9/8/10

INCARNATIONเกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน2)


ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!!
เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา
เพื่อไปส่องสว่างยังคำตอบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั่นเอง
     การดึงความคิดให้รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ความคิดมีพลังจดจ่ออยู่กับ
เป้าหมาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเขียนสิ่งที่ต้องการลงในกระดาษทุก ๆ สิบนาที จดจ้อง
มองสิ่งที่เขียน กลั้นลมหายใจระหว่างจับจ้องข้อความนั้น
     อาจมีคำถามว่า หากเป็นเช่นนั้น มิต้องเขียนทั้งวันหรอกหรือ คำตอบคือ ใช่!!!เพราะ
นีคือการสร้างความคิดที่จดจ่อ
     อย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า สาเหตุที่เราเป็นคนเดิมที่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชา
มิใช่ว่าเราไม่รู้จักเป้าหมาย อีกทั้งไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่ดี แต่เป็นเพราะเราไม่จดจ่อ
อยู่กับเป้าหมาย และเป้าหมายเราไม่ดึงดูดใจมากพอ
     มีคนเก่ง มีการศึกษาดี มีต้นทุนและเครื่องมือที่เพรียบพร้อมมากมายที่ไม่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่รู้จักควบคุมความคิดให้รวมศูนย์ ผลก็คือเขาทำหลาย ๆ
อย่าง คิดหลายอย่าง และสนใจหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน จนสับสนปนเปกันไปหมด
     อย่างเช่นคนที่มีความฝันสวยหรู กำลังมีความสุขกับการทำงานอยู่ดี ๆ ไปพบรักกับ
ผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอ จนเกิดความสุขสีชมพู วัน ๆ เอาแต่โทร
ศัพท์คุยกันวันละหลายชั่วโมง ต้องหาเวลาพาคนรักออกไปเที่ยว ไปรับประทานอาหาร
ดูหนัง ฟังเพลง ผลก็คือ ต้องเสียเวลาและพลังงานไป ไม่เหลืออะไรไว้สำหรับเป้าหมาย
ที่สดใสที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้น นี่คือเป็นเรื่องของการจดจ่อทางความคิด
     เมื่อความคิดของคุณแตกแยกเป็นหลายเรื่อง พลังดึงดูดจากจิตใต้สำนึกก็ซ่าน
กระเซ็น ทำให้สิ่งที่คุณต้องการก็จะมาถึงช้าลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจิตใต้สำนึก
ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆในเวลานั้น
     วิธีการรวมศูนย์ของความคิด ให้เริ่มต้นที่การถามตัวเองด้วย คำถามนี้ซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่ยืน
เดิน นั่งหรือนอน ว่า
“ขณะนี้ฉันกำลังทำสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงอยู่หรือเปล่า”
”ฉันกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหรือเปล่า”
”สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เวลานี้เร่งด่วนกว่าเป้าหมายหลักที่ฉันรักที่สุดหรือเปล่า”
”ฉันรอที่จะทำเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่กัน”
”ฉันกำลังเดินถอยหลังจากเป้าหมายหลักอยู่หรือเปล่า”
     ให้คุณถามคำถามทำนองนี้ซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ ด้วยประโยคเดิมขณะนั่งหลับตาคนเดียว
ในสถานที่เงียบ ๆ หรือหากคุณยืนหรือเดิน ก็ให้ถามขณะยืนหรือเดิน ถามซ้ำ ๆ
     ถัดมาให้หาเวลาในแต่ละวัน ๆละ10นาที ถอดจิตตัวเองด้วยวิธีขยายร่างเสมือนจริง
(Doubling body & mind)ด้วยการหลับตามองเห็นตัวตนคนเดิมของคุณที่ล้มเหลว
ผิดหวัง เสียใจ เกียจคร้าน เฉื่อยชา ติดคอมพิวเตอร์ ติดทีวี หรือนิสัยแบบไหนก็ตาม
ที่คุณต้องการขจัดออกไป โดยจินตนาการว่าคุณกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกท่วม
ตรงกลางมองเห็นตัวเองร้อนเหงื่อไหลเปียกโชกทั้งตัว แล้วค่อย ๆ เห็นเปลวไฟลุกโชนขยายขอบเขตใหญ่ขึ้นครอบคลุมร่างคุณผ่านไปสัก 2-3 นาที ให้จินตนาการมองเห็นตัวเองมีร่างกายสีทองสดใส ลุกขึ้นจากกองเพลิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ดวงตาเป็นประกายมั่นใจ ทรงพลัง แล้วเห็นตัวเองมีรูปร่างขยายใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็มองเห็นเปลวเพลิงค่อย ๆมอดดับลงช้าๆ สวนทางกับร่างกายของคุณที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเห็นสีผิวตัวเองจากสีทองเปล่งประกายค่อย ๆเปลี่ยนสภาพเป็นสีเนื้อตามปกติแต่มีประกายสดใสมีชีวิตชีวา มองเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสดใหม่ มั่นใจเหลือล้นอยู่เช่นเดิม ให้ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบสิบนาที แล้วบอกตัวเองว่า
“อา…ในที่สุดเราก็เป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เวลานี้เรารู้สึกดีเหลือเกิน มีพลังเหลือเกิน มีความกระตือรือร้นเหลือเกิน เราพร้อมแล้วที่จะลงมือทำและอยู่กับเป้าหมายทันทีเดี๋ยวนี้และจดจ่ออยู่กับมันเท่านั้น จะไม่ยอมเสียเวลากับอะไรอื่น นอกจากนี้”
     โดยให้คิดถึงข้อความนี้ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
     วิธีการข้างต้นผมขอรับประกันว่ามันจะทำให้คุณสร้างตัวตนคนใหม่ให้เกิดขึ้นภายในได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อข้างในใหม่ผลลัพธ์ที่งดงามย่อมเปล่งประกายออกสู่ภายนอกโดยอัตโนมัติ
     ที่ผมพูดถึงภายนอก หมายถึงในส่วนของร่างกายครับ อย่างที่บอก การเฝ้าร่างกายอย่างถูกวิธีจะทำให้เราไม่หลงทางทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์
     เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไร้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องไม่ยากก็คือหากสิ่งที่ท่านทำไม่ส่งผลลัพธ์โดยตรงให้ท่านบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ให้รีบสรุปได้ทันทีว่านั่นแหละคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์
     การที่ใครสักคนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อรอให้เวลาผ่านไป แม้ว่าคน ๆนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่ในระยะยาวไม่มีอะไรรับประกันว่า สิ่งนั้นจะเกิดประโยชน์ต่อคนทำ
     ดูตัวอย่างคนเสพยา ซึ่งไม่ต่างจากคนเสพคอมพิวเตอร์ เสพโทรทัศน์ เสพการคุยโทรศัพท์ เสพวงสนทนา เสพสุรา เสพการติฉินนินทา เสพการวิพากษ์วิจารณ์ เสพการพักผ่อนนอนหลับ หรือเสพกามพวกเขาทำเพราะรู้สึกดี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป
     ร่างกายคนโดยลำพังไม่สามารถทำอะไรได้ หากไร้ซึ่งอำนาจบงการของจิตใจ เมื่อไหร่ที่จิตใจขาดพลัง ความคิดขาดการรวมศูนย์ร่างกายก็จะไร้ซึ่งการควบคุม ทำให้เซลส์ของร่างกายขาดการชี้นำที่ถูกต้องเหมาะสม มันถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจและต่างเซลล์ก็ต่างเจตจำสง ผลก็คือร่างกายแต่ละส่วนจะทำผิดหน้าที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลการเจ็บป่วย ความแก่ชรา และบาดเจ็บล้มตายให้เห็นในที่สุด ความจริงแท้ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหย่ละเลย แต่มักจะไปโทษเวรกรรม บาปเคราะห์ อะไรทำนองนั้น
     การเฝ้าสังเกตร่างกายอย่างถูกวิธี จะทำให้คุณประสานพลังเจตนารมณ์ให้เข้ากับร่างกายได้อย่างสอดคล้อง จะทำให้ร่างกายคุณอยู่ยืนยงและมีกำลังวังชาทำงานตามที่คุณสั่งได้อย่างไม่เกียจคร้านเหน็ดเหนือย
     วิธีการง่าย ๆ คือให้เฝ้าสังเกตุพฤติกรรมในแต่ละวันว่า “ช่วงนี้ ฉันกำลังเสพติดอะไรอยู่” “สิ่งที่ฉันเสพอยู่นี้ให้อะไรแก่ตัวฉันอย่างถาวรบ้าง” “กิจกรรมที่เสพติดนี้ส่งผลให้ฉันคืบหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วหรือไม่” จงถามคำถามแบบนี้ให้บ่อยที่สุด
     จากนั้นให้เฝ้าสังเกตุว่าทุกครั้งที่คุณนั่ง ยืน เดิน อ่าน ฟัง ดู สนทนา หรือตอบสนองกิจกรรมต่าง ๆ ทุก ๆขณะจิต ให้ถามตัวเองว่า “กิจกรรมที่กำลังเสพอยู่นี้ ใช่หนทางไปสู่เป้าหมายหรือ” ถ้าคำตอบว่าไม่ใช่ ให้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนสิ่งที่กำลังทำอยู่เวลานั้นทันทีให้ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ คุณจะพิชิตชัยชนะเหนือร่างกายและจิตใจแล้วกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน ผมรับประกัน
     ก่อนจากกันชั่วคราว ให้อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างจดจ่อและมีสมาธิ ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
                  “นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะเป็นคนใหม่ที่มีพลังและมีศักยภาพมากกว่าเก่าอย่างสิ้นชิง ฉันจะลงมือทำสิ่งที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไม่เสพสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ฉันจะเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ฉันเชื่อว่าฉันสามารถมีทุกอย่างที่อยากมี สามารถครอบครองทุกสรรพสิ่งที่อยากได้ ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันเป็นคนใหม่แล้ว ฉันคิดการใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันมั่นใจ ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันนับจากนี้มันช่างยอดเยียมเหลือเกิน”
                        ขอให้โชคดีและมีชีวิตที่เหลือเชื่อครับ !!!
ที่มา : หนังสือเกิดใหม่ในชาตินี้ / ผู้แต่ง : วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์
uy159

INCARNATION เกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน1)

เป็นหนังสือจากนักเขียนที่ชื่นชอบอีกท่านนึงที่ติดตามผลงานมาก็หลายเล่มแล้ว
ผู้เขียนคือคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ ลองมาอ่านบางตอนที่น่าสนใจดูค่ะ
Book-Magazine-46375ขั้นตอนที่10   จงเป็นนกฟินิกซ์ (Phoenix)
     ในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภทเท่านั้น คือคนที่ประสบความสำเร็จและคนล้มเหลว
ไม่มีคนประเภทระหว่างกลางที่ก้ำกึ่งให้คุณเลือกเป็น หากคุณไม่อยู่ในเส้นทางที่มุ่ง
ไปหาความสุขและความสำเร็จ นั่นหมายความว่าคุณกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ตรงกันข้าม
ผลก็คือเมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า คุณจะวนกลับมาที่เดิมแล้วนั่งถามตัวเองว่าทำไม
เป้าหมายที่ใฝ่ฝันมันช่างห่างไกลเหลือเกิน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่เคยตัดสินใจที่จะ
เลือกเป็นคนใหม่และไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
เลยสักครั้ง
     ทันทีที่คุณใช้วงจรชีวิตแบบเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม
และยังคบคนกลุ่มเดิม ๆ คุณจะไม่มีวันเป็นคนใหม่ได้เลย
     หากคุณใช้เวลานอนเท่าเดิม กินอาหารแบบเดิม อ่านหนังสือแนวเดิม และไม่เคยลง
มือทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ต่างออกไป โอกาสที่จะเกิดเป็นคนใหม่ในชาตินี้ก็จะยังมาไม่ถึง
     แต่การพบกับหนทางใหม่ที่สดใสอย่างฉับพลันก็มิใช่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป
เพียงแค่คุณทำตัวเป็นนกฟินิกซ์
     นกฟินิกซ์เป็นสัตว์ในตำนานตามเทพนิยายอียิปต์โบราณและเชื่อต่อกันมาจนถึงสมัย
กรีก ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ของการจุติใหม่เป็นนกที่มีวงจรชีวิตยาวนานถึง 500 ปี
และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นกฟินิกซ์จะก่อกองไฟขึ้นเผาตนเองเพื่อกำเนิดเป็น
นกฟินิกซ์ตัวใหม่ที่เยาว์วัยจากกองถ่านขี้เถ้าและจากนั้นก็จะมีชีวิตต่อไปอีก 500ปี
วนเวียนตลอดไปอยู่อย่างนี้จนเป็นอมตะ
     นกฟินิกซ์มีลักษณะคล้ายนกอินทรี นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าราวประกาย
แสงอาทิตย์ มีจงอยปากแหลมกว่านกอินทรีย์ ขนสีทองทั้งตัว บริเวณคอมีสีแดงสลับ
ม่วง มีเกล็ดสีทองวับวาวตามหน้าแข้งเล็บสีแดงบานคล้ายกลีบกุหลาบ
     การมีชีวิตยืนยาวเยี่ยงนกฟินิกซ์รวมถึงการเผาตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ทำให้ชาวกรีก
และชาวโรมันนำภาพนกฟินิกซ์มาเป็นสัญลักษ์ของความเป็นอมตะและชัยชนะเหนือ
ความตาย
     นี่เองเป็นที่มาของวิธีการหลอมละลายตัวตนคนเดิมแล้วหล่อรูปกายสร้างจิตวิญญาณ
ใหม่ที่ศาสตร์เอ็นแอลพีทำกันมาจนโด่งดัง
     หลักการง่าย ๆ มีอยู่ว่า การที่คนเราไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็น
เพราะเราไม่เฝ้าสังเกตจิตใจและร่างกายอย่างถูกวิธี
     การกระทำของคนมีความคิดเป็นตัวนำ แต่ความคิดมีเกิดดับตลอดเวลา ขอย้ำอีกครั้ง
ว่า ในแต่ละวันเรามีความคิดหลักผุดขึ้นมาประมาณ 500 เรื่องที่ทำให้เราใช้เวลาคิดในแต่
ละเรื่องมากกว่า 2 วินาที ยกเว้นบางเรื่องที่เราเสียเวลากับมันทั้งวัน แต่แม้กระนั้น เรื่องที่
เราคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ยังมีความคิดปลีกย่อยแทรกขึ้นมาอีก นี่ยังไม่นับความคิดเบ็ดเตล็ด
ผุดดับ ๆ อีกนับไม่ถ้วน ด้วยสภาพจิตใจแบบนี้ ทำให้คนเราขาดสมาธิ ไม่มีการจดจ่อ
และสิ่งที่ทำตรงหน้าก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ในที่สุดทำให้พลังดึงดูดของเราก็ทำงานไม่เต็มที่
     ด้วยความคิดจำนวนมากที่เกิด ๆ ดับ ๆ เช่นนี้ ทำให้พลังแห้งการคิดของเราขาดการ
รวมศูนย์ ผลก็คือเราไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงพอ หมายความว่า
เราไม่สามารถรวมจิตให้มีพลังเหมือนลำแสงเลเซอร์
     ต้องไม่ลืมว่าลำแสงเลเซอร์คือกลุ่มพลังงานที่มีเครื่องมือชนิดพิเศษนำพลังแสงมา
รวมไว้ในที่เดียวกันจนบังคับทิศทางได้ ทำให้เกิดพลังงานเข้มข้น สามารถทะลุทะลวงโลหะ
ได้อย่างง่ายดาย   
 
        ตามอ่านตอนที่2 ด้วยนะจ๊ะ

9/2/10

จะป้องกันความหึงหวงได้อย่างไร

ที่มา : เรื่อง วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์/Secret

1. การเลี้ยงดูที่เหมาะสม
    สำหรับการป้องกันการหึงหวงในระยะยาวนั้นต้องเริ่มจากการเลี้ยงดู โดย
ให้เด็กมีพัฒนาการที่ถูกต้อง เหมาะสม เติบโตด้วยความรัก ความอบอุ่น 
สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้ได้ ไม่ลงโทษอย่างรุนแรงจนทำให้เด็ก
เกิดความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัว หรือหวาดผวา เช่น ข่มขู่ว่าจะไม่รัก จะเอา
ไปปล่อย หรือกักขังในห้องมืดหรือห้องแคบ ๆ เป็นต้น เพราะความรู้สึกดังกล่า
จะทำให้เด็กเติบโตอย่างขาดความภาคภูมิใจและขาดความมั่นคงทางจิตใจ
เมื่อมีคนรัก คู่ครอง อาจทำให้เป็นคนขี้หึงหวงได้

2. สร้างคุณค่าและพัฒนาตนเอง
    ควรสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการคิดดี ทำดี ขยันทำหน้าที่ที่รับผิดชอบให้
สำเร็จสมบูรณ์ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พูดจาไพเราะสุภาพ พัฒนาบุคลิกภาพด้วย
การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม นั่ง เดิน ยืน ให้สง่างาม รักษาความสะอาด
ของร่างกายให้ดูดี ไม่มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ตลอดจนพยายามรู้จักคนรัก
หรือคู่ครองของเราให้ดีทุกด้าน เพื่อที่จะได้ปรับตัวอยู่ด้วยกัน รวมทั้งอาจ
ต้องเรียนรู้และปรับตัวต่อคู่ครองในเรื่องความชอบ รูปแบบ และวิธีการมี
เพศสัมพันธ์ที่ลงตัวต่อกันทั้งสองฝ่าย
    หากพัฒนาและสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้ดังกล่าวแล้วก็จะนำไปสู่ความเชื่อ
มั่นว่าตัวเองมีคุณค่าพอที่จะครองใจคนรักคู่ครองได้ ส่งผลให้ลดความรู้สึก
หึงหวงได้เป็นอย่างดี

3. ปรับวิธีคิดและมองคู่รักคู่ครองแต่ด้านดี
    การปรับพฤติกรรมผู้อื่นนั้นอาจไม่ง่ายนัก เพราะเป็นสิ่งภายนอกและอยู่เหนือ
อำนาจการควบคุมของตัวเองแต่การปรับวิธีคิดและมุมมองของตัวเองนั้นเป็น
เรื่องภายใน แม้จะทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็สามารถทำได้ เพราะอยู่ภายในตัวตน
ของเราเอง
    การมองคนรักคู่ครองในด้านดี คือ มองเห็นคุณค่า เห็นโอกาสเห็นความหวัง
เห็นความหมาย ในคนรักคู่ครองของเรา เช่นมองว่าคนรักคู่ครองของเราช่วยให้
เรามีสถานภาพทางสังคมดีขึ้น คนรักคู่ครองมีความหมายต่อชีวิตเราและลูก
ดังนั้นหากสงสัยว่าคนรักนอกใจ แต่ไม่มีหลักญานชัดเจนจับไม่ได้ ก็ให้มองใน
ด้านดีของเขาให้เจอ ค้นหาคุณค่าคุณงามความดีต่าง ๆที่เขามีต่อเราให้มาก ๆ
เพราะการมองเช่นนี้จะช่วยลดทอนความหึงหวงลงและรักษาความสัมพันธ์
ให้ยืนยาวได้

4. ลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักหึงหวงได้
    การลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักคู่ครองหึงหวงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ
คนที่มีคนรักขี้หึง กล่าวคือ จะต้องลดพฤติกรรมที่อาจทำให้ชวนสงสัย เช่น
กลับบ้านไม่ตรงเวลา หายไปโดยไม่บอกกล่าว ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่
สามารถติดต่อได้ เวลาคุยโทรศัพท์แสดงท่าทีวิตกกังวลและเดินเลี่ยงไปพูด
ที่อื่น ไม่อาบน้ำก่อนเข้านอน โดยอ้างว่าอาบมาแล้วจากที่อื่น เป็นต้น เหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้คนรักคู่ครองแสดงความหึงหวงมากขึ้น
ทั้ง ๆ ที่ความจริงตัวเองอาจมิได้นอกใจคนรักคู่ครองเลย
    ความสม่ำเสมอและพฤติกรรมที่โปร่งใสจริงใจจะช่วยลดอาการหึงหวง
ของคนรักคู่ครองได้ไม่มากก็น้อย

5. คุยกับจิตแพทย์
    สาเหตุที่จะทำให้คนเราก็สึกหึงหวงมากคือ มีอาการป่วยด้วยโรคจิตเวช
ชนิดหวาดระแวง หรือโรคประสาทชนิดวิตกกังวล ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่
หึงหวงมากจนนอนไม่หลับ วิตกกังวล ขาดสมาธิในการทำงาน ลุกลี้ลุกลน
หวาดระแวงมากถึงขนาดต้องออกติดตามสอดแนมดูพฤติกรรมคนรักคู่ครอง
อย่างใกล้ชิด จนบางทีอาจถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน
    ใครที่มีอาการหึงหวงถึงขึ้นนี้ควรจะไปพบจิตแพทย์หรือเริ่มปรึกษา
นักวิชาการด้านสุขภาพจิต เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ อาจทำด้วยพฤติกรรม
บำบัด จิตบำบัดหรืออาจถึงขึ้นต้องใช้ยาเพื่อการรักษา ส่วนใหญ่เจ้าตัว
มักไม่คิดว่าอาการหึงหวงที่ตนเป็นอยู่เป็นปัญหา แต่คนที่เป็นคู่รักคู่ครอง
จะรับรู้และอาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญมาก ขอให้เข้าใจว่าอาการมากขนาด
นั้นน่าจะมีการป่วยด้านจิตใจร่วมด้วยจึงควรพาไปพบจิตแพทย์
    หากคู่รักคู่ครองที่มีอาการหึงหวง ไม่ยอมรับ ไม่ยอมมาพบจิตแพทย์
ก็ขอให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบมาปรึกษาจิตแพทย์
ด้วยตนเอง เพื่อจิตแพทย์จะได้จัดยาให้เขารับประทาน ซึ่งเป็นยาน้ำใช้
สำหรับหยดลงในน้ำให้ดื่ม ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส คนที่มีความหึงหวงมาก ๆ
เมื่อได้รับยานี้อาจโดยการที่แฟนแอบเอาหยดใส่น้ำให้ดื่มทุกวัน อาการ
หึงหวงจะลดลงจนปรับตัวได้ และสงบสุขทั้งตัวเองและผู้ที่อยู่ร่วมด้วย
      โดยทั่วไปเมื่อได้รับยาติดต่อกันประมาณ 1 เดือน จะเริ่มเห็นผลอย่าง
ชัดเจน ดังนั้นก็ขอให้มาปรึกษาจิตแพทย์เพื่อการช่วยเหลือ แล้วจะเกิด
ความสงบสุขได้จริง

      6. ฝึกปฏิบัติกรรมฐาน
          วิธีแก้ไขในข้อนี้เป็นข้อแนะนำโดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน
การฝึกกรรมฐาน ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสนากรรมฐาน หรือที่สาธารณชน
ส่วนมากมักจะเรียกง่าย ๆว่าปฏิบัติธรรมนั่นเอง ควรไปปฏิบัติกรรมฐานที่จัดขึ้น
ในวัดหรือในสำนักปฏิบัติธรรมที่มีพระสงฆ์และึึครูบาอาจารย์ที่รู้จริงคอยแนะนำ
จะช่วยทำให้เข้าใจชีวิต เข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของกายและจิต
ซึ่งจะส่งผลให้คลายความกำหนัดยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ลดความยึดมั่นถือมั่นและความเป็นตัวเป็นตนของตนเอง จนพบความสงบ
สุขทางใจได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ความอดทนและเพียรพยายามร่วมด้วย
         อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันแก้ไขอาการหึงหวงทั้งหกวิธี ควรได้รับ
การปรึกษาจากนักสุขภาพจิตและได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ร่วมด้วย
         การฝึกปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพุทธศาสนานั้น ควรจะทำควบคู่กัน
ไปทุก ๆวิธีเพื่อจะได้ผลดีทั้งต่อตัวเองและคนที่คุณรัก แม้้ในชีวิตของความ
เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ยังวนเวียนอยู่กับความรัก โลภ โกรธ หลง
จะทำให้มิอาจละกิเลสได้ทั้งหมด แต่การมีความรักที่มีพื้นฐานของจิตใจ
ที่มั่นคง มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีจิตใจที่มีความเมตตา
กรุณา และรู้จักชื่นชมในคุณงามความดีของผู้อื่น ก็จะช่วยลดละความรู้สึก
หึงหวงที่ทำให้จิตไม่สงบลงได้ แล้วพัฒนาความคิดมาเป็นความห่วงหาอาทร
อย่างสมเหตุผลและปฏิบัติต่อคนรักคู่ครองด้วยความรักที่เหมาะสมในที่สุด
..................................................................................................
เป็นอย่างไรกันบ้างวิธีป้องกันความหึงหวงคงช่วยได้เยอะเลย
ก็อ่านมาจากSecretแล้วก็เลยเอามาเล่าต่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน
แต่ก็ดีเหมือนกันนะคะถ้าเผื่อการที่เราไม่ได้ตัวติดอยู่กับคนรักตลอดเวลา
แทนที่เราจะคิดฟุ้งซ่านเราควรคิดถึงเขาแต่ในแง่ดีก็เขาเป็นคนที่เราเลือก
มาแล้วนี่นา เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีในระดับนึงแหละใช่มั้ยและก็เป็นการ
ให้เกียริตคนที่เรารักด้วยไม่แน่นะเวลาที่เขาคิดนอกลู่นอกทางขึ้นมา
เขาอาจจะคิดถึงข้อดีของเราและเกิดละอายใจว่าเรารักและไว้ใจให้
เกียริตเขามาำกคงไม่มีใครอยากทำลายความเชื่อมั่นและความภาคภูมิ
ใจที่คนรักมีให้ได้ลงคอหรอก
     แต่หากว่ามันเกิดขึ้นจริงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ให้ถือซะว่าเค้ากับเรามันคงไม่ใช่ อย่าไปฝืนมันจะยิ่งทำร้ายตัวเราและ
ความมั่นคงในจิตใจของเรา ให้เราปล่อยเค้าไปตามทางของเค้า(ทางที่
ชอบๆ) ส่วนเราก็ไปตามทางของเรา ทางเส้นใหม่ที่สดใสกำลังรอเรา
อยู่ที่เราได้เป็นอิสระจากคนที่หลอกลวงเรา มันก็เป็นแค่วาระๆนึงเท่านั้นเอง
แล้ววันนึงเราจะพบคนที่ใช่คนนั้น ที่เกิดมาเพื่อเดินไปพร้อม ๆกับเราจริงๆ
หรือลองมองถึงคนที่เค้าลำบากกว่าเรา เด็กที่ขาดความรัก คนที่อดอยาก
ขาดแคลนอาหาร ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าห่มกายในยามหนาว ต้องเดินเท้าเปล่า
คนที่ต้องเก็บเศษอาหารมาเพื่อประทังชีวิต คนเหล่านี้มีอยู่จริง
ถ้าเราลองคิดถึงปัญหาของเราให้น้อยลง ในเมื่อเรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่
และยังมีโอกาสได้พูดคุยกับเค้าคนนั้นอยู่ทุกวันแค่นี้เราควรพอใจ
และควรหาทางทำความดีกับคนรักของเราหรือคุณพ่อคุณแม่หรือ
 คนที่ด้อยโอกาสกว่าเราบ้าง
คงทำให้เราลืมเรื่องการหวาดระแวงไปได้เยอะทีเดียวค่ะ 
เพื่อนๆคงเคยได้ยินมาบ้างว่า เมื่อประตูบานนึงปิดลง จะมีประตูบานใหม่
เสมอที่เปิดรอเราอยู่เสมอ ลองหาแสงสว่างจากประตูบานนั้นนะคะ
แล้วเดินออกไปพบโลกที่กว้างไกล ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอเราอยู่
ไม่ใช่แค่ความรักจากคนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นหรอกคะ