าไปหาของป่าเหมือนกันและพบมันก่อนแล้ว แต่คงจะทำได้แค่เพียงดึงเห็ดโคนขึ้นมาดอกเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นคงประสบพบเห็นสิ่งเดียวกับผม
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ผมกลับไปยังป่าแห่งนั้นอีกครั้งพร้อมเพื่อนสนิท และพบว่ามีศาลเพียงตาเล็ก ๆอยู่ด้วย ซึ่งหมายถึงว่าที่แห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา การที่ผมถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวจึงได้รับการตักเตือนอย่างที่เห็น
บางครั้งความเจริญที่อยู่รายรอบตัวเรา รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ อาจทำให้เราหลงเข้าใจไปว่า บนโลกนี้ไม่มีใคร "ใหญ่" เท่ามนุษย์ แต่ความจริงแล้วเรา "เล็กนิดเดียว" เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ถึงวันนี้ แม้ใครจะไม่สนใจฟังเสียงเตือนจากธรรมชาติ แต่ผมคนหนึ่งละที่เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใครและผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงนั้นมักไม่แสดงตัวให้เห็น คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามสักวัน คุณอาจได้พบคำตอบด้วยตัวคุณเอง...เช่นเดียวกับที่ผมได้พบมาแล้ว

1/12/10

must read:ความเรียบง่ายไร้กาลเวลา

กุฏิของข้าอยู่กลางป่าลึก
เถาวัลย์สีเขียวงอกยาวขึ้นทุกปี
ไม่มีข่าวคราวของผู้คน
จะมีบ้างก็แต่เสียงเพลงของคนตัดไม้
เมื่อตะวันฉายข้าชุนจีวร
อ่านกลอนพุทธศาสนาครามีแสงจันทร์
ข้าไม่มีอะไรจะบอกหรอกเพื่อนรัก
หากท่านต้องการพบความหมาย
จงอย่าวิ่งไล่ตามสิ่งทั้งหลายให้มากนัก
"ท่านเรียวกัน"





จงกลับไปสู่ปฐมฐาน และจำไว้ว่าสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีจริง ๆ ก็คือ
หลังคาคุ้มหัว มีอาหารอยู่บนโต๊ะ เวลาที่เหลือจึงน่าจะทำให้ชีวิตร่าเริง
เบิกบาน ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้สร้างสรรค์สิ่งที่เราชอบ ซึ่งไม่มี
อันตรายต่อโลก หากแต่ได้ให้บางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายแก่โลก
"อีแลน เซ็นต์ เจมส์"




เมื่อข้าพเจ้าออกมาที่ชนบท นั่งอยู่ท่ามกลางป่าและหมู่ไม้ไร้เสียงจำนรรจ์
บนโขดเขา มีเวลาเป็นของตัวเองอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าตัดสินใจที่จะใช้
เวลาทั้งหมดเพื่อแสวงหาความสุข ไม่ว่าจะต้องลงทุนไปสักเท่าไหร่...
ข้าพเจ้าแน่วแน่ถึงขนาดเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยเงินเพียงสิบปอนด์ต่อปี
สวมเสื้อหนังสัตว์ กินแต่ขนมปังกับน้ำ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีเวลาทั้งหมด
เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าจะใช้เงินนับพัน ๆ ปอนด์ต่อปีกับชีวิต
ในคฤหาสน หมดเวลาและแรงงานไปกับการดูแลรักษา
"โทมัส ทราเฮิร์น"