Showing posts with label สุขภาพใจ. Show all posts
Showing posts with label สุขภาพใจ. Show all posts

11/8/10

Happinessเติมความรวยด้วยความสุข

เรื่อง หนังสือwellfit

เรามีเงินไว้ซื้อความสุข หรือซื้ออะไรก็ได้เพื่อให้รู้สึกดี ๆ ราคาที่เราจ่ายไปเพื่อความสุขและความภูมิใจนั้นแพงกว่าที่ต้องจ่ายเพื่อปัจจัยสี่จริง ๆ เยอะมาก อาหารจานหนึ่งที่กินเพื่ออิ่มท้อง คุณควักเหรียญสิบจ่ายไปกี่เหรียญ แต่อาหารมื้อหนึ่งที่คุณจ่ายเพื่อความสุข ความยังไม่พอจ่าย
คิดในมุมกลับกัน ถ้าพื้นอารมณ์เราเป็นคนมีความสุข เราจะสุขของเราได้เรื่อย ๆ เรารวยแล้วนะ เราทำงานเราก็สุข เรากินอะไรเราก็สุข เราเล่นเราก็สุข เรารวยกว่าเงินในกระเป๋าเราเยอะเลย เราไม่ต้องใช้เงินเยอะแยะคอยซื้อความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว งั้นทำยังไงล่ะเราจะรวยทางลัดเช่นนี้ ก่อนอื่นเราต้องตั้งใจว่าจะมีความสุขกับชีวิต ตั้งใจว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็จะทำด้วยความสุข
คนเรายิ่งโตก็ยิ่งหลงลืมความสุข เริ่มสุขไม่เป็น อุ๊ย! ความรับผิดชอบเยอะมาก ใครมาชวนคุยสนุก ๆ ต้องบอกเบา ๆ คล้ายกับว่าเกรงใจว่าไม่มีเวลาไม่มีสาระ บางคนใช้ความเครียดบีบตัวเองให้ทำอะไรได้มากกว่าที่คิดว่าจะทำได้จนเป็นนิสัย เห็นความเครียดเป็นแรงผลักดันสู่ที่สูง เลยเพาะความเครียดไว้ในเรือนนิสัย บางคนใช้ความโชคร้ายของตนเองเรียกร้องความรักความใส่ใจจนเป็นนิสัย สังเกตดูคนกลุ่มนี้จะมองเห็นแต่ความทุกข์ของตนเอง เรื่องดี ๆ ของตนเองมองไม่เห็น ยกแต่แง่ร้ายขึ้นมาบ่นเรียกคะแนนสงสาร ถ้าได้คบเพื่อนคอเดียวกัน เป็นตั้งวงคุยประชันความทุกข์เพื่อแย่งกันรับโล่ห์สงสาร ใครโชคร้ายน้อยกว่ากลายเป็นผู้แพ้ที่ต้องปลอบผู้ชนะ
ภาวะปัจจุบันผลักเราให้ทุกข์ง่าย ต้องหมั่นตั้งใจจะมีความสุขกับชีวิต ลองถามตัวเอง คุณอยากจะทำอะไรบ้าง คุณตั้งใจจะทำอะไรบ้าง เขียนออกมาทีละอย่าง ก่อนถามตนเองอีกครั้งว่าที่เขียนออกมานั้นอยากจะทำแน่หรือ ถ้ายังตอบว่าใช่ ก็ให้เขียนต่อลงไปว่า คุณตั้งใจจะทำสิ่งนั้นด้วยความสุข ทบทวนความตั้งใจนี้บ่อย ๆ ทุกวันได้ยิ่งดี และลองนึกภาพให้ออกว่าตนเองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร (ถ้าให้นึกเห็นเป็นภาพได้ ก็จะมีพลังมาก) …แล้วความตั้งใจจะค่อย ๆ ผลักดันพฤติกรรมของคุณให้หันหาความสุขเอง
แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

11/7/10

ทบทวนเหตุการณ์

ทุกๆ เย็นลองให้เวลาตนเองทบทวนเหตุการณ์ในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง9dcc420aมากขึ้น
เริ่มจากทบทวนความฝันที่พอจะจำได้ในตอนเช้าค่อย ๆ ระลึกถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นทีละอย่างว่าเกิดอะไรบ้าง คุณทำอะไรไปบ้างในแต่ละสถานการณ์ มีจุดมุ่งหมายหรือคิดและรู้สึกอย่างไรในแต่ละสิ่งที่ทำลงไป และเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้างจากสิ่งที่คุณทำ เมื่อฝึกคิดเช่นนี้บ่อย ๆ คุณจะเริ่มใส่ใจในทุกการกระทำของคุณเอง
พอครบ 7 วัน ก็ให้ทบทวนเหตุการณ์ในรอบ 7 วันนั้นด้วยโดยการบันทึกความสำเร็จ ข้อบกพร่อง พื้นอารมณ์ในรอบอาทิตย์
ย้อนกลับไปมองว่าตั้งแต่ต้นจนสุดสัปดาห์คุณได้พัฒนาอะไรในตัวเองบ้าง และคุณได้เติมสิ่ง ๆดี ให้กับชีวิตอย่างไรบ้างในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
หรือคุณอาจเปลี่ยนวิธีทบทวนเหตุการณ์บ้างก็ได้โดยทบทวนในลักษณะย้อนเหตุการณ์จากช่วงเย็นไปหาช่วงเช้า จากปลายสัปดาห์กลับขึ้นไปหาต้นสัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยเปลี่ยนแนวทัศนะในเรื่องเวลาของตัวคุณเอง

Diaryเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่

เรื่อง  หนังสือwellfit
original_diaries
เพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่  การเขียนเล่าประสบการณ์ทางอารมณ์ที่แย่ ๆ จะเอื้อผลดีต่อสุขภาพ และการวิจัยล่าสุดยังบ่งชี้ว่า  การบันทึกประสบการณ์แห่งความสุขก็ส่งผลดีเช่นกัน Chad M.Burton และ Laura A.King นักจิตวิทยาของUniversity of Missouriได้ให้คนจำนวน 90 คน เขียนไดอารี่ 20 นาทีเป็นเวลา 3 วัน และติดตามผล 3 เดือนหลังจากนั้น บุคคลที่เขียนไดอารี่ในหัวข้อซึ่งไม่พาดพิงถึงอารมณ์ความรู้สึกเลย จะเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพมากกว่าบุคคลที่บันทึกไดอารี่ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสุขประมาณ 5 ครั้ง นักวิจัย Laura A.King แสดงความเห็นว่า การหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์แย่ ๆ อาจก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่ แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่การจดจ่ออยู่กับสิ่งดี ๆจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

11/5/10

ข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปัน






1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด 

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

ที่มา : fwdmail

11/1/10

jealous หึง จัดการได้ถ้า…

p13(2)
เรื่องจากหนังสือคลีโอ:BY GUTTJING
             วันนี้อาการแพ้ท้องดีขึ้นนิดนึงแล้ว ก็เลยมีแรงลุกขึ้นเก็บหนังสือเก่าเอามาจัดให้เรียบร้อยก็อดเปิดอ่านไม่ได้ จัดไปอ่านไปก็ไม่เสร็จสักที เจอบทความนึงในหนังสือคลีโออ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยแต่เอ๊ะ เราเปิดข้ามไปได้ยังไงไม่รู้ ยังไม่เคยได้อ่านเลย  ลองเอามาให้เพื่อน ๆได้อ่านกันบ้างสำหรับวิธีจัดการกับความหึงได้เป็นอย่างดี ดูมีเหตุมีผล ใครทำตามได้น่าจะเอาชนะความหึงได้ เราเองก็ทำตามอยู่หลายข้อในนี้เหมือนกัน แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
เมื่อไหร่ที่เรารักใครสักคน ความหึงมักจะมาเยือนโดยที่เราไม่ตั้งตัว อารมณ์หึง หวง หรือห่วงนั้น เราสามารถควบคุมได้ถ้าเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน เพียงแค่เข้าใจธรรมชาติของมันและเรียนรู้หนทางที่จะปลดปล่อย เพียงเท่านี้ใจคุณก็จะไม่ร้อนรุ่มด้วยการอยากครอบครองอีกต่อไป
              เราจะรักใครสักคนโดยไม่ต้องหึงได้ไหม? ได้และอาจจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกรักใครขึ้นมา เราก็อยากให้เขารักเราคนเดียว นี่ล่ะ ความหึงก็เกิดขึ้นตอนนี้นี่เอง
              “ หึง” เป็นความรู้สึกว่าคนที่เรารัก เขาคือสมบัติของเราเป็นของเราคนเดียว ไม่อยากให้เขาสนใจใคร ไม่อยากให้เขามองใครที่ไหน และถึงเขาจะเป็นสมบัติ  เราลืมไปรึเปล่าว่า เขาก็ต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่ พี่น้องของเขาด้วย ท่าน ว.วชิรเมธี เคยเล่าเรื่องอารมณ์หึงหวงไว้ว่า “เมื่อความอยากครอบครองที่แฝงมาในนามของความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความรักก็กลายร่างเป็นความร้ายได้ทุกเมื่อ”
              ทำไมเราถึงหึง?
“หึง” เป็นส่วนหนึ่งของความกลัว ในทางจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของความหึงไว้ว่า มันคือ ความกลัวความสูญเสีย เพราะเมื่อถึงจุดที่ความสัมพันธ์เริ่มจะไปในทางที่ดีแล้ว คุณจะเริ่มกลัวว่าจะสูญเสียมันไปแทบจะทันที ที่สำคัญความหึงมีหลายระดับความรุนแรง แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นความหึงหวงที่ควบคุมไม่ได้ แบบที่เราเคยเห็นในข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาแล้วเกือบทุกฉบับ ความหึงแบบนี้เป็นอาการแบบที่ว่า ถ้าฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ ซึ่งอันตรายมาก และเป็นกิเลสที่ทำให้คนนั้นกลายเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นความจริงว่า ไม่มีใครและไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
            ทันตแพทย์สม สุจิรา กล่าวไว้ว่า ความกลัวนั้นมีแรงดึงดูด ยิ่งกลัวมากเท่าไหร่ จิตของเราจะดึงดูดให้สิ่งที่เรากลัวนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ บ่อยครั้งที่เราเห็นคู่รักที่หึงหวงกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับลงเอยด้วยความบาดหมางและความไม่ไว้ใจติดใจอยู่เสมอ รอวันที่จะระเบิดออกมา จะเรียกว่า ความหึงเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ไม่พอดี คงไม่ผิดนัก จากหนังสือธรรมะทำไม ของท่าน ว.วชิรเมธี บอกในเรื่องของความรักไว้ว่า ความรักที่สมดุลนั้นต้องเกิดจาก สมอง+หัวใจ สมอง:เหตุผลและสติสัมปชัญญะ   หัวใจ:อารมณ์หรือความรู้สึก สมองและหัวใจควรวางอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลบนตาชั่ง
          แต่มนุษย์ส่วนใหญ่เหมื่อตกหลุมรักใครสักคน หัวสมองมักจะด้านชา แต่หัวใจมักคึกคะนอง ซึ่งทำให้เรามองความรักในแง่ของความสนุกการครอบครอง และนำมาซึ่งความหึงหวงในที่สุด บางครั้งเมื่อความหึงหวงนำพาความรักไปสู่จุดจบ บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองหรือไม่ก็ป่วยด้วยโรคทุกข์ซ้ำซากอย่างยาวนาน   หัวสมองเหมือนกับแจกัน หัวใจเหมือนกับดอกไม้ ทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าทั้งสองอย่างนี้มาอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลเมือไหร่ แจกันและดอกไม้ก็ก่อให้เกิดความงามได้อย่างลงตัว ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
       ความหึงของคุณvs ความหึงของเขา
ความหึงของคุณ เกิดขึ้นแทบจะทันทีเมื่อคุณรักใครสักคน แต่สำหรับผู้หญิงแล้วบางครั้งความหึงหวงมาพร้อมกับความอิจฉาริษยา ซึ่งสองคำนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความหึงเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายคนรักของคุณทำอะไรที่เข้าข่ายของการไม่ซื่อสัตย์ แต่ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นเมื่อคุณหวังและต้องการในการที่จะทำแบบเดียวกันด้วย ทั้งสองอย่างนี้เป็นตัวร้ายในการทำลายความสัมพันธ์ของคุณได้พอๆ กัน ความหึงของผู้หญิงนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายและจางหายยาก เพียงแค่หลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ระยะหลัง ๆ นี้เขาคุยโทรศัพท์บ่อยกว่าปกติและเกือบทุกครั้งจะต้องเดินออกไปคุยห่าง ๆ คุณ มันอาจจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ได้ แต่หัวคุณนั้นได้วาดภาพเรื่องราวไว้เป็นฉาก ๆ แล้ว และคุณพร้อมที่จะทำทุกวิธีทางเพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวคุณคิดถูก
ความหึงของเขา มีเส้นบาง ๆ แบ่งคำว่า  ผู้ชายเอาใจใส่ กับผู้ชายหวงของ  สองบุคลิกนี้แยกกันไม่ยาก ผู้ชายเอาใจใส่จะไม่หึงพร่ำเพรื่อ  และคุณคุณสามารถพูดกับเขาด้วยเหตุและผลได้ แต่ผู้ชายหวงของนั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คุณจะมาเปลี่ยนความคิดเขาได้ ผู้ชายหวงของมาพร้อมกับอารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งถ้าควบคุมไม่อยู่จะกลายเป็นอันธพาลไปเขาสามารถบุกบ้านคุณและค้นข้าวของตู้เสื้อผ้ากระจุยกระจายได้เพียงเพราะว่า เขาคิดว่าคุณซ่อนใครไว้ในบ้าน  ถ้าในชีวิตจริงคุณต้องเจอผู้ชายแบบนี้ ต้องอดทนและบอกเขาว่า ไม่มีอะไรจริง ๆ เขาคิดไปเอง ยิ่งคุณย้ำเขามากเท่าไหร่ เขาจะคิดตรงกันข้ามมากขึ้นเท่านั้น
ความหึงของเรา เมื่อความหึงของหญิงและชายนั้นสวนทางกัน  ทางรับมือที่ดีและยั่งยื่นที่สุดคือ  ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย กลยุทธ์สำคัญที่คุณควรลองใช้คือ ศาสตร์แห่งหยินและหยาง เมื่อฝ่ายใดร้อนมา เราเย็นใส่ ฝ่ายหนึ่งดำ เราต้องขาว มันคือกฏแห่งความสมดุลและจริงแท้ของธรรมชาติ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดจะร้อนหรือดำ ให้เริ่มจากตัวคุณก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงอารมณ์หึงหวงที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ให้ลองทำตาม 6 ข้อต่อไปนี้ดู

10/20/10

ใครเป็นโรคเกลียด วันจันทร์ อ่านตรงนี้


เรื่องจาก:หนังสือcleo
อยากให้ทุกวันเป็นคืนวันศุกร์จะได้หยุดบ่อย ๆ อย่างงั้นเหรอ? ถ้ารู้สึกแบบนี้ทั้งอาทิตย์ละก็ คุณแย่แน่ พกคู่มือคิดบวกต่อไปนี้ติดตัวไปออฟฟิศด้วยดีกว่านะ

เรื่องบางเรื่องในชีวิตก็ไม่ได้ยุติธรรมไปซะทุกอย่างหรอก ผู้หญิงบางคนก็งั้น ๆ ทำไมได้แฟนหล่อ นิสัยดี วันทำงานทำไมมีตั้ง 5วัน ส่วนวันหยุดมีแค่ 2วันเอง ถึงเราจะแก้ไขให้เราหน้าตาดี หรือมีแฟนหน้าตาดีไม่ได้ แต่เราสร้างสถานการณ์ให้สนุกได้เหมือนวันหยุดทุก ๆ วัน แม้วันทำงาน โดยที่คุณเริ่มได้ ที่ตัวคุณเอง
     เริ่มแรก  ให้จำไว้ว่าทำไมคุณถึงเลือกทำงานนี้ในตอนแรก และคุณตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนี้ หรือได้ทำงานกับคนเหล่านี้ นอกจากนี้ แทนที่จะปล่อยให้บรรยากาศการทำงานควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก็ให้ตั้งใจแน่วแน่ก่อนเริ่มทำงานว่าคุณจะสดชื่นร่าเริง และทำงานงานอย่างกระตือรือล้นแบบเดียวกับเวลาที่คุณช๊อปปิ้ง สรุปง่าย ๆ คือเราเปลี่ยนงานไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนวิธีทำงานของเราได้นั่นเอง
     โรบิน เซียเกอร์ ผู้เขียน You Can Change Your Life Any Time You Want บอกว่า ทัศนะของเรามีผลต่อวิธีคิด และวิธีคิดก็มีผลต่อพฤติกรรม ซึ่งพฤติกรรมนั้นก็จะกำหนดสมรรถนะการทำงานของเราเองผลก็คือสมรรถนะการทำงานนั้นจะกำหนดความสำเร็จของเราในที่สุด เมื่อความสำเร็จหมายถึง การมีความรู้สึกคึกคักเหมือนคืนวันศุกร์ตลอดทั้งสัปดาห์ ก็คุ้มนะกับการพยายามคิดบวกมากขึ้นเล็กน้อย เซียเกอร์ว่า 80% ของทักษะที่เราต้องการเพื่อประสบความสำเร็จนั้นคือ ทัศนะคติ เพราะทัศนคติคือ สติที่เราเลือกจะมีได้ เราจึงสามารถควบคุมมันเอง เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่คุณต้องการให้เกิด ขึ้นอยู่กับตัวคุณ
             ถ้า…อยากสนุก
สาเหตุสำคัญที่สุดทีทำให้คุณหมดสนุกทันทีที่ตื่นนอนเช่าวันจันทร์ คือ ความเชื่อที่ว่างานเป็นเรื่องเคร่งเครียด จริง ๆ แล้ว ถ้าคุณคิดว่างานเป็นเรื่องสนุก คุณจะมีความสุข สนุกสนาน คุณก็จะหาวิธีทำให้งานสนุกเองนั่นล่ะ
          ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงให้ดูหลานวัยอนุบาลเป็นตัวอย่างทุกวันไปโรงเรียนของเด็กวัยอนุบาลคือ วันไปเล่นกับเพื่อนสนุกสนาน ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ทุกวัน ลองเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกเมื่อนึกถึงการทำงาน แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นและประสบความสำเร็จกว่าเดิมในที่คุณ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับทัศนคติเท่านั้นเอง ทันทีที่คุณเริ่มรู้สึกแย่เกี่ยวกับงาน ให้รีบปัดออกจากความคิด และพยายามคิดถึงสิ่งดี ๆ เช่น ครั้งล่าสุด ที่คุณหัวเราะเต็มที่ในที่ทำงาน ถ้าทำได้แบบนี้ รับรองว่าคุณจะเพลิดเพลินกับงานที่ทำอยู่
             ถ้า…อยากเจอเพื่อน
เช่นเดียวกับครอบครัว เราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะได้ทำงานกับใคร และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสนิทสนมกับทุกคนในที่ทำงาน แต่ถ้าคุณอยากมีความสุขกับงานที่ทำก็ต้องผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานบางคน ทำไมไม่ลองเริ่มที่กินมื้อเที่ยงด้วยกันล่ะ? เท่าทีต้องทำก็แค่โทรนัดรวมกลุ่มสักสี่ห้าคน โทร จองโต๊ะที่ร้านอาหารคุณจะได้คะแนนในสายตาเจ้านานอีกด้วยนะ เพราะเขาจะรู้สึกว่าคุณมีมนุษยสัมพันธุ์ที่ดี และเขาเห็นว่าคุณเป็นคนสร้างไมตรีกับคนอื่น
              ถ้า…อยากขี้เกียจสักวัน
แย่ที่สุดที่จะดึงให้ขยันทำงาน ในวันที่คุณรู้สึกขี้เกียจที่สุด แต่จะง่ายขึ้นถ้าคุณมีแรงจูงใจ งานวิจัยพบว่า เราจะมีแรงจูงใจทำงานมากขึ้นถ้าอยากได้รับคำชม ไม่ใช่เพราะเงิน เซียเกอร์แนะนำว่า ถ้าไม่มีใครเคยให้เครคิตคุณหรือชื่นชมคุณเลยก็ทำซะเอง ให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณทำงานเสร็จสักชิ้น เช่นหลังจากคุยโทรศัพท์เรื่องน่าปวดหัวจบไปสองสาย คุณก็ให้รางวัลตัวเองด้วยการโทร หาเพื่อนเพื่อเมาส์กันสั้น ๆ การคิดถึงภาพรวมก็ช่วยได้ เมื่อคุณรู้แล้วว่างานกระจุกกระจิกเหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของการได้เลื่อนตำแหน่งคุณก็จะมีแรงจูงใจกว่าเดิม แล้วงานถ่ายเอกสารก็จะไม่เลวร้ายซะทีเดียว
               1192388720                1192388720                1192388720
                 ถ้า…อยากแต่งตัวสวย
ก็ใส่ไปเลยสิ อย่าได้แคร์! กรอบระเบียบหรือยูนิฟอร์ม ทำให้ติดนิสัยใส่ เครื่องแบบไปทำงาน หรือ ถ้าคุณมีเครื่องแบบจริง ๆ ที่ต้องใส่ก็หาวิธีสร้างสีสันให้กับตัวเอง เช่น เตรียมรองเท้าคู่สวยไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือแต่งผมเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย การเติมแต่งง่าย ๆ อาจทำให้ความรู้สึกแตกต่างได้มาก และไม่ทำให้เจ้านายขวางหูขวางตาด้วย ลองใส่ตุ้มหูแปลก ๆ หรือใช้ผ้าพันคอสวย ๆ เพื่อทำให้เชิ้ตเรียบ ๆ สดใสขึ้นมา
                   ถ้า…คุณอยากได้ความรักและเอาใจใส่
เวลาที่คุณเจอปัญหา คุณต้องการคำปลอบใจจากใครสักคน แต่น่าเสียดายที่คุณพาแม่และเพื่อนสนิทไปนั่งทำงานด้วยไม่ได้ แต่คุณสามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผู้คนใส่ใจและเข้าใจกันและกันได้ คุณจะได้รับสิ่งที่คุณมอบให้ ดังนั้นถามตัวเองว่าคุณช่างนินทาหรือเปล่า ร่าเริงหรือเปล่า หรือเป็นคนไม่ใส่ใจใคร แล้วค่อยตัดสินใจว่าคุณอยากเป็นแบบไหนถึงจะสร้างบรรยากาศที่เหมือนบ้านได้มากขึ้น ปฏิบัติกับคนอื่นแบบที่คุณอยากให้เขาปฏิบัติกับคุณ แล้วคุณจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น และพยายามเป็นมิตรกับคนอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้คิดว่าเพื่อนร่วมงานคือเพื่อนมาก่อน
                 ถ้า…อยากกำหนดตารางเวลาเอง
หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของวันหยุดสุดสัปดาห์คืออิสระที่จะทำสิ่งที่เราต้องการในเวลาที่เราต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าเราวางแผนวันทำงานแบบเดียวกับวันหยุดไม่ได้ แต่เราสามารถควบคุมวันทำงานได้หลายวิธี ปรึกษาเจ้านานเพื่อหาวิธีกำหนดจังหวะการทำงาน และลำดับงานของคุณเอง ด้วยการเข้าใจตรงกันว่าคุณจะทำงานสำเร็จต่อวัน ด้วยวิธีนี้ คุณจะทำงานจริงจังได้มากขึ้นในช่วงครึ่งวันแรก และผ่อนคลายกับงานที่สนุกกว่าเดิมในช่วงครึ่งวันหลัง
               ถ้า…อยากอยู่กับแฟนมากขึ้น
ในกรณีนี้ คุณก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกแล้วล่ะ เพราะคุณอยากได้เวลา 4 ชั่วโมงเหมือนเช้าวันเสาร์ มันก็มีเรื่องของการได้นอนน้อยลงล่ะนะ แต่เซ็กส์แบบรวบรัดระหว่างวันและอาหารเช้าบนเตียงก็น่าจะคุ้มถึงคุณจะห่วงเรื่องงานอย่างที่สุด แต่ก็จะสบายใจเป็นปลิดทิ้งเมื่อมีช่วงเช้าแสนสดชื่นด้วยกัน ส่งข้อความ โทรศัพท์ และอีเมล์คือ วิธีง่ายๆ ที่คุณจะติดต่อเขาได้ระหว่างวัน ขอแนะนำว่ากลับถึงบ้านอาบน้ำทันที จะได้หลุดจากบรรยากาศการทำงานเป็นชีวิตสบาย ๆในบ้านทันที

10/3/10

รู้ว่าควรทำ แต่ก็ทำไม่ได้


ภาพจาก:seclub.com
เคยบ้างไหมเวลาเกิดปัญหาในชีวิต  มันจะมีเสียงของเหตุผลบอกเราว่า
เราต้องแก้ปัญหาอย่างนี้สิ ทำอย่างนี้สิ แต่สิ่งที่เราทำลงไปจริง ๆ
กลับกลายเป็นทำตามกำลังของอารมณ์ในขณะนั้น ซึ่งเราก็รู้ว่า
มันไม่ได้ช่วยให้เหตุการ์ณดีขึ้นซ้ำอาจเลวร้ายลงไป หรือมากที่สุด
คือไม่สามารถแก้ไขให้กลับไปดีดังเดิมได้อีกเลย แต่เราก็ยังทำไม่ได้
และกับคนที่เราร่วมชีวิตด้วยที่เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเรา
และถ้าเขาจะทำไม่ได้เหมือนกัน มันก็คงไม่แปลก แต่สิ่งที่ได้รับผล
กระทบแห่งอารมณ์นั้นบางครั้งมันเป็นเพียงสิ่งของที่มีเงินก็ซื้อใหม่ได้
แต่ถ้าสิ่งนั้นมันมีชีวิตจิตใจ การกระทำนั้นมันคงยากที่จะลบเลือนไปจากใจ
ดวงนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นเราต้องหยุดที่ตรงไหนล่ะเหตุการ์ณมันถึงจะ
ไม่ทำร้ายความรู้สึกของทุกฝ่าย เราพูดว่าเราไม่อยากเจอเหตุการ์ณ
นั้นอีกแล้ว แต่เราห้ามเขาได้หรือ ในเมื่อเรายังห้ามตัวเองไม่ได้ หรือจริง ๆ
แล้วเราต้องหยุดไว้ที่ตัวเราเองก่อน 

9/10/10

campaign รณรงค์ต่อต้านการฆ่าตัวตาย

ทุกชีวิตที่เกิดมามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า  ทุกข์ทางกาย   คือการเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย
ทุกข์ทางจิต   สาเหตุเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น   ความอยาก   ความโลภ   ความโกรธ   ความหลง   การดับทุกข์ที่แท้จริง  ต้องดับทุกข์ทางจิต  ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กันเถอะค่ะ  ชีวิตของเรา ( จิต )  จึงจะพบความสงบสุขที่แท้จริง
 

♣ ฆ่าตัวตาย ♣ 

9/2/10

จะป้องกันความหึงหวงได้อย่างไร

ที่มา : เรื่อง วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์/Secret

1. การเลี้ยงดูที่เหมาะสม
    สำหรับการป้องกันการหึงหวงในระยะยาวนั้นต้องเริ่มจากการเลี้ยงดู โดย
ให้เด็กมีพัฒนาการที่ถูกต้อง เหมาะสม เติบโตด้วยความรัก ความอบอุ่น 
สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้ได้ ไม่ลงโทษอย่างรุนแรงจนทำให้เด็ก
เกิดความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัว หรือหวาดผวา เช่น ข่มขู่ว่าจะไม่รัก จะเอา
ไปปล่อย หรือกักขังในห้องมืดหรือห้องแคบ ๆ เป็นต้น เพราะความรู้สึกดังกล่า
จะทำให้เด็กเติบโตอย่างขาดความภาคภูมิใจและขาดความมั่นคงทางจิตใจ
เมื่อมีคนรัก คู่ครอง อาจทำให้เป็นคนขี้หึงหวงได้

2. สร้างคุณค่าและพัฒนาตนเอง
    ควรสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการคิดดี ทำดี ขยันทำหน้าที่ที่รับผิดชอบให้
สำเร็จสมบูรณ์ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พูดจาไพเราะสุภาพ พัฒนาบุคลิกภาพด้วย
การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม นั่ง เดิน ยืน ให้สง่างาม รักษาความสะอาด
ของร่างกายให้ดูดี ไม่มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ตลอดจนพยายามรู้จักคนรัก
หรือคู่ครองของเราให้ดีทุกด้าน เพื่อที่จะได้ปรับตัวอยู่ด้วยกัน รวมทั้งอาจ
ต้องเรียนรู้และปรับตัวต่อคู่ครองในเรื่องความชอบ รูปแบบ และวิธีการมี
เพศสัมพันธ์ที่ลงตัวต่อกันทั้งสองฝ่าย
    หากพัฒนาและสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้ดังกล่าวแล้วก็จะนำไปสู่ความเชื่อ
มั่นว่าตัวเองมีคุณค่าพอที่จะครองใจคนรักคู่ครองได้ ส่งผลให้ลดความรู้สึก
หึงหวงได้เป็นอย่างดี

3. ปรับวิธีคิดและมองคู่รักคู่ครองแต่ด้านดี
    การปรับพฤติกรรมผู้อื่นนั้นอาจไม่ง่ายนัก เพราะเป็นสิ่งภายนอกและอยู่เหนือ
อำนาจการควบคุมของตัวเองแต่การปรับวิธีคิดและมุมมองของตัวเองนั้นเป็น
เรื่องภายใน แม้จะทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็สามารถทำได้ เพราะอยู่ภายในตัวตน
ของเราเอง
    การมองคนรักคู่ครองในด้านดี คือ มองเห็นคุณค่า เห็นโอกาสเห็นความหวัง
เห็นความหมาย ในคนรักคู่ครองของเรา เช่นมองว่าคนรักคู่ครองของเราช่วยให้
เรามีสถานภาพทางสังคมดีขึ้น คนรักคู่ครองมีความหมายต่อชีวิตเราและลูก
ดังนั้นหากสงสัยว่าคนรักนอกใจ แต่ไม่มีหลักญานชัดเจนจับไม่ได้ ก็ให้มองใน
ด้านดีของเขาให้เจอ ค้นหาคุณค่าคุณงามความดีต่าง ๆที่เขามีต่อเราให้มาก ๆ
เพราะการมองเช่นนี้จะช่วยลดทอนความหึงหวงลงและรักษาความสัมพันธ์
ให้ยืนยาวได้

4. ลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักหึงหวงได้
    การลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักคู่ครองหึงหวงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ
คนที่มีคนรักขี้หึง กล่าวคือ จะต้องลดพฤติกรรมที่อาจทำให้ชวนสงสัย เช่น
กลับบ้านไม่ตรงเวลา หายไปโดยไม่บอกกล่าว ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่
สามารถติดต่อได้ เวลาคุยโทรศัพท์แสดงท่าทีวิตกกังวลและเดินเลี่ยงไปพูด
ที่อื่น ไม่อาบน้ำก่อนเข้านอน โดยอ้างว่าอาบมาแล้วจากที่อื่น เป็นต้น เหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้คนรักคู่ครองแสดงความหึงหวงมากขึ้น
ทั้ง ๆ ที่ความจริงตัวเองอาจมิได้นอกใจคนรักคู่ครองเลย
    ความสม่ำเสมอและพฤติกรรมที่โปร่งใสจริงใจจะช่วยลดอาการหึงหวง
ของคนรักคู่ครองได้ไม่มากก็น้อย

5. คุยกับจิตแพทย์
    สาเหตุที่จะทำให้คนเราก็สึกหึงหวงมากคือ มีอาการป่วยด้วยโรคจิตเวช
ชนิดหวาดระแวง หรือโรคประสาทชนิดวิตกกังวล ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่
หึงหวงมากจนนอนไม่หลับ วิตกกังวล ขาดสมาธิในการทำงาน ลุกลี้ลุกลน
หวาดระแวงมากถึงขนาดต้องออกติดตามสอดแนมดูพฤติกรรมคนรักคู่ครอง
อย่างใกล้ชิด จนบางทีอาจถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน
    ใครที่มีอาการหึงหวงถึงขึ้นนี้ควรจะไปพบจิตแพทย์หรือเริ่มปรึกษา
นักวิชาการด้านสุขภาพจิต เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ อาจทำด้วยพฤติกรรม
บำบัด จิตบำบัดหรืออาจถึงขึ้นต้องใช้ยาเพื่อการรักษา ส่วนใหญ่เจ้าตัว
มักไม่คิดว่าอาการหึงหวงที่ตนเป็นอยู่เป็นปัญหา แต่คนที่เป็นคู่รักคู่ครอง
จะรับรู้และอาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญมาก ขอให้เข้าใจว่าอาการมากขนาด
นั้นน่าจะมีการป่วยด้านจิตใจร่วมด้วยจึงควรพาไปพบจิตแพทย์
    หากคู่รักคู่ครองที่มีอาการหึงหวง ไม่ยอมรับ ไม่ยอมมาพบจิตแพทย์
ก็ขอให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบมาปรึกษาจิตแพทย์
ด้วยตนเอง เพื่อจิตแพทย์จะได้จัดยาให้เขารับประทาน ซึ่งเป็นยาน้ำใช้
สำหรับหยดลงในน้ำให้ดื่ม ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส คนที่มีความหึงหวงมาก ๆ
เมื่อได้รับยานี้อาจโดยการที่แฟนแอบเอาหยดใส่น้ำให้ดื่มทุกวัน อาการ
หึงหวงจะลดลงจนปรับตัวได้ และสงบสุขทั้งตัวเองและผู้ที่อยู่ร่วมด้วย
      โดยทั่วไปเมื่อได้รับยาติดต่อกันประมาณ 1 เดือน จะเริ่มเห็นผลอย่าง
ชัดเจน ดังนั้นก็ขอให้มาปรึกษาจิตแพทย์เพื่อการช่วยเหลือ แล้วจะเกิด
ความสงบสุขได้จริง

      6. ฝึกปฏิบัติกรรมฐาน
          วิธีแก้ไขในข้อนี้เป็นข้อแนะนำโดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน
การฝึกกรรมฐาน ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสนากรรมฐาน หรือที่สาธารณชน
ส่วนมากมักจะเรียกง่าย ๆว่าปฏิบัติธรรมนั่นเอง ควรไปปฏิบัติกรรมฐานที่จัดขึ้น
ในวัดหรือในสำนักปฏิบัติธรรมที่มีพระสงฆ์และึึครูบาอาจารย์ที่รู้จริงคอยแนะนำ
จะช่วยทำให้เข้าใจชีวิต เข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของกายและจิต
ซึ่งจะส่งผลให้คลายความกำหนัดยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ลดความยึดมั่นถือมั่นและความเป็นตัวเป็นตนของตนเอง จนพบความสงบ
สุขทางใจได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ความอดทนและเพียรพยายามร่วมด้วย
         อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันแก้ไขอาการหึงหวงทั้งหกวิธี ควรได้รับ
การปรึกษาจากนักสุขภาพจิตและได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ร่วมด้วย
         การฝึกปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพุทธศาสนานั้น ควรจะทำควบคู่กัน
ไปทุก ๆวิธีเพื่อจะได้ผลดีทั้งต่อตัวเองและคนที่คุณรัก แม้้ในชีวิตของความ
เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ยังวนเวียนอยู่กับความรัก โลภ โกรธ หลง
จะทำให้มิอาจละกิเลสได้ทั้งหมด แต่การมีความรักที่มีพื้นฐานของจิตใจ
ที่มั่นคง มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีจิตใจที่มีความเมตตา
กรุณา และรู้จักชื่นชมในคุณงามความดีของผู้อื่น ก็จะช่วยลดละความรู้สึก
หึงหวงที่ทำให้จิตไม่สงบลงได้ แล้วพัฒนาความคิดมาเป็นความห่วงหาอาทร
อย่างสมเหตุผลและปฏิบัติต่อคนรักคู่ครองด้วยความรักที่เหมาะสมในที่สุด
..................................................................................................
เป็นอย่างไรกันบ้างวิธีป้องกันความหึงหวงคงช่วยได้เยอะเลย
ก็อ่านมาจากSecretแล้วก็เลยเอามาเล่าต่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน
แต่ก็ดีเหมือนกันนะคะถ้าเผื่อการที่เราไม่ได้ตัวติดอยู่กับคนรักตลอดเวลา
แทนที่เราจะคิดฟุ้งซ่านเราควรคิดถึงเขาแต่ในแง่ดีก็เขาเป็นคนที่เราเลือก
มาแล้วนี่นา เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีในระดับนึงแหละใช่มั้ยและก็เป็นการ
ให้เกียริตคนที่เรารักด้วยไม่แน่นะเวลาที่เขาคิดนอกลู่นอกทางขึ้นมา
เขาอาจจะคิดถึงข้อดีของเราและเกิดละอายใจว่าเรารักและไว้ใจให้
เกียริตเขามาำกคงไม่มีใครอยากทำลายความเชื่อมั่นและความภาคภูมิ
ใจที่คนรักมีให้ได้ลงคอหรอก
     แต่หากว่ามันเกิดขึ้นจริงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ให้ถือซะว่าเค้ากับเรามันคงไม่ใช่ อย่าไปฝืนมันจะยิ่งทำร้ายตัวเราและ
ความมั่นคงในจิตใจของเรา ให้เราปล่อยเค้าไปตามทางของเค้า(ทางที่
ชอบๆ) ส่วนเราก็ไปตามทางของเรา ทางเส้นใหม่ที่สดใสกำลังรอเรา
อยู่ที่เราได้เป็นอิสระจากคนที่หลอกลวงเรา มันก็เป็นแค่วาระๆนึงเท่านั้นเอง
แล้ววันนึงเราจะพบคนที่ใช่คนนั้น ที่เกิดมาเพื่อเดินไปพร้อม ๆกับเราจริงๆ
หรือลองมองถึงคนที่เค้าลำบากกว่าเรา เด็กที่ขาดความรัก คนที่อดอยาก
ขาดแคลนอาหาร ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าห่มกายในยามหนาว ต้องเดินเท้าเปล่า
คนที่ต้องเก็บเศษอาหารมาเพื่อประทังชีวิต คนเหล่านี้มีอยู่จริง
ถ้าเราลองคิดถึงปัญหาของเราให้น้อยลง ในเมื่อเรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่
และยังมีโอกาสได้พูดคุยกับเค้าคนนั้นอยู่ทุกวันแค่นี้เราควรพอใจ
และควรหาทางทำความดีกับคนรักของเราหรือคุณพ่อคุณแม่หรือ
 คนที่ด้อยโอกาสกว่าเราบ้าง
คงทำให้เราลืมเรื่องการหวาดระแวงไปได้เยอะทีเดียวค่ะ 
เพื่อนๆคงเคยได้ยินมาบ้างว่า เมื่อประตูบานนึงปิดลง จะมีประตูบานใหม่
เสมอที่เปิดรอเราอยู่เสมอ ลองหาแสงสว่างจากประตูบานนั้นนะคะ
แล้วเดินออกไปพบโลกที่กว้างไกล ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอเราอยู่
ไม่ใช่แค่ความรักจากคนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นหรอกคะ

9/1/10

ทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญพิษรักแรงหึง!

ที่มาของเรื่อง : วุณิพงศ์ ถายะพิงค์,Secret

มะลิเป็นภรรยาที่ขึ้หึงมาก
เธอจะคอยติดตามดูตลอดเวลาว่า ในวันหนึ่ง ๆ หลักจากเลิกงานแล้วสามี
ไปไหนกับใคร และเมื่อกลับบ้านผิดเวลา เธอจะซักไซ้สามีโดยละเอียด พร้อม
อารมณ์ที่หงุดหงิด ซึ่งเป็นเหตุนำมาสู่การทะเลาะกันเสมอ บางครั้งรุนแรงมาก
ถึงขั้นตบตีกัน ทำให้สามีรู้สึกเบื่อและรำคาญกับอารมณ์ขี้หึง และกริยาท่าที
ที่คอยสอดแนมสามีตลอดเวลา จนเกือบจะหย่าร้างกันหลายครั้ง

มานพก็เป็นสามีที่ขี้หึงมากเช่นกัน
เขาคอยเฝ้าดูภรรยาไม่ให้คลาดสายตา และกำชับให้กลับบ้านตรงเวลา
เสมอ และมักจะโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ร่วมงานและ้เพื่อน ๆของภรรยาว่า ภรรยา
ไปไหน ไปกับใคร อยู่อย่างไร หากวันไหนภรรยากลับบ้านค่ำ เช่น ไปงานเลี้ยง
กับเพื่อน มานพก็จะโทรศัพท์ตามและสอบถามดูว่า ไปกับใครบ้าง นั่งใกล้ใคร
และเมื่อกลับถึงบ้านก็จะบังคับให้ภรรยาถอดชุดชั้นในให้ดู เพราะต้องการดูว่า
รอยคราบน้ำอสุจิของชายอื่นหรือเปล่า ภรรยาทนไม่ไหวกับความหึงหวงและ
หวาดระแวงของสามีจึงเกิดการทะเลาะกันบ่อยครั้งจนเกือบจะหย่าร้างกัน
ในที่สุดเธอตัดสินใจปรึกษาจิตแพทย์เรื่องสามีขี้หึง จิตแพทย์ได้แนะนำวิธี
การอยู่ร่วมกับสามีขี้หึงและจัดยาชนิดน้ำ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ให้เํธอ
แอบเอาไปหยดใส่น้ำให้สามีดื่มประมาณ 1 เดือน อาการหึงหวงของสามีก็ดีขึ้น
อย่างมาก ทุกวันนี้ทั้งคู่อยู่กันอย่างสงบสุขขึ้น

ตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่เขียนเล่ามานี้เป็นเรื่องจริงและ้เหตุการ์์ณจริงเกี่ยวกับ
คนขึ้หึง ซึ่งสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ระดับง่าย ๆ จนถึงขั้นต้องใช้ยาบำบัดรักษา

รู้จักความหึงหวง
       หึงหวงหมายถึงภาวะที่บุคคลมีอารมณ์ ความรู้สึกหวาดระแวงบุคคลที่ตนเอง
รัก ว่าจะนอกใจหรือไปรักผู้อื่นที่มิใช่ตนเอง ความหึงหวงเกิดขึ้นได้ในสัมพันธ์รัก
ทุกรูปแบบ แต่จะปรากฏชัดเจนและมากในรูปแบบความรักเชิงชู้สาว ความรู้สึกหึงหวง
นำมาซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความหวาดระแวงได้มากมาย อาทิเช่น ติดตาม
สืบเสาะและสอดแนมด้วยรูปแบบต่าง ๆ มีการกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย
ไปจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
        ส่วนหวงแหนนั้น หมายถึง กันไว้สำหรับตน ในด้านพุทธปรัชญา ความรู้สึก
หึงหวงคือกิเลสตัณหาอย่่างหนึ่ง กล่าวคือ อยากให้เขารักเราคนเดียว อยากให้เขา
เป็นของเราคนเดียว และเป็นอุปาทานยึดมั่นว่าเป็นของตน เข้าใจผิดคิดว่า
ควบคุมได้แบบเบ็ดเสร็จ
        แต่ไม่ว่าใครจะมีมุมมองหรือนิยามคำว่าหึงหวงไว้อย่างไร ที่แน่ ๆ ความรู้สึกหึงหวง
ที่มากมายเกินกว่าคำว่าห่วงหานั้นจะนำมาซึ่งความคิดหวาดระแวงและไร้ความสงบสุข
ภายในจิตใจของตนเอง และยังส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะคนรักคู่ครอง
ที่ถูกหึงหวงก็จะพลอยไร้ความสงบสุขไปด้วย ความหึงหวงอาจเป็นความรู้สึกควบคู่หรือ
ใกล้ชิดกับความรู้สึกรักในเชิงชู้สาวมาก แต่การมีความรู้สึกหึงหวงและแสดงออกต่อกัน
แต่พอดีอาจส่งผลต่อความรัก ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในกันและกันได้ แต่ความ
หึงหวงที่มากจนเกินไปจะกัดกร่อนอารมณ์ความรู้สึกของตนจนไร้ความสงบสุข ถึงขั้น
ไม่สบายใจมาก นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ จนไม่สามารถปรับตัวในการดำรงชีวิตได้
ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนี้สามารถเยียวยาได้
...................................................................................................................
บทความนี้อ่านมาจากหนังสือSecretค่ะ เห็นว่าน่าสนใจดีมีใครมีอาการดังนี้บ้างเอ่ย
คงทรมานพิลึกเลยแต่ทุกปัญหาก็ย่อมมีทางแก้ เพื่อชีวิตคู่ที่มีความสุขอะไรที่มันมาก
เกินพอดีก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละค่ะ บทความนี้ยังไม่จบนะมีทางแก้ให้ด้วย ติดตามตอนต่อ
ไปด้วยนะคะ เรื่อง จะป้องกันความหึงหวงได้อย่างไร

8/25/10

สร้างตัวเองให้มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัว

ที่มา : หนังสือเคล็ดลับพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จก้าวหน้า


  


     แน่นอนว่าเราจะต้องเคยเรียนรู้และรู้จักบุคคลที่มีความอัจฉริยะอยู่ในตัว จนทำให้ชื่อเสียง
ขจรขจายไปทั่วโลกกันมาบ้างแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็อย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ วิลเลียม
เช็คสเปียร์ เพลโต และอื่น ๆ อีกมากมาย ชื่อเสียงของคนเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้
ตัวตายไปหลายร้อยปีแล้ว แต่ชื่อเสียงและคุณความดีก็ยังคงปรากฏอยู่ตราบจนถึงปัจจุบัน
และจะมีต่อไปอีกนานเท่านาน
     
     การที่เขามีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวนั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องมีอะไรที่ดีกว่าคนอื่นอย่าง
แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความพากเพียรหรือว่ามันสมองอันปราดเปรื่อง แล้วเราล่ะ อยากเป็น
อย่างพวกเขาบ้างหรือเปล่า


     การก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงระัดับโลกได้นั้น แน่นอนว่าจะต้องมีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แม้ว่า
เราจะไม่สามารถจะเป็นได้อย่างไอน์สไตน์หรือว่าคนอื่น ๆ แต่เราก็สามารถมีความเป็น
อัจฉริยะ และสามารถแสดงให้เห็นได้ในแวดวงและคนรอบข้างของเรา โดยมีข้อแนะนำ
ดังนี้

     1     ความเพียรที่ได้ผล ถ้าเราได้ลองอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จจะเห็น
ได้ว่า เขาทั้งหลายมีความพากเพียรพยายามไม่ท้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซ้ำพยายาม
มากขึ้นหากยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แน่นอนว่าการพยายามทำอะไรอย่างหนัก จะทำให้
เราได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และสามารถแสดงความสามารถของเราออกมาได้อย่าง
ไม่ต้องกลัวเกรงได้เหมือนกัน

ิ     2     คิดและทำ เคยเจอคนประเภทชอบพูดแต่ไม่ชอบทำไหมแน่นอนว่ามีมากในสังคม
ของเรา พูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถึงเวลากลับไม่ยอมทำอะไรสักอย่ง บุคคลที่มีความ
เป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวหรือคนที่อยากจะเป็น จะต้องคิดและลงมือทำเพื่อให้เกิดผล ไม่ว่า
คิดอะไรต้องลองดู เพื่อที่จะได้รู้แจ้งเห็นจริง และเกิดความเชี่ยวชาญต่อการลองผิดลอง
ถูำกนั้น ๆ

     3     อัจฉริยะฝึกฝนกันได้ อย่าไปคิดว่าของอย่างนี้มีมาตั้งแต่กำเนิด เราไม่สามารถทำ
ได้ มีนักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักเขียนหลายคนที่เคยล้มเหลว ล้มลุกคลุกคลานมาโดย
ตลอด แต่ในท้ายที่สุดเขาเหล่านั้นก็ประสบความสำเร็จ ความเป็นอัจฉริยะของบางคน ก็ใช่
ว่าจะมีมาตั้งแต่กำเนิด แต่พวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ จน
กระทั่งพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม

     4     สร้างสิ่งที่เพ้อฝันให้เป็นจริง หากเราคิดแล้ว ไม่ใช่แค่เพ้อมองอย่างเดียว แล้วไม่
ลงมือทำอย่างที่คิด เพราะการที่คิดเพ้ออย่างเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับการนอนหลับ แล้วฝัน
ไปวัน ๆ คนที่เป็นอัจฉริยะ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีจินตนาการสูง และคนเหล่านั้นก็สามารถ
จับจินตนาการเหล่านั้นให้กลายเป็นของจริง อย่างโทมัส เอดิสัน เขาสามารถผลิตหลอดไฟ
ได้ืทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าตามบ้าน หรือจะเป็นเกรมเบลล์ที่สามารถผลิตโทรศัพท์
ได้สำเร็จ

     ความเป็นอัจฉริยะนั้นเราสามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าจะไม่สามารถมีชื่อเสียงก้องโลกได้
แต่ความเป็นอัจฉริยะของเราจะฉายแววเด่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ทำงานร่วมกับผู้อื่น


8/23/10

ตักเตือนตัวเองเสียบ้าง


ที่มา: หนังสือเคล็ดลับพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จก้าวหน้า


           หลาย ๆ ครั้งที่เรามัวแต่ไปเตือนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
โดยลืมที่จะตักเตือนตัวเองเสียบ้าง ทำให้เราทำอะไรผิดพลาดไปมากมาย
ทั้ง ๆที่เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว การเตือน
ตัวเองเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก  หากว่าจิตสำนึกของเรามีพลัง
เราก็จะสามารถเตือนตัวเราเองได้อย่างได้ผลมากยิ่งขึ้น เราจึงต้องรู้จัก
สร้างพลังในการเตือนตัวเอง

          การที่เราเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เรามีความมุ่งมั่นในจิต
และก็สามารถแสดงออกไปทางบุคลิก คำพูด ท่าทาง การเตือนตัวเองที่
ได้ผลจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซ้ำกันทุกวันไม่มีขาดหรือว่างเว้นอย่าง
เด็ดขาด เพราะหากเว้นไปเพียงวัน พลังใจของเราจะลดลงเกือบครึ่งเลยทีเดียว

         มีคนบอกเอาไว้ว่า  ชีวิตของเราจะเป็นไปตามที่เราคิด   ดังนั้นเราจึง
ควรเริ่มต้นด้วยการเตือนตัวเอง และทำตามอย่างที่เราคิดแล้วทุกอย่าง
ก็จะดีขึ้นเอง

         วิธีที่ดีที่สุดของการเตือนตนเอง คือต้องเตือนตัวเองในเวลากลางคืน
เพื่อที่ตื่นเช้ามาจะได้ทำตามที่ต้องการได้อย่างไม่ยากลำบาก
มีวิธีการดังนี้

     1     ควรออกกำลังกายสัก 10นาที การออกกำลังกายจะทำให้ลดความ
เครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี  ทำให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่ว่าวันนี้นทั้งวันเรา
จะต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างก็ตาม

     2     เมื่อจะนอนให้สวดมนต์ การระลึกถึงอะไรที่บริสุทธิ์ขาวสะอาด 
จะทำให้เรามีจิตใจที่แจ่มใสตามไปด้วย

     3     ตอนล้มตัวลงนอนให้คิดว่าเราจะผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ร่างกาย
ของเราปราศจากความเครียดใด ๆ  เพราะหากว่าตอนเรากำลังจะนอนแล้ว
ยังเคร่งเครียดอยู่ ความเครียดจะติดตามเราไปถึงรุ่งเช้า

     4     พูดเตือนตัวเองย้ำ ๆ ก่อนที่จะหลับ อาจจะพูดจนเราหลับไปเลยก็ได้ 
จะทำให้ความต้องการของเราฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา

     5     ในตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ให้พูดกับตัวเองถึงคำเตือนที่เราท่องเอาไว้
ตั้งแต่เมื่อคืนอีกครั้ง


     6     ว่างจากการทำงานก็หมั่นเตือนตัวเองในข้อด้อยของตัวเองหรือข้อที่
อยากจะปรับปรุง เช่น เราเป็นคนขี้อาย ก็บอกกับตัวเองว่าเราจะต้องเชื่อมั่น
ในตนเอง เป็นต้น

     7     หากเจอปัญหาก็ให้ใจเย็น ๆ แน่นอนว่าเวลามีปัญหาเราย่อมจะต้องร้อนใจ
แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นลงมา และเชื่อมั่นในตัวของเราเองว่าจะสามารถ
ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี แล้วความเชื่อมั่นตัวนี้นี่เองก็จะพาเราไปสู่การ
แก้ไข และไขไปสู่ความสำเร็จ

     8     ยามใดที่เราเตือนตัวเอง ต้องมั่นใจว่าเวลานั้นเราไม่มีความเครียดหลง
เหลืออยู่ เพราะหากเรามีความเครียดอยู่ จะทำให้การเตือนของเราไม่ได้ผล
เท่าที่ควร เราควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายก่อนที่จะพูดเตือนอะไรกับตัวเอง

     9     ดูสิว่าเราทำได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า แน่นอนว่าบางครั้ง เราอาจจะเผลอ
ลืมตัวไม่สามารถทำตามที่เราตั้งใจเอาไว้ได้ ดังนั้นการดูว่าตัวเราทำได้อย่าง
ที่ตั้งใจไหมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากว่าเราเผลอทำอะไรที่ไม่ตรงตามความ
ตั้งใจออกไป เราก็จะสามารถแก้ไขได้ ไม่ใช่ปล่อยปละเลยตามเลย

             การเตือนตัวเองเป็นประจำเป็นเรื่องดี เพราะไม่มีใครที่จะเตือนเราได้ดี
เท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว เพราะเราจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

11/17/09

มันเป็นเช่นนั้นเอง

ถ้าทุกสิ่งสรรนั้นผันเปลี่ยน
จะเหลืออะไรให้ไขว่คว้า
ถ้าไม่กังวลกับความตาย
จะเหลืออะไรที่เราทำไม่ได้
ถ้าต้องการให้หด ต้องเริ่มจากการยอมให้ยืด
ถ้าต้องการให้สูญสิ้น ต้องเริ่มจากการยอมให้เฟื่องฟู
ถ้าต้องการได้ ต้องเริ่มจากการให้
นี่คือการเห็นแจ้งในธรรมชาติของสิ่งที่เป็นอยู่
ความอ่อนไหวเอาชนะความแข็งแกร่ง
ความเชื่องช้าเอาชนะความรวดเร็ว
กำลังทำอะไรไม่ต้องอวด
อวดแต่ผล
คำสัตย์นั้นไม่ไพเราะเสนาะหู
คำไพเราะเสนาะหูนั้นไม่ใช่คำสัตย์
คนฉลาดนั้นไม่ต้องการพิสูจน์จุดยืน
คนที่ต้องการพิสูจน์จุดยืนนั้นไม่ฉลาด
ถ้ายังต้องขอให้ผู้อื่นช่วยให้สมบูรณ์
เราจะไม่มีวันสมบูรณ์ที่แท้จริง
ถ้าความสุขนั้นขึ้นกับเงินทอง
ตัวเราเองจะไม่มีความสุขเลย
จงพอใจในสิ่งที่เรามี
จงยินดีกับสิ่งที่เราเป็น
เมื่อประจักษ์ว่าไม่มีอะไรที่ขาดหาย
เมื่อนั้นโลกทั้งหมดเป็นของเรา
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"

จากหนังสือ "ธรรมมะจากพระภูเขา"

10/30/09

Blog read : นอนภาวนา ลดอาการตึงเครียด

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าแก่นแท้แห่งพุทธศานานั้นถึอเป็นหลักแห่งสากล
ที่ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดหรือซีกโลกไหนก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งสิ้น
เช่นเดียวกัย ดร.จอน คาบัต-ซิน เจ้าของหนังสือ Full Catastrophe Living
ที่ออกมาเปิดเผยว่า เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่นำหลังกพุทธศาสนามาปรับใช้
จนสามารถละลายความเครยดที่ต้องเจอะเจอในชีวิตประจำวันให้หายไป
เป็นปลิดทิ้ง ซึ่งหลักดังกล่าวมีชื่อง่าย ๆ ว่า "การอยู่กับปัจจุบันขณะ"

ดร. จอน ได้เขียนไว้ในหนังสือว่า เขาและเพื่อน ๆ เริ่มต้นฝึกการอยู่กับ
ปัจจุบันขณะด้วยวิธีฝึกดูจิตในท่านอนภาวนาเป็นเวลา 45 นาทีหลังอาหารกลางวัน
เริ่มจากนอนหงาย จากนั้นก็กำหนดจิตไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย
ส่วนผลนั้นแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียง 30 นาทีแรกของการนอนภาวนา สามารถ
ทำให้รางกายผ่อนคลายเทียบเท่าการหลับลึก 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว ที่สำคัญ
ยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขี้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย

ในเมื่อการนอนภาวนาหลังมื้ออาหารมีข้อดีอย่างนี้ เห็นทีจะต้องขอตัว
ไปนอนกลางวัน เอ้ย ! นอนภาวนาหลังมื้อเที่ยงบ้างเสียแล้ว
ข้อมูลจาก: ศรัณยู นกแก้ว หนังสือ Secret

10/24/09

best articleบทความดี ๆ 2:เผชิญหน้ากับความกลัวด้วยตัวเอง



คุณเคยกลัวอะไรอย่าสุดจิตสุดใจบ้างไหม
ถ้าตอบว่ากลัวตาย ข้อนี้เห็นจะกลัวกันทุกคน มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป แต่ความกลัวที่ Secret
กำลังจะพูดถึงนี้เป็นความกลัวถึงขั้นที่เรียกว่า"โฟเบีย (Phobia)ซึ่งเป็นอาการกลัวอะไรอย่างมากจน
เกินไป ชนิดที่เรียกว่ามีอาการผวา กลัวอย่างรุนแรงและกลัวแบบไร้เหตุผล ที่สำคัญ ความกลัวที่ว่านี้ยัง
ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของบุคคลน้นด้วย

ผู้ที่เกิดอาการโฟเบียมักมีแนวโน้มที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น ๆ ซึ่งจะ
ส่งผลร้ายต่อไปอีกขั้น เพราะความพยายามในการหลีกเลี่ยงสัตว์ วัตถุ หรืออะไรก็แล้วแต่จะทำให้เกิดความ
เครียดและวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก

โดยทั่วไปแล้วเราสามารถแบ่งอาการโฟเบียออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. โฟเบียแบบจำเพาะ เป็นความกลัวอย่างรุนแรงต่อวัตถุ สัตว์ หรืออะไรบางอย่างแบบเฉพาะเจาะจง
เช่น กลัวหนู กลัวงู กลัวลิฟต์ กลัวเลือด กลัวความมืด กลัวหมอฟัน ฯลฯ
2. โฟเบียทางสังคม เป็นความกลัวสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น กลัวเวที กลัวการปรากฏตัวในที่สาธารณะ
กลัวที่จะต้องทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า ฯลฯ ทำให้ผู้ที่มีความกลัวประเภทนี้มักหลีกเลียงการเข้าสังคม
เพราะกลัวว่าตนเองอาจแสดงอะไรที่ไม่เข้าท่าทำให้อับอายขายหน้าได้ ฟังแล้วอาจคล้ายคนขี้อาย แต่เป็น
อาการแบบอายสุดขั้ว ชนิดที่แทบไม่สามารถไปไหนมาไหนโดยลำพังได้ ซึ่งผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี่ ถ้าไม่
คิดหาทางแก้ไข ก็จะส่งผลร้ายถึงขั้นที่ทำให้เกิดอาการเก็บกด ซึมเศร้า และเสียงต่อการเป็นโรคประสาทได้


ดร.จูเลียน เฮิร์สโกวิตซ์ ซึ่งดูแลเรื่องโฟเบียโดยเฉาะ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้ที่มีอาการโฟเบียมีแนวโน้ม
ที่จะตื่นเต้นง่าย อ่อนไหว มีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ เร็วกว่าคนปกติ นอกจากนั้นยังมักจะเป็นผู้ที่นิยมความ
สมบูรณ์แบบชนิดที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการคลุ้มคลั่งใกล้บ้ากับความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยรวมทั้งมักเป็น
คนช่างเก็บความรู้สึก ซึ่งหากมองย้อนกลับไปคนประเภทนี้มักได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่เน้นการประคบ
ประหงมมากเป็นพิเศษ พวกเขาจึงมักจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ เมื่อโตขึ้นจึงกลายเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อ
ความผิดพลาดต่ำเกินไป

วิธีสลัด ความกลัว ด้วยตัวเอง
ขั้นแรก คุณต้องหันมาเผชิญหน้ากับความจริงและยอมรับว่าตัวเองมีอาการ
อย่างที่ว่าจริง ๆ โดยไม่ต้องไปใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ
ขั้นต่อมา ให้ปล่อยตัวเองไปตามสถานการณ์ นั่นคือ ถ้าคุณพบว่ากำลังตื่นเต้น
ขนาดหนักจนหายใจไม่ค่อยจะออก หัวใจทำท่าคล้ายกับจะหยุดเต้น จงบอกตัวเองว่า " ไม่มีอะไรมากหรอก
ฉันแค่กำลังกังวลใจมากไปหน่อยเท่านั้น" แล้วท่องไว้ในใจว่า " ถึงเหตุการณ์จะไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไร
แต่แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก"
ขั้นสุดท้าย จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว โดยตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เอาไว้
ในแต่ละวันหรือสัปดาห์ เช่น ถ้าคุณกลัวจนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เวลาที่ต้องพบกันคนเยอะ ๆ ก็ลองท้าทายตัวเองด้วย
การตั้งเป้าไว้ว่า วันนี้ฉันจะไปปาร์ตี้ หรือวันนี้ฉันจะยกมือขึ้นขอพูดในที่ประชุม หรือวันนี้ฉันจะชวนเพื่อนไปกินข้าว
และหากโชคร้าย ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างสะดวกง่ายดายตามที่คุณวางแผนไว้ ก็ให้คิดเสียว่า " โธ่เอ้ย...
ไม่เห็นจะเป็นไรเลย"

นอกจากนั้น ดร.คราฮานยังให้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นด้วยว่าจากประสบการณ์ของเขาพบว่า ร้อยละ80-90ของผู้
ป่วยจะมีอาการดีขึ้นหากได้รับการบำบัดพฤติกรรมที่ถูกวิธี ซึ่งไม่ใช่การสอนให้ผู้ป่วยต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง
แต่เป็นการจัดระบบความคิดให้ผู้ป่วยที่มองโลกในมุมใหม่ ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็คือ การสอนให้รู้จักปล่อยวาง
และไม่เอาจริงเอาจังหรือเคร่งเครียดกับสิ่งละอันพันละน้อยที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวันมากจนเกินไป

และเมื่อผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายจิตใจ ก็จะได้รับความสงบทางร่างกายตามมา

ในทางพระพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสภิกขุ ให้ความเห็นเกี่ยวกับความกลัวไว้ในหนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ สรุปความได้ว่า
ความกลัวเป็นหนึ่งในบรรดาหลาย ๆสิ่งที่มีอำนาจมากในการทำลายความสุข ความสำราญ หรือรบกวนประสาทของมนุษย์
และดูเหมือนธรรมชาติจะได้สร้างสัญชาตญาณนี้ให้แก่สัตว์ตั้งแต่เริ่มออกจากครรภ์เลยทีเดียว อุบายหนึ่งที่จะช่วยข่มความ
กลัวได้เป็นอย่างดีก็คือ จิตที่เป็นสมาธิ เพราะในขณะแห่งสมาธิ จิตจะไม่มีการคิดนึกอะไรเลย

เมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้นทางใจ เราก็ต้องหาวิธีการเยียวยาไปที่ใจ ด้วยการลองทำใจให้สบาย ผ่อนคลายตัวเองอีกนิด
แล้วฝึกใจให้เป็นสมาธิอีกหน่อย พร้อมกับให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ ด้วยการท่องไว้ในในว่า " กลัวได้ ก็หายได้ "

" เพียงเท่านี้ความกลัวก็จะพ่ายแพ้ให้แก่ใจที่แข็งแร่งของคุณอย่างไม่ต้องสงสัย"

บทความจาก: เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ หนังสือSecret ปีที่1ฉบับที่21

บทความดีๆ1:แง่คิดดี ๆในการใช้ชีวิตของโอปอล์-ปาณิสรา







- จงมองโลกในแง่ดี และใช้ชีวิตเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้ายที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า

- อย่าเก็บปมด้อยมาทำร้ายชีวิตตัวเอง แต่จงเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

- จงกล้าเผชิญความเป็นจริงของชีวิต แล้วจะผ่านเหตุการ์ณร้าย ๆ ไปได้โดยไม่ต้องทนทุกข์

- ต่อให้ลำบากแค่ไหน อย่าลืมมีน้ำใจกับคนรอบข้าง

- จงรู้จักปล่อยวางและมองความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

- ต้องกล้าที่จะแสดงความรักต่อคนที่เรารัก เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหน
บทความจาก:หนังสือ Secret ปีที่1 ฉบับที่12