ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!!
เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา
เพื่อไปส่องสว่างยังคำตอบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั่นเอง
การดึงความคิดให้รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ความคิดมีพลังจดจ่ออยู่กับ
เป้าหมาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเขียนสิ่งที่ต้องการลงในกระดาษทุก ๆ สิบนาที จดจ้อง
มองสิ่งที่เขียน กลั้นลมหายใจระหว่างจับจ้องข้อความนั้น
อาจมีคำถามว่า หากเป็นเช่นนั้น มิต้องเขียนทั้งวันหรอกหรือ คำตอบคือ ใช่!!!เพราะ
นีคือการสร้างความคิดที่จดจ่อ
อย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า สาเหตุที่เราเป็นคนเดิมที่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชา
มิใช่ว่าเราไม่รู้จักเป้าหมาย อีกทั้งไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่ดี แต่เป็นเพราะเราไม่จดจ่อ
อยู่กับเป้าหมาย และเป้าหมายเราไม่ดึงดูดใจมากพอ
มีคนเก่ง มีการศึกษาดี มีต้นทุนและเครื่องมือที่เพรียบพร้อมมากมายที่ไม่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่รู้จักควบคุมความคิดให้รวมศูนย์ ผลก็คือเขาทำหลาย ๆ
อย่าง คิดหลายอย่าง และสนใจหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน จนสับสนปนเปกันไปหมด
อย่างเช่นคนที่มีความฝันสวยหรู กำลังมีความสุขกับการทำงานอยู่ดี ๆ ไปพบรักกับ
ผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอ จนเกิดความสุขสีชมพู วัน ๆ เอาแต่โทร
ศัพท์คุยกันวันละหลายชั่วโมง ต้องหาเวลาพาคนรักออกไปเที่ยว ไปรับประทานอาหาร
ดูหนัง ฟังเพลง ผลก็คือ ต้องเสียเวลาและพลังงานไป ไม่เหลืออะไรไว้สำหรับเป้าหมาย
ที่สดใสที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้น นี่คือเป็นเรื่องของการจดจ่อทางความคิด
เมื่อความคิดของคุณแตกแยกเป็นหลายเรื่อง พลังดึงดูดจากจิตใต้สำนึกก็ซ่าน
กระเซ็น ทำให้สิ่งที่คุณต้องการก็จะมาถึงช้าลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจิตใต้สำนึก
ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆในเวลานั้น
วิธีการรวมศูนย์ของความคิด ให้เริ่มต้นที่การถามตัวเองด้วย คำถามนี้ซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่ยืน
เดิน นั่งหรือนอน ว่า
“ขณะนี้ฉันกำลังทำสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงอยู่หรือเปล่า” ”ฉันกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหรือเปล่า” ”สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เวลานี้เร่งด่วนกว่าเป้าหมายหลักที่ฉันรักที่สุดหรือเปล่า” ”ฉันรอที่จะทำเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่กัน” ”ฉันกำลังเดินถอยหลังจากเป้าหมายหลักอยู่หรือเปล่า” |
ในสถานที่เงียบ ๆ หรือหากคุณยืนหรือเดิน ก็ให้ถามขณะยืนหรือเดิน ถามซ้ำ ๆ
ถัดมาให้หาเวลาในแต่ละวัน ๆละ10นาที ถอดจิตตัวเองด้วยวิธีขยายร่างเสมือนจริง
(Doubling body & mind)ด้วยการหลับตามองเห็นตัวตนคนเดิมของคุณที่ล้มเหลว
ผิดหวัง เสียใจ เกียจคร้าน เฉื่อยชา ติดคอมพิวเตอร์ ติดทีวี หรือนิสัยแบบไหนก็ตาม
ที่คุณต้องการขจัดออกไป โดยจินตนาการว่าคุณกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกท่วม
ตรงกลางมองเห็นตัวเองร้อนเหงื่อไหลเปียกโชกทั้งตัว แล้วค่อย ๆ เห็นเปลวไฟลุกโชนขยายขอบเขตใหญ่ขึ้นครอบคลุมร่างคุณผ่านไปสัก 2-3 นาที ให้จินตนาการมองเห็นตัวเองมีร่างกายสีทองสดใส ลุกขึ้นจากกองเพลิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ดวงตาเป็นประกายมั่นใจ ทรงพลัง แล้วเห็นตัวเองมีรูปร่างขยายใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็มองเห็นเปลวเพลิงค่อย ๆมอดดับลงช้าๆ สวนทางกับร่างกายของคุณที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเห็นสีผิวตัวเองจากสีทองเปล่งประกายค่อย ๆเปลี่ยนสภาพเป็นสีเนื้อตามปกติแต่มีประกายสดใสมีชีวิตชีวา มองเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสดใหม่ มั่นใจเหลือล้นอยู่เช่นเดิม ให้ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบสิบนาที แล้วบอกตัวเองว่า
“อา…ในที่สุดเราก็เป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เวลานี้เรารู้สึกดีเหลือเกิน มีพลังเหลือเกิน มีความกระตือรือร้นเหลือเกิน เราพร้อมแล้วที่จะลงมือทำและอยู่กับเป้าหมายทันทีเดี๋ยวนี้และจดจ่ออยู่กับมันเท่านั้น จะไม่ยอมเสียเวลากับอะไรอื่น นอกจากนี้”
โดยให้คิดถึงข้อความนี้ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
วิธีการข้างต้นผมขอรับประกันว่ามันจะทำให้คุณสร้างตัวตนคนใหม่ให้เกิดขึ้นภายในได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อข้างในใหม่ผลลัพธ์ที่งดงามย่อมเปล่งประกายออกสู่ภายนอกโดยอัตโนมัติ
ที่ผมพูดถึงภายนอก หมายถึงในส่วนของร่างกายครับ อย่างที่บอก การเฝ้าร่างกายอย่างถูกวิธีจะทำให้เราไม่หลงทางทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์
เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไร้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องไม่ยากก็คือหากสิ่งที่ท่านทำไม่ส่งผลลัพธ์โดยตรงให้ท่านบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ให้รีบสรุปได้ทันทีว่านั่นแหละคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์
การที่ใครสักคนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อรอให้เวลาผ่านไป แม้ว่าคน ๆนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่ในระยะยาวไม่มีอะไรรับประกันว่า สิ่งนั้นจะเกิดประโยชน์ต่อคนทำ
ดูตัวอย่างคนเสพยา ซึ่งไม่ต่างจากคนเสพคอมพิวเตอร์ เสพโทรทัศน์ เสพการคุยโทรศัพท์ เสพวงสนทนา เสพสุรา เสพการติฉินนินทา เสพการวิพากษ์วิจารณ์ เสพการพักผ่อนนอนหลับ หรือเสพกามพวกเขาทำเพราะรู้สึกดี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป
ร่างกายคนโดยลำพังไม่สามารถทำอะไรได้ หากไร้ซึ่งอำนาจบงการของจิตใจ เมื่อไหร่ที่จิตใจขาดพลัง ความคิดขาดการรวมศูนย์ร่างกายก็จะไร้ซึ่งการควบคุม ทำให้เซลส์ของร่างกายขาดการชี้นำที่ถูกต้องเหมาะสม มันถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจและต่างเซลล์ก็ต่างเจตจำสง ผลก็คือร่างกายแต่ละส่วนจะทำผิดหน้าที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลการเจ็บป่วย ความแก่ชรา และบาดเจ็บล้มตายให้เห็นในที่สุด ความจริงแท้ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหย่ละเลย แต่มักจะไปโทษเวรกรรม บาปเคราะห์ อะไรทำนองนั้น
การเฝ้าสังเกตร่างกายอย่างถูกวิธี จะทำให้คุณประสานพลังเจตนารมณ์ให้เข้ากับร่างกายได้อย่างสอดคล้อง จะทำให้ร่างกายคุณอยู่ยืนยงและมีกำลังวังชาทำงานตามที่คุณสั่งได้อย่างไม่เกียจคร้านเหน็ดเหนือย
วิธีการง่าย ๆ คือให้เฝ้าสังเกตุพฤติกรรมในแต่ละวันว่า “ช่วงนี้ ฉันกำลังเสพติดอะไรอยู่” “สิ่งที่ฉันเสพอยู่นี้ให้อะไรแก่ตัวฉันอย่างถาวรบ้าง” “กิจกรรมที่เสพติดนี้ส่งผลให้ฉันคืบหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วหรือไม่” จงถามคำถามแบบนี้ให้บ่อยที่สุด
จากนั้นให้เฝ้าสังเกตุว่าทุกครั้งที่คุณนั่ง ยืน เดิน อ่าน ฟัง ดู สนทนา หรือตอบสนองกิจกรรมต่าง ๆ ทุก ๆขณะจิต ให้ถามตัวเองว่า “กิจกรรมที่กำลังเสพอยู่นี้ ใช่หนทางไปสู่เป้าหมายหรือ” ถ้าคำตอบว่าไม่ใช่ ให้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนสิ่งที่กำลังทำอยู่เวลานั้นทันทีให้ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ คุณจะพิชิตชัยชนะเหนือร่างกายและจิตใจแล้วกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน ผมรับประกัน
ก่อนจากกันชั่วคราว ให้อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างจดจ่อและมีสมาธิ ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
“นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะเป็นคนใหม่ที่มีพลังและมีศักยภาพมากกว่าเก่าอย่างสิ้นชิง ฉันจะลงมือทำสิ่งที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไม่เสพสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ฉันจะเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ฉันเชื่อว่าฉันสามารถมีทุกอย่างที่อยากมี สามารถครอบครองทุกสรรพสิ่งที่อยากได้ ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันเป็นคนใหม่แล้ว ฉันคิดการใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันมั่นใจ ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันนับจากนี้มันช่างยอดเยียมเหลือเกิน”ขอให้โชคดีและมีชีวิตที่เหลือเชื่อครับ !!!
ที่มา : หนังสือเกิดใหม่ในชาตินี้ / ผู้แต่ง : วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์