9/13/10

นิพพานนอกวัด (ตอน1)

ที่มาหนังสือ: นิพพานนอกวัด/ผู้แต่ง:พระอาจารย์วิเชียร วชิรปัญโญ
       วันนี้มีหนังสือมาแนะนำอีกเช่นเคย คิดว่าสำหรับผู้ที่ยังทำงาน มีครอบครัวที่
ยังต้องดูแล ก็สามารถรักษาจิตใจหรือบวชใจอยู่ที่บ้านได้ อ่านแล้วเป็นอะไรที่
รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันไม่ได้ยุ่งยาก ต้องเข้าไปนั่งสมาธิหรือสวดมนต์
ที่วัดอย่างเดียวสามารถทำได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้เพราะเราทำมาจากใจ
จะยกตัวอย่างการปฏิบัติอยู่ที่บ้านตามในหนังสือมาให้อ่านกันสักหนึ่งเรื่องค่ะ
 icon_mini1137
ไม่ได้นั่งสมาธิเดินจงกรมแล้วจะไปนิพพานได้หรือไม่
     รูปแบบแห่งการปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่จุดแห่งการหมดจากกรรมนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยรูปแบบมากนัก เพราะในสมัยนี้คนเราก็จะยึดติด
ยึดถือกับรูปแบบของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดิน
จงกรม อยู่เป็นกิจประจำทุกวัน เรียกว่าทำเป็นกิจของตน บางคนก็ทำ
ตามหน้าที่ บางคนทำเพราะถูกบังคับ เช่นกลัวว่าหากไม่สวดมนต์แล้ว
เดี๋ยวบารมีจะไม่เต็ม ไม่นั่งสมาธิแล้วจิตจะไม่สงบ นี้คือรูปแบบที่เราได้
เห็นกันชัดเจน และเป็นตัวแบ่งให้ผู้ที่ปฏิบัติตามที่กิจวางไว้สมบูรณ์มีใจ
ที่มุ่งหวังได้
     แต่สำหรับท่านที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์ได้ ก็จะมา
กล่าวโทษตนเองและกดตนเองให้ต่ำลง บางท่านก็อ้างว่าไม่มีเวลา
ที่จะสวดมนต์ ไม่มีเวลาที่จะนั่งสมาธิ ไม่มีเวลาเดินจงกรม เราก็คง
ไปสู่นิพพานไม่ได้ กำลังใจก็พลอยหมดถดถอยลงไป ก็ไปกล่าวโทษว่า
เราคงไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ปฏิบัติ เรามีกรรมมากก็เลยทำความดีได้
ลำบาก บางท่านมีสามีภรรยา สามีบางท่านชอบการปฏิบัติสวดมนต์
ไหว้พระ แต่ภรรยาไม่ชอบการปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระ
     ก็เลยรู้สึกว่าจะมีการขัดกันในความรู้สึกของผู้ที่จะปฏิบัติ เช่นบางวัน
สามีเอาแต่สวดมนต์ ภรรยาก็เอาแต่ดูละคร ไม่สนใจในการปฏิบัติ
หรือบางท่านอาจจะหนักถึงขนาดทำประชดประชันกัน บางท่านก็ว่า
ถ้าชอบปฏิบัติธรรมนัก ก็ไปบวชเสียเถอะ หรือภรรยาบางท่านสามีก็จะ
พูดในเชิงประชดประชันว่า แล้วเมื่อไหร่แม่ชีจะไปวัด เรียกว่ามีการ
ขัดขวางในการทำความดี บางท่านก็เลยท้อใจว่าตนเองก็หมั่นทำความ
ดีและปฏิบัติตามระเบียบแล้ว แต่ทำไมคนใกล้ตัวถึงกลับมีอคติกับเราด้วย
     บางท่านก็เลยเลิกการปฏิบัติ เพราะไม่สามารถที่จะปรับสภาพเข้ากับ
สถานะความเป็นอยู่ปัจจุบัน ดังที่เราจะได้ยินผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
กล่าวว่า โลกกับธรรมนั้น ไม่สามารถที่จะไปด้วยกันได้ เราต้องเลือก
อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเราจะไปสู่ธรรม เราต้องละความเป็นโลก เรา
ถึงจะไปในทางธรรมได้ ต้องละจากการเป็นอยู่อย่างโลก ต้องเลิก
การพบปะสังสรรค์ ต้องเลิกการมีครอบครัว ต้องเลิกการดำเนินกิจการ
ฝ่ายของโลกให้หมด เรียกว่าต้องกำจัดบ่วงทางโลกให้หมดเสียก่อน
ต้องสละสิ่งนั่นสิ่งนี้ให้ตนเองเป็นผู้ไม่มีภาระทางโลกแล้ว เราก็จะไป
สู่นิพพานได้ง่าย
     ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมมีมาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสมัยปัจจุบัน
นี้ก็ตาม เพราะว่าคนเราทั้งหลายไปติดในรูปแบบแห่งกายมากเกินไป
จะทำอะไรก็กลัวศีลจะขาด กลัวจะเป็นบาป กลัวจะไปนิพพานไม่ได้
หากศีลเราไม่ครบ บางคนก็เลยไม่กล้าที่จะเดินตามทางมรรคผลนิพพาน
ได้ เพราะไม่สามารถที่จะรักษาศีลให้ครบอยู่ได้ เมื่อศีลไม่ครบไม่บริสุทธิ์
การไปนิพพานนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน นี้คือความหลงผิดและเข้าในฝ่าย
ที่เป็นความเข้าใจตามตำราและการว่ากล่าวสืบทอดต่อๆกันมา
     การเข้าใจที่ถูกต้องตามแบบแห่งการเข้าถึงซึ่งหนทางแห่งอริยชน
นั้นดังที่กล่าวมาแล้วว่าต้องสละและละกิเลสเครื่องมัวเมาทั้ง 3 ข้อให้ได้
ซึ่งในคุณธรรม 3 ข้อนั่น ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราจะต้องรักษาศีลของเรา
ให้สมบูรณ์บริสุทธิ์ หรือท่านก็ไม่บอกว่าเราต้องนั่งสมาธิทุกวัน เราต้อง
สวดมนต์ทุกวันหรือเราต้องเดินจงกรมให้ครบเป็นประจำทุกวัน เรียกว่า
ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราต้องประกอบกิจเหล่านี้ให้ครบสมบูรณ์ถึงจะไปสู่
นิพพานได้
     หรือท่านก็ไม่ได้กล่าวว่า หากเธอจะไปสู่อริยชน เบื้องต้นนั้น เธอ
ต้องบวชเป็นพระสงฆ์เป็นภิกษุณี หรือจะต้องมาอยู่วัดถึงจะได้ไป ในการ
ละกิเลสทั้ง 3 ข้อนั้น ท่านกล่าวเพียงให้เราทั้งหลาย ฝึกลดละความยึดติด
ยึดถือในเรื่องของสภาวะจิตเท่านั้น เช่นการไม่ยึดติดในกายของตน
ไม่ลังเลสงสัยในความเป็นอริยชน และไม่ยึดติดในความดีที่เราได้กระทำ
ซึ่งในคุณธรรมทั้ง 3 ข้อจะเห็นได้ชัดว่าท่านเน้นให้เราปฏิบัติที่จิต
ของเรา ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใดก็ตาม ให้เรามีสติและปัญญาตามดู
ตามรู้ความเป็นไปแห่งอารมณ์ของตนเอง
     คนเรานั้นหากสามารถที่จะยับยั้งอารมณ์ของตนได้ กายวาจาก็ไม่มี
ความสำคัญแต่อย่างใด เพราะเหตุว่าเราได้ไปดับต้นก่อให้เกิดกิเลส
ได้แล้ว เมื่อจิตเราหยุดกิเลสและทำลายความยึดติดในใจของเราแล้ว
การปฏิบัติทางกายก็ถือว่าเป็นเรื่องรองลงไป บางท่านเอาแต่นั่งสมาธิ
จิตก็แน่แน่วในอารมณ์แห่งความสงบในขณะที่นั่งสมาธิ มีความสงบ
เยือกเย็น สบายและมีความสุขมาก ๆ แต่พอออกจากนั่งสมาธิแล้วก็กลับ
มาสู่สภาวะเดิม ๆ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นคนขี้โมโห ก็ยังคงโมโหเหมือนเดิม
     การปฏิบัติเช่นนี้ ถือว่าเป็นเหมือนเอาหินไปทับหญ้าเอาไว้ พอเรายก
หินออกมา เดี๋ยวหญ้าก็กลับมางอกงามเหมือนเดิม พอเวลามีความโกรธ
ความเห็นยึดถือในตัวตนว่าเป็นของเรา ก็จะมานั่งหลับตากำหนดสมาธิ
ถึงจะระงับอารมณ์ได้ คิดดูเถิดหากว่าเราจะเอาแต่นั่งสมาธิเพื่อระงับ
อารมณ์ของตน แล้วจะทันต่อเหตุการ์ณหรือไม่ จึงเห็นได้ว่า การนั่งสมาธิ
ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติแต่ไม่ใช่แนวทางทั้งหมด แนวทางที่จริง
ก็คือรู้ทันจิตของตนเอง ให้เรารู้เท่าทันจิตตนเอง แล้วเราจะควบคุมใจของ
เราได้ เมื่อเราคุมใจเราได้ ร่างกายและวาจาก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักสำคัญอีกต่อไป
     เหมือนกับเราหิวข้าว อยากรับประทานอาหาร หากเราคิดและมั่นหมาย
เข้าใจแต่ว่าที่ ๆ เราจะรับประทานอาหารได้ ก็คือที่โรงครัวของบ้านเราเท่านั้น
ที่อื่นรับประทานไม่ได้ มันไม่ถูกที่ ประเภทอย่างนี้เราก็คงจะหิวข้าวตายก่อนที่
เราจะกลับมาถึงโรงครัวของบ้าน อาหารอยู่ริมทางมากมาย ส่วนอาหารก็มี
เยอะแยะ เวลาเราหิวแล้วเราก็เลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารสั่งอาหารมา
รับประทาน เราก็คลายจากทุกข์เวทนา คือคลายจากความทุกข์ที่เป็นความหิว
เราก็รู้สึกอิ่มและมีกำลังวังชาในการที่จะประกอบการงานต่อไปได้
     แต่หากว่าเราคิดและเจาะจงแต่ว่า เราจะปฏิบัติธรรมได้เราต้องนั่งสมาธิ
สมาทานศีล นุ่งขาวห่มขาวเท่านั้นจึงจะปฏิบัติธรรมได้ ถึงจะไปนิพพานได้
คิดดูเถิดว่เราจะทันต่อกิเลสที่มันเกิดขึ้นมาหรือไม่ จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่
เราต้องมาปฏิบัติที่ใจของตน เมื่อมีสิ่งใดมากระทบกับจิตใจของเรา เราเองต้อง
รู้ให้ทันกับอารมณ์ของตนเอง และให้ละอารมณ์เหล่านั้นออกไป อารมณ์ทั้ง
ที่ดีและไม่ดี เขาย่อมวางไว้ในส่วนของเขานั่นเอง โดยที่จิตไม่ไปยึดเอา
     เรียกว่า เมื่อกิเลสหรืออารมณ์เกิดขึ้นคราวใดนั้นแหละคือหน้าที่ของผู้
ปฏิบัติ จะต้องดำเนินการเฝ้าดูอารมณ์ คราวนี้อารมณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้
โดยไม่เลือกสถานที่วันเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะไปตามให้ทันอารมณ์นั้น ๆ
เมื่อเขามาแบบไม่มีเวลาและสถานที่ เราเองก็ต้องเตรียมพร้อมโดยไม่เกี่ยง
สถานที่ วันเวลา เรียกว่าเกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น ยึดตรงไหนก็วางตรงนั้น
โดยไม่ต้องรอให้เราเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ต้องรอให้เรานั่งสมาธิกำหนดเสีย
ก่อน หากเรามัวแต่เตรียมตัวแต่งตัวนานเกินไป กิเลสอารมณ์ย่อมกินเราไป
เรียบร้อยแล้ว
uy179 ยังไม่จบนะคะแล้วเรามาต่อกันตอนที่2 ในคราวหน้าจ้ะ

9/10/10

campaign รณรงค์ต่อต้านการฆ่าตัวตาย

ทุกชีวิตที่เกิดมามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า  ทุกข์ทางกาย   คือการเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย
ทุกข์ทางจิต   สาเหตุเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น   ความอยาก   ความโลภ   ความโกรธ   ความหลง   การดับทุกข์ที่แท้จริง  ต้องดับทุกข์ทางจิต  ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กันเถอะค่ะ  ชีวิตของเรา ( จิต )  จึงจะพบความสงบสุขที่แท้จริง
 

♣ ฆ่าตัวตาย ♣ 

9/9/10

ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ

ที่มาของบทความ: ธรรมะใกล้ตัว
หมอพีร์
มกราคม ๒๕๕๐

ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ
วันนี้มีลูกค้าเก่าโทรมานัด บอกว่าจะพาคุณยายมาดูดวง
พอถึงเวลาที่นัดไว้ซึ่งเป็นคิวแรกพอดี ก็เดินเข้ามาในห้อง
ดูหน้าตาแล้ว ไม่เหมือนเป็นคุณยายอย่างที่บอกไว้
เหมือนเป็นคุณแม่มากกว่าคุณยายอีก หน้าตายังดูไม่แก่ ผิวพรรณก็ยังไม่เหี่ยวมาก
สวัสดีทักทายเสร็จก็เชิญนั่ง ถาม วันที่ เดือน พ.ศ. ที่เกิด
พอได้เห็น พ.ศ. เกิด และคำนวณออกมา ต้องเรียกว่าคุณยายจริง ๆ
เพราะปีนี้อายุแปดสิบแล้ว ซึ่งก็ถือว่าอายุยืนมากสำหรับคนสมัยนี้
โดยปรกติลูกค้าที่มาดูดวงส่วนใหญ่ อายุไม่ค่อยจะเกินหกสิบเท่าไหร่
ถ้าวันไหนที่มีลูกค้าอายุขึ้นเลขแปดมาดู จะทำให้ฉันได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ
มาช่วยลูกค้าที่ยังอายุน้อย ๆ ว่าจะทำอย่างไร จึงจะผ่านดวงเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ได้
โดยดวงคุณยายบอกอยู่แล้วว่า เป็นคนชอบทำบุญทำทาน
จึงทำให้ดวงเรื่องการเงินหายนะไม่เป็นไปตามดวง
และส่วนใหญ่คุณยายมักจะเก็บเงินเป็นทรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน
ไม่ค่อยได้เก็บเป็นเงินสดไว้
ซึ่งตอนต้นชีวิต คุณยายก็ไม่ได้เก็บเงินเป็นอสังหาริมทรัพย์
แต่เพราะเป็นคนใจอ่อน อดใจที่จะให้คนยืมเงินไม่ได้ และพอให้เงินคนอื่นยืม
ก็มักจะไม่เคยได้คืนสักครั้งเลย เลยตัดสินใจเก็บเป็นทรัพย์สินไว้
มนุษย์เราพอกรรมเล่นงานเรื่อย ๆ กรรมเบาลง ก็ทำให้เกิดปัญญาคิดได้
เช่น คุณยายโดนโกงไปหลายครั้ง จนกรรมเบาลง
พอถึงเวลาที่คิวของบุญให้ผล ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ว่า
ต้องเก็บเงินไว้ในรูปแบบอื่น
บวกผลของบุญที่ได้ทำตลอด ก็จะทำให้หาเงินสดมาผ่อนที่ดินได้หมด
การที่จะมีฐานะที่มั่นคงไม่เดือดร้อนทางด้านการเงินนั้น
ไม่ได้เกิดจากผลแห่งบุญแต่เพียงอย่างเดียว
ต้องอยู่ที่ความขยันที่จะทำให้ทรัพย์สินเพิ่ม
ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินรายได้ของตัวเอง ไม่ยุ่งกับการพนันทุกชนิด
ไม่ติดสุรา ไม่คบเพื่อนที่เที่ยวมากเกินไป
วันนี้คุณยายมาดูเรื่องของการขายที่ดิน ว่าจะขายได้ไหม
ซึ่งคุณยายคิดที่จะขายที่ดิน เพราะอยากจะได้เงินสดมาเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนอยากจะเก็บไว้ทำบุญตามที่อยากจะทำ
ดวงคุณยายมีดวงขายที่ดิน จึงบอกว่ามีเกณฑ์ขายได้
ส่วนเรื่องสุขภาพ ตามดวงตัวเลขในตำราหมอดู จะมีเกณฑ์อายุสั้น
แต่คุณยายเหนือดวงด้วยการทำกรรมดีมาตลอด
จึงทำให้ดวงไม่เดินตามดวงตัวเลข
คุณยายมักจะได้ทำบุญ กับผู้ป่วยโรงพยาบาลอยู่เสมอ
ปล่อยสัตว์อยู่เรื่อย ๆ และยังได้ทำบุญด้านอื่นที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย
ความเจ็บป่วยของมนุษย์ ตามกำลังที่จะทำได้
บวกกับการที่ คุณยายโชคดีมีบุญเก่าหนุน
ทำให้เกิดในครอบครัวที่สอนให้รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์เพิ่ม
ทำบุญสร้างกุศล และภาวนา
ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยพลอยทำให้ดูเป็นคนแก่ที่ไม่ขี้บ่น ไม่แก่เร็ว
กรรมที่จะหนัก ก็เลยกลายเป็นเบา หรือเวลาที่โดนกรรมเล่นงาน ก็หนีได้ทัน
แถมยังเป็นคนไม่ค่อยคิดมาก ไม่หลงไม่ลืมอะไรง่าย
ภาษาอังกฤษที่เคยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมา ยังพูดได้ดีอยู่เลย
ด้วยเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลที่คุณยายได้ทำไป
จึงทำให้คุณยายเป็นคนอายุยืนเหนือดวง ไม่มีราหูที่จะครอบดวงได้
ไม่จนไม่ตกอับเรื่องของการเงิน เพราะผลแห่งทานที่ได้ทำมาตลอด
ไม่เป็นคนแก่ที่หลงขี้ลืมอะไรง่าย มีความจำดี
มีเหตุและผลไม่ขี้บ่นจนทำให้ลูกหลานเบื่อหน่าย
เพราะปฏิบัติภาวนา ขัดเกลากิเลส แถมยังฉลาดทันโลกอีกด้วย
แต่ในใจลึก ๆ เหมือนยังมีห่วงอยู่ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นทุกข์มาก
ก็คิดว่าคงห่วงลูกห่วงหลาน ก็ได้ถามว่าคุณยายมีอะไรสงสัยถามได้นะคะ
คุณยายก็ถามว่าแล้วคุณแม่และคุณน้า จะอยู่ได้อีกนานไหมคะ
ฉันตกใจกับคำถามเล็กน้อย คิดในใจว่าคุณยายอายุแปดสิบแล้ว
คุณแม่และคุณน้า ของคุณยายจะอายุเท่าไหร่กัน
คุณยายให้ดวงมาคำนวณ คุณแม่อายุ ๑๐๒ ปี คุณน้าอายุ ๘๖ ปี
ปฏิทินร้อยปีเปิดง่ายมาก อยู่ตอนต้นเล่มพอดี
ตั้งแต่ดูดวงมานี่เป็นครั้งแรก ที่มีโอกาสได้ดูดวงคนอายุเป็นร้อย
ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกมากเหมือนกัน ที่ดวงทั้งสามคน
คุณยาย คุณแม่ คุณน้ามีดวงอายุสั้น แต่ไม่เห็นมีใครสั้นซักคนเลย
ทุกคนอายุเกินมาตรฐาน ๗๕ ปีหมดเลย
ก็เตือนไปว่าใครต้องระวังอะไร ตอนอายุเท่าไหร่
บอกกับคุณยายว่า บ้านคุณยายเหนือดวงกันทั้งบ้าน
ทั้ง ๆ ที่ดวงอายุสั้น แต่ไม่สั้นกันทั้งบ้าน
เป็นเพราะผลของกรรมดีที่ทำกันทั้งบ้าน ทำให้อายุยืน
คุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เคยเป็นมะเร็ง ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
คุณหมอที่รักษาให้ตอนนี้เกษียณกันหมดแล้ว หมอตายก่อนคุณยายก็มี
จนตอนนี้คุณแม่ของคุณยายอายุ ๑๐๒ ปีแล้ว มะเร็งหายแล้ว
และได้เล่าอีกว่าคุณแม่ชอบทำบุญมาก
ตอนสมัยที่มีสงครามโลก พระที่วัดไม่มีข้าวจะฉัน
คุณแม่เป็นแม่งานใหญ่ทำกับข้าวเลี้ยงพระทั้งวัด
และแจกคนแถวนั้น ตลอดระยะเวลาที่มีสงคราม
คุณแม่คิดจะบวชตลอดชีวิต ก็ได้ไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมแล้ว
แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องออกมาช่วยลูกสาวเลี้ยงหลาน เพราะไม่มีใครช่วยเลี้ยง
คุณน้ายังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วทำงานบ้านได้อยู่เลย
ถึงแม้จะมีโรคร้ายเบียดเบียน ผลแห่งกุศลที่ทำไป ก็จะทำให้เจอหมอที่เก่ง
ไม่สะเพร่า กินยาไม่ดื้อยา ไม่แพ้ยา สามารถรักษาให้หายได้
และที่สำคัญ ผลแห่งการภาวนาทำให้ไม่กลัวตายมากจนจิตใจหดหู่
และเป็นทุกข์เพราะความกลัว “ความตาย”
ความเป็นจริงมนุษย์เราเกิดมาก็ต้องตาย
แต่อยู่ที่ใครจะไปช้าหรือไปเร็วกว่ากันแค่นั้นเอง
หลายคนที่เคยไปดูหมอมักจะโดนทักว่าดวงกำลังจะถึงฆาต
หรือต้องตายอายุเท่านั้นเท่านี้ กำหนดอายุมาให้พร้อมเลย
คนที่จิตอ่อนคิดมากไปดูหมออาจจะอายุสั้น
เพราะคำทำนายของหมอดู ทำให้คิดมากนี่แหละค่ะ
การที่ดวงออกมาเป็นดวงอายุสั้น หรือดวงที่มีเคราะห์นั้น
เกิดจากกรรมเก่าที่เคยฆ่าสัตว์ ทำให้ต้องมาเกิดในฤกษ์เกิดที่มีเคราะห์
และอายุสั้น แต่ถ้าทำกรรมดีใหม่ ๆ ก็จะเป็นตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนดวงได้
หรือว่าใครมีโรคร้ายอยู่เพราะกรรมเก่าเป็นเหตุ
ทำให้มีอายุอยู่ได้อีกไม่นาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้
ลองมาเปลี่ยนเส้นทางออกจาก นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต
ไปสู่เส้นทางที่จะไปสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นมนุษย์ กันดีกว่า
เริ่มจากการสำรวจว่า ได้ทำกรรมหนักอะไรไหมในชีวิตที่ผ่านมา
โดยใช้ศีลห้าเป็นหลักในการตัดสิน
พอพบแล้วว่าได้ทำผิดไป ก็สำนึกผิดในกรรมที่ทำไป
ตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก และไม่ต้องสำนึกผิดบ่อยเกินไป
ถ้าเราสำนึกผิดบ่อยมากเกิน
มันจะเป็นตัวเชื่อมโยงกรรมเก่า ๆ ที่ทำมาเล่นงานตัวเราเร็วขึ้น
ถ้าเคยทำกรรมกับพ่อกับแม่ไว้ ก็ไปกราบขอให้ท่านอโหสิกรรมให้
และก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน ใช้บทสวดสั้น ๆ ก็ได้
เพื่อที่จะได้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เป็นพึ่งทางใจให้อบอุ่น
เพราะไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ในตอนนั้น และก็แผ่เมตตา
เวลาที่โกรธใครก็พยายามให้อภัย
ถ้าช่วงไหนใจมันไม่ยอมให้อภัยง่าย ๆ ก็ค่อยสอนบอกต่อว่า
ไหน ๆ ก็จะไม่อยู่แล้ว ให้อภัยไปเถอะ
เวลาดูข่าว ได้ยินเรื่องสะเทือนใจ ก็แผ่เมตตา
และก็บอกตัวเองว่า “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”
จิตใจจะได้ไม่ทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น
จิตที่เกิดความโกรธ
จะเป็นหนทางไปนรก

และพอร่างกายไม่สบายจิตใจก็จะหดหู่ คิดมาก
พยายามเดินจงกรม ให้มีสติ (ถ้าเดินไหว)
หรือไม่ไหวก็เคาะให้รู้สึกตัว ขยับไม้ขยับมือ
ง่ายสุด ดูลมหายใจตัวเองเพื่อดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันเรื่อย ๆ
จิตใจจะได้มีความสุขกับปัจจุบัน
จิตที่คิดมากฟุ้งซ่าน หดหู่
จะพาให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

พยายามสละทานเล็กน้อยอยู่เรื่อย ๆ
สมบัติอะไรที่รักมากหวงมาก ก็ลองพยายามสละออกให้คนที่เขาไม่มีโอกาส
เพื่อละความตระหนี่ จิตใจจะได้ไม่หวงสมบัติ
จิตที่มีแต่ความโลภ หวงสมบัติ
จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ภพภูมิของเปรต
อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้
อนาคตอยู่ที่ปัจจุบัน
การกระทำในปัจจุบัน เป็นเครื่องกำหนดอนาคตของเรา