11/25/10

โรคเสียดายหนังสือกำเริบ

DSCF8499
เพื่อน ๆเคยบ้างไหมคะหนังสือที่เราไม่ได้หยิบมาอ่านเราก็ไม่เคยจะคิดถึงมันแต่พอนึกขึ้นมาได้ว่ามันหายไปก็แทบจะพลิกบ้านหาเลย มีใครเป็นเหมือนกันบ้างเอ่ย
วันนี้ขายหนังสือได้ 2 เล่ม แต่ก็เป็นอาการเดิมคือ กลัวคิดถึงมันทั้ง ๆที่เวลามันวางอยู่ที่บ้านก็ไม่เคยจะนึกถึงว่าวางอยู่ตรงไหน แต่พอมันจะไปอยู่กับคนอื่นก็กลับเสียดาย แต่เราก็รู้สึกดีตรงที่มันจะได้ไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่ที่ต้องการมันอย่างแท้จริง เห็นคุณค่าของมันเหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่เราอยากจะได้มันมามากมาย แล้วสุดท้ายก็นอนแอ้งแม้งให้ฝุ่นเกาะอยู่มุมหนึ่งของบ้าน
งั้นวันนี้จะเล่าบางส่วนของหนังสือที่กำลังจะขายให้ฟังแล้วกัน เอาที่ดูน่าสนใจดีกว่า
อ้อ ลืมไปหนังสือชื่อ คู่มือโน้มน้าวใจคน
เรื่อง กฏแห่งความมีศักยภาพและความเป็นเลิศ (Law of Power)
       คนเรานั้นอาจมีศักยภาพหรือมีความสามารถพิเศษที่มากกว่าคนอื่นจนถึงระดับที่พวกเขาถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือ มีความแข็งแกร่ง หรือมีความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
           คนที่มีศักยภาพในตัวเองสูงนั้นมาพร้อมด้วยความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจผู้อื่นได้ ความมีศักยภาพคือความสามารถในการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นไปตามการรับรู้ ลูกค้าจะรับรู้ว่าคุณมีศักยภาพในตัวเองมากขึ้น ถ้าคุณแสดงพฤติกรรมด้วยความเชื่อมั่นแต่ไม่ใช่ความหยิ่งทะนง การมีท่าทีสบาย ๆ แต่ไม่ใช่การไม่เอาใจใส่ การมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่ใช่การแสดงตัวว่ารู้ไปเสียทุกอย่างความมีศักยภาพเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวคุณ และคุณจะต้องปลดปล่อยมันออกมา เมื่อใดก็ตามที่คนรับรู้ว่าคุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรอบรู้ และมีความมั่นใจในตัวเอง แน่นอนว่าระดับความเชื่อมั่นของเขาที่มีต่อตัวคุณก็จะสูงขึ้น
       ถ้าคุณพยายามใช้ศักยภาพ หรือความสามาถพิเศษที่คุณมีเหนือคนอื่น แทนที่จะใช้มันเพื่อพวกเขา คุณก็จะสูญเสียกายขาย รวมทั้งเพื่อนของคุณด้วย ศักยภาพหรือความสามารถพิเศษในตัวคุณนั้นจะถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นพลังบางอย่างที่มีอยู่ในตัว และมักจะเรียกกันว่า ผู้ที่มีความเป็นเลิศ หรือมีพรสวรรค์ ซึ่งก็คือ คนที่มีความสามารถและมีคุณลักษณะหรือมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจและทำให้ผู้อื่นเลื่อมใส ศรัทธา และยอมรับได้ ศักยภาพ หรือพรสวรรค์ที่คุณมีนั้นโดยปกติมักจะไม่ได้รับการยอมรับและคนมักไม่ค่อยจะยอมปฏิบัติตาม ถ้าพวกเขาคิดว่าคุณกำลังพยายามที่จะข่มพวกเขาอยู่
        ในงานวิจัยงานหนึ่งเมื่อเร็ว ๆนี้ ที่พูดถึงเรื่องความมีศักยภาพและความน่าเชื่อถือนั้น ได้เปิดเผยว่า 95% ของพยาบาลทั้งหมดเต็มใจที่จะจ่ายยาให้กับคนไข้หลังจากที่ได้รับการสั่งจากหมอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ยานั้นอาจจะทำให้คนไข้ตาย นั่นแหละคือ การมีศักยภาพ และความน่าเชื่อถือ
         เมื่อคุณขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง คนจะทึกทักว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ถ้าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้าของคุณ คุณก็จะเป็นคนที่ใคร ๆก็จะมาหา ขอใหทำให้ลูกค้าของคุณรู้โดยนัยว่า คุณเป็นสุดยอด หรือเป็นหนึ่งในสุดยอดบริษัทชั้นนำ คนโดยทั่วไปชอบที่จะติดต่อกับบริษัทชั้นนำเสมอ
         ช่างซ่อมรถยนต์อาจจะดูเหมือนคนที่ไม่มีศักยภาพ และมีความน่าเชื่อถือมากสักเท่าไหร่นัก แต่เวลาที่รถคุณเสีย พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก พวกเขามีทางแก้ปัญหาให้คุณ ถ้าพวกเขาทำให้การแก้ปัญหาดูเป็นเรื่องง่าย พวกเขาก็จะดูไม่มีศักยภาพและความน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงง่าย ๆ ที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับวิธีการใช้ศักยภาพและความเป็นเลิศ หรือใช้พรสวรรค์ที่ตนเองมี นั่นก็คือ เหตุผลเดียวกับที่ทำให้พวกเขาหลายคนถูกมองว่าเป้นพวกทีชอบสร้างปัญหานั่นเอง
                             จบแล้วจ้า
จริง ๆ อยากจะเขียนเรื่องอื่นต่อนะแต่กลัวหนังสือยับน่ะ เพราะเดี๋ยวต้องส่งให้เขาแล้ว
คราวหน้าจะเอารูปกองหนังสือที่บ้านมาให้เพื่อนดูกันนะคะ ว่ามันแยะจนอ่านไม่ไหวเลยจริง ๆ

11/22/10

กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน

     คือ การรู้สภาพของกายในขณะนั้นว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่ากายจะยืน กายจะเดิน กายจะนั่ง กายจะนอน จะพักผ่อนอันใดมีสติควบคุม จิตต้องกำหนด กำหนดกายยืน กำหนดกายนั่ง กำหนดกายนอน กำหนดกายที่จะเอนลงไปต้องกำหนดทุกอิริยาบถ จะก้าวเยื้องซ้ายและขวาไปที่ไหนกำหนดตั้งสติไว้ให้เป็นปัจจุบัน

     กำหนด  แปลว่า ความรู้ของชีวิตอันมีสติควบคุมเช่น ก่อนจะเดินให้สำรวมจิตอยู่ที่เท้าขวา ตั้งสติปักลงไป แล้วกำหนดในใจคำว่าขวา ให้ยกส้นเท้าขวาขึ้น ตั้งสติระลึกรู้พร้อมกับส้นเท้าขวาที่ยกขึ้นก้าวท้าวขวาไปข้างหน้า สติระลึกรู้พร้อมกับส้นเท้าขวาที่เคลื่อนไปข้างหน้า หนอวางเท้าลงถึงพื้น ปลายเท้าและส้นเท้าลงพร้อมกัน สติระลึกรู้พร้อมกับเท้าที่ลงสัมผัสพื้น หรือจะหยิบสิ่งของอะไร ก็ให้สำรวมจิตอยู่ที่มือข้างที่จะหยิบ ตั้งสติปักลงไปที่มือข้างที่จะหยิบสิ่งของอะไร ก็ให้สำรวมจิตอยู่ที่มือข้างที่จะหยิบ ตั้งสติปักลงไปที่มือข้างที่จะหยิบนั้นแล้วกำหนดในใจว่า หยิบหนอ หยิบหนอ สติระลึกพร้อมกับมือข้างที่กำลังหยิบของสิ่งนั้น เป็นต้น
จากหนังสือ: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม

สติปัฎฐานสี่

คือ ความระลึกอยู่เสมอว่าขณะนี้เราทำอะไร มีสติตั้งมั่นอยู่กับการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จะยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดสติพิจารณาทุกอิริยาบถ
              วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น
การยืน
               ให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตรง หน้าตรง หลับตา ให้สติอยู่ที่กลางกระหม่อม สำรวมจิต เอาสติตาม วาดมโนภาพร่างกาย คำว่า ยืน จากศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ คำว่าหนอ จากสะดือลงไปปลายเท้านับเ้ป็น 1 ครั้ง ครั้งที่สอง กำหนดขึ้นคำว่า ยืน จากปลายเท้ามาหยุดที่สะดือ คำว่าหนอ จากสะดือไปกลางกระหม่อม กำหนดกลับไปกลับมา จนครบ 5 ครั้ง ขณะนั้นสำรวมจิตอยู่ที่ร่างกาย อย่าให้ออกนอกกาย แล้วลืมตา ค่อย ๆ ก้มหน้ามองดูปลายเท้า ให้สติจับอยู่ที่เท้าเพื่อเตรียมเดินจงกรมต่อไป

การเดิน
              กำหนดว่า ขวาย่างหนอ ในใจคำว่า ขวา ยกส้นเท้าขวาขึ้นประมาณ 2นิ้ว เท้ากับใจนึกต้องพร้อมกัน ย่าง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้ายังไม่เหยียบ  คำว่า หนอ เท้าลงถึงพื้นพร้อมกัน จากนั้น สำรวมจิตไว้ที่เท้าซ้ายตั้งสติปักลงไป กำหนดว่า ซ้ายย่างหนอสลับกันเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ระยะก้าวในการเดินห่างกันประมาณ 1 คืบ เพื่อการทรงตัวขณะก้าวได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่แล้ว ให้นำเท้ามาเคียงกัน หน้าตรง หลับตา กำหนดยืนหนอช้าๆ อีก 5 ครั้ง จากนั้นลืมตา ก้มหน้า มองดูปลายเท้า

การกลับ
             กำหนดว่า กลับ...หนอ 4 ครั้ง คำว่า กลับหนอครั้งที่หนึ่งยกปลายเท้าขวา ใช้ส้นเท้าขวาหมุนตัวไปทางขวา 90 องศา ครั้งที่สอง เคลื่อนเท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวา ครั้งที่สามทำเหมือนครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สี่ทำเหมือนครั้งที่ 2 เมื่อครบสี่ครั้งแล้วจะอยู่ในท่ากลับหลัง ต่อไปกำหนด ยืนหนอช้า ๆ อีก 5 ครั้ง ลืมตาก้มหน้า แล้วกำหนดเดินต่อไปจนหมดเวลาที่ต้องการ

การนั่ง
            ให้ทำต่อจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอนเมื่อเดินจงกรมถึงที่จะนั่ง ให้กำหนดยืนหนออีก 5 ครั้ง แล้วกำหนดปล่อยมือลงข้างตัวว่า ปล่อยมือหนอ ๆๆ ช้า ๆ จนกว่าจะลงสุด เวลานั่งค่อย ๆ ย่อลงตัวลง พร้อมกำหนดตามอารมณ์ที่ทำไป จริง ๆ เช่น ย่อตัวหนอ ๆๆ เท้าพื้นหนอๆๆ คุกเข่าหนอ ๆๆ นั่งหนอๆๆ เป็นต้น

วิธีนั่ง
           ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรงหลับตาเอาสติจับอยู่ที่ท้องพอง ยุบ เวลา หายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหรอ ใจนึกกับท้อง ที่พอง ยุบต้องให้ทันกัน ให้สติจับอยู่ที่การพองยุบของท้องเท่านั้น อย่าดูลมที่จมูกอย่าตะเบ็งท้อง ให้รู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้าท้องยุบมาข้างหลัง กำหนดเช่นนี้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

การนอน
           เวลานอนค่อย ๆ เอนตัวนอน พร้อมกับกำหนดตามไปว่านอนหนอ ๆๆ จนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งสติจับอยู่ที่ท้องหายใจเข้าออกยาว ๆ สบาย ๆ ภาวนาพองหนอ ยุบหนอ ได้ยินอะไรก็กำหนดไปเรื่อย ๆ อย่าไปเพ่งที่ท้องมาก ไม่หลับ ให้ตั้งสติไว้ หายใจเรื่อยไปว่า พองหนอ ยุบหรอ จนกว่าจะหลับ เมื่อตื่นก่อนลืมตาให้กำหนดว่า ตื่นหนอ กำหนดที่ท้องว่าพอหนอ ยุบหนอ จนกว่าจะหลับ เมื่อตื่นก่อนลืมตาให้กำหนดว่า ตื่นหนอ กำหนดที่ท้องว่าพองหนอ ยุบหนอ ครู่หนึ่ง แล้วกำหนดลืมตา และการลุกขึ้นนั่งต่อไป  

จากหนังสือ:หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม

11/20/10

mybook


ดูแล้วประทับใจมากเลยค่ะ
ทำให้คิดถึงกองหนังสือที่บ้านที่ถูกทอดทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ
ไม่ได้รับการเหลียวแล ทั้ง ๆที่ตอนแรกอยากจะอ่านมันมากมาย
จะทยอยหยิบมาอ่านให้หมดให้ได้เลย สัญญาจ้ะ

อ่านหนังสือดีดี

11/13/10

Brainวิธีลับสมอง

art_239925
1  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ด้านความคิด การวางแผนจัดการ
2  เคี้ยวอาหารให้ละเอียด  ผลการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยืนยันว่า การเคี้ยวช่วยกระตุ้นสมองส่วนความจำที่เรียกว่า ฮิพโพแคมปัส ควรเคี้ยวคำละ 30 ครั้งขึ้นไปหรือจะเคี้ยวหมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลเสริมด้วยก็ได้
3  ฟังเพลงคลาสสิค ทั้งของบาค (Bach) บีโทเฟน (Beetoven) โมสาร์ท (Mozart) เวลาที่เหมาะคือก่อนนอนหรือช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายเพื่อช่วยปรับคลื่นความคิด
4  รับประทานอาหารเช้า ร่างกายและสมองต้องการสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงานหลังจากว่างเว้นมาเกือบ 12 ชั่วโมง การรับประทานมื้อเช้าจะทำให้สมองกระปรี้กระเปร่า มีสมาธิ ความคิดแล่นฉิว
5  อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์  พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ๆ อาจมีมุมมองบางด้านที่เรามองข้ามหรือคิดไม่ถึง การเรียนรู้ความคิดเห็นของผู้อื่นผ่าน 3 วิธีข้างต้น จะช่วยเปิดโลกทัศน์ มองสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างไกลและรอบด้าน อีกทั้งรู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย
6  วาดรูป  คุณอาจจะอุทธรณ์ว่าฝีมือวาดรูปไม่เป็นสับปะรด แต่การวาดรูปที่ช่วยลับสมองนี้ไม่จำเป็นจะต้องออกมาเหมือนผลงานจิตรกรมือเอก เมื่อคุณจดบันทึกเรื่องอะไร ก็ให้มองทุกอย่างในภาพรวมแล้วประมวลความคิดออกมาเป็นรูปประกอบเรื่องนั้น ๆ จะช่วยคุณจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องจาก หนังสือalternative medicine,ภาพจาก beauty2healthy4u.com

11/11/10

ผู้หญิงกับไมเกรน

10378_20_2[1]
       มีผลการศึกษาออกมาว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นไมเกรนมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะสตรีในช่วงอายุ 25-34 ปี กล่าวคือพบในผู้หญิง 17% ส่วนผู้ชาย 6% ทั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือน การอดอาหารเพื่อรักษารูปร่าง การรับประทานอาหารที่มีผงชูรสหรือประทานไม่เป็นเวลา
            แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าไมเกรนเกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อกันว่าส่วนหนึ่งเป็นไมเกรนไวในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ อากาศ แสง สี เสียง กลิ่นฯลฯ ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการกำเริบคุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นไมเกรน ไม่ว่าจะเป็น อากาศร้อนจัด หนาวจัด การอยู่กลางแดด ความเครียด ความวิตกกังวล การอดนอน การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (แต่ต้องไม่มากเกินไป การนอนหลับที่เกินพอดีก็เป็นปัจจัยกระตุ้นไมเกรนเช่นกัน) ออกกำลังกาย รู้จักปล่อยวาง หางานอดิเรกที่โปรดปราน เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หากต้องการใช้ยาในการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
เรื่องจากหนังสือ alternative medicine

มาทานอาหารเช้ากันเถอะ

ที่มา หนังสือalternative medicine

 2007-10-31_124913_re_อาหารเช้า_1

        ด้วยภารกิจที่รัดตัว ด้วยเวลาที่เร่งรีบ ด้วยความต้องการลดความอ้วนและอื่น ๆ อีกมากมายที่หลายคนยกมาเป็นเหตุผลในการละเลยอาหารม้อเช้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคือมื้อที่สำคัญที่สุด จากมื้อเย็นจนถึงมื้อเช้าเป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร หากคุณข้ามมื้อเช้าไปก็จะกลายเป็น 18 ชั่วโมงกว่าที่จะมีสารอาหารตกถึงร่างกายอีกครั้งในมื้อเที่ยง

          ยามตื่นนอนระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำร่างกายจำเป็นต้องได้รับพลังงานเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาล แต่ถ้าคุณไม่ทานอาหารเช้า ร่างกายจะต้องไปดึงเอาคาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทน แต่คาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทนพลังงานจากอาหารได้อย่างเต็มที่ คนที่พลาดอาหารเช้าจึงขาดความกระฉับกระเฉงหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย หัวสมองไม่ค่อยแล่นเมื่อเทียบกับคนที่ทาน นอกจากนี้คนที่ไม่ทานมื้อเช้ามีแนวโน้มที่จะทานหนักในมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่ควรทานน้อยที่สุดเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการพลังงานน้อยและอาหารถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้ง่าย

         กินมื้อเช้าอย่างราชา กินมื้อเย็นอย่างยาจก แล้วคุณจะมีกำลังวังชา สมองแจ่มใสไปตลอดวัน

ขอบคุณ เรื่องจากหนังสือalternative medicine,photo:webboard sanook.com

11/9/10

Would you like some chocolate?สดใส งดงาม ก็ชีวิตนี่หวานมันเช่นช็อกโกแลต

เรื่อง หนังสือwellfit
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น แต่นอกหน้าต่างยังมืดอยู่เลย ใครล่ะจะอยากตื่นจากฝันหวานบนที่นอนนุ่มๆ สปริงเบาๆ ขี้เกียจอย่างนี้จะทำอย่างไรให้เช้าของคุณเป็นเช้าที่สดใสทุกวัน

อย่ากังวลไปเดี๋ยวแก่นะเออ ไม่เป็นไรมีวิธีไล่ตัวซึมเซา
 1 นาที ดีดตัว ปลุกประสามให้ตื่นตัว ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น (ฮอร์โมนเมลาโทนินที่ทำให้เรารู้สึกง่วงจะหยุดทำงาน)กระพริบตาไล่ความง่วงสัก 1 นาที การกระพริบตาเร็ว ๆ จะทำให้ดวงตาชุ่มชื่นขึ้น เพราะมีน้ำตามาหล่อเลี้ยง ช่วยให้คุณมองเห็นโลกยามเช้าของคุณสว่างสดใส
3 นาที กระตุ้นระบบประสาทด้วยการกดจุด ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่นิ้วก้อยของมืออีกข้างค้างไว้ 30 วินาที ทำเช่นนี้สลับกันทั้งสองข้าง จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้นวดคลึงที่หูเบาๆ เพื่อปลุกประสาทการรับรู้ให้ตื่นตัว สุดท้ายให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างจนกระทั่งฝ่ามืออุ่นขึ้น จะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายทั้งร่างกาย
5 นาที ขยับแขนขยับขากันสักนิดก่อนลุกจากเตียง การยืดเส้นยืดสายจะเป็นการกระตุ้นและคลายกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็นที่ยังนอนขึ้เกียจอยู่ให้ตื่นมารับเช้าวันใหม่พร้อมกับเหยียดแขนเหยียดขาและสะบัดขึ้นบนอากาศแรง ๆ จากนั้นไขว้สลับกันไปมาประมาณ 2-3 นาที ขึ้นต่อไป นอนหงาย ยกหัวเข่าซ้ายพร้อมทั้งยกตัวขึ้นจนกระทั่งข้อศอกขวาแตะหัวเข่า ทำเช่นนี้สลับกันไปมาทั้งสองข้าง ข้างละ 6 ครั้ง การไขว้ขวาสลับไปมาจะปลุกการทำงานของสมองทั้งสองส่วน
10 นาที คู่หูคู่เด็ดสูตรสำเร็จของน้ำกับออกซิเจน ทุกวันหลังตื่นนอนคุณควรดื่มน้ำอุ่นๆ ทันที 1 แก้วใหญ่ เพื่อเป็นการชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในให้สะอาด จากนั้นสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ 10 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างออกซิเจนภายในเซลล์ร่างกาย ร่างกายจะได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน จากนั้นลุกขึ้นยืนตรง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูง ๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกับหายใจออกช้า ๆ ทำเช่นนี้ 10 ครั้ง
15 นาที อาบน้ำเพิ่มพลัง เลือกเจลอาบน้ำกลิ่นหอม ๆ อย่างกลิ่นส้มโอเทศ (Grapefruit)กลิ่นโสมขิง หรือกลิ่นโปรดอื่นใด กลิ่นหอมที่สูดผ่านจมูกในยามเช้าจะปลุกความกระปรี้กระเปร่าคล้ายๆ กับเราเติมพลังงานให้ร่างกายพร้อมรับวันใหม่อย่างสดใสเต็มเปี่ยม ถ้าชอบอาบน้ำอุ่นจะต้องอาบน้ำเย็นตบท้าย เพื่อเป็นการกระชับรูขุมขน หลังอาบน้ำอย่าลืมชโลมผิวอ่อนโยนของคุณด้วยโลชั่นให้ทั่วเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นผิวและถนอมผิวให้คงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
30 นาที เริ่มต้นอาหารเช้าด้วยธัญพืชเคลือบช็อกโกแลต หรือข้าวต้มชีวจิตกับเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ช็อกโกแลตจะช่วยสร้างฮอร์โมนแห่งความสุข แทนที่จะดื่มกาแฟลองดื่มชากลิ่นโรสแมรี่สักถ้วย  แล้วคุณจะได้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่า แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาสำหรับอาหารเช้า ลองเคี้ยวเมล็ดยี่หร่าฝรั่ง (Caraway) 2-3 เม็ด น้ำมันหอมจากเมล็ดนั้นจะช่วยให้ร่างกายคุณตื่นตัวมากขึ้น

11/8/10

Happinessเติมความรวยด้วยความสุข

เรื่อง หนังสือwellfit

เรามีเงินไว้ซื้อความสุข หรือซื้ออะไรก็ได้เพื่อให้รู้สึกดี ๆ ราคาที่เราจ่ายไปเพื่อความสุขและความภูมิใจนั้นแพงกว่าที่ต้องจ่ายเพื่อปัจจัยสี่จริง ๆ เยอะมาก อาหารจานหนึ่งที่กินเพื่ออิ่มท้อง คุณควักเหรียญสิบจ่ายไปกี่เหรียญ แต่อาหารมื้อหนึ่งที่คุณจ่ายเพื่อความสุข ความยังไม่พอจ่าย
คิดในมุมกลับกัน ถ้าพื้นอารมณ์เราเป็นคนมีความสุข เราจะสุขของเราได้เรื่อย ๆ เรารวยแล้วนะ เราทำงานเราก็สุข เรากินอะไรเราก็สุข เราเล่นเราก็สุข เรารวยกว่าเงินในกระเป๋าเราเยอะเลย เราไม่ต้องใช้เงินเยอะแยะคอยซื้อความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว งั้นทำยังไงล่ะเราจะรวยทางลัดเช่นนี้ ก่อนอื่นเราต้องตั้งใจว่าจะมีความสุขกับชีวิต ตั้งใจว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็จะทำด้วยความสุข
คนเรายิ่งโตก็ยิ่งหลงลืมความสุข เริ่มสุขไม่เป็น อุ๊ย! ความรับผิดชอบเยอะมาก ใครมาชวนคุยสนุก ๆ ต้องบอกเบา ๆ คล้ายกับว่าเกรงใจว่าไม่มีเวลาไม่มีสาระ บางคนใช้ความเครียดบีบตัวเองให้ทำอะไรได้มากกว่าที่คิดว่าจะทำได้จนเป็นนิสัย เห็นความเครียดเป็นแรงผลักดันสู่ที่สูง เลยเพาะความเครียดไว้ในเรือนนิสัย บางคนใช้ความโชคร้ายของตนเองเรียกร้องความรักความใส่ใจจนเป็นนิสัย สังเกตดูคนกลุ่มนี้จะมองเห็นแต่ความทุกข์ของตนเอง เรื่องดี ๆ ของตนเองมองไม่เห็น ยกแต่แง่ร้ายขึ้นมาบ่นเรียกคะแนนสงสาร ถ้าได้คบเพื่อนคอเดียวกัน เป็นตั้งวงคุยประชันความทุกข์เพื่อแย่งกันรับโล่ห์สงสาร ใครโชคร้ายน้อยกว่ากลายเป็นผู้แพ้ที่ต้องปลอบผู้ชนะ
ภาวะปัจจุบันผลักเราให้ทุกข์ง่าย ต้องหมั่นตั้งใจจะมีความสุขกับชีวิต ลองถามตัวเอง คุณอยากจะทำอะไรบ้าง คุณตั้งใจจะทำอะไรบ้าง เขียนออกมาทีละอย่าง ก่อนถามตนเองอีกครั้งว่าที่เขียนออกมานั้นอยากจะทำแน่หรือ ถ้ายังตอบว่าใช่ ก็ให้เขียนต่อลงไปว่า คุณตั้งใจจะทำสิ่งนั้นด้วยความสุข ทบทวนความตั้งใจนี้บ่อย ๆ ทุกวันได้ยิ่งดี และลองนึกภาพให้ออกว่าตนเองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร (ถ้าให้นึกเห็นเป็นภาพได้ ก็จะมีพลังมาก) …แล้วความตั้งใจจะค่อย ๆ ผลักดันพฤติกรรมของคุณให้หันหาความสุขเอง
แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

11/7/10

ทบทวนเหตุการณ์

ทุกๆ เย็นลองให้เวลาตนเองทบทวนเหตุการณ์ในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง9dcc420aมากขึ้น
เริ่มจากทบทวนความฝันที่พอจะจำได้ในตอนเช้าค่อย ๆ ระลึกถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นทีละอย่างว่าเกิดอะไรบ้าง คุณทำอะไรไปบ้างในแต่ละสถานการณ์ มีจุดมุ่งหมายหรือคิดและรู้สึกอย่างไรในแต่ละสิ่งที่ทำลงไป และเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้างจากสิ่งที่คุณทำ เมื่อฝึกคิดเช่นนี้บ่อย ๆ คุณจะเริ่มใส่ใจในทุกการกระทำของคุณเอง
พอครบ 7 วัน ก็ให้ทบทวนเหตุการณ์ในรอบ 7 วันนั้นด้วยโดยการบันทึกความสำเร็จ ข้อบกพร่อง พื้นอารมณ์ในรอบอาทิตย์
ย้อนกลับไปมองว่าตั้งแต่ต้นจนสุดสัปดาห์คุณได้พัฒนาอะไรในตัวเองบ้าง และคุณได้เติมสิ่ง ๆดี ให้กับชีวิตอย่างไรบ้างในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
หรือคุณอาจเปลี่ยนวิธีทบทวนเหตุการณ์บ้างก็ได้โดยทบทวนในลักษณะย้อนเหตุการณ์จากช่วงเย็นไปหาช่วงเช้า จากปลายสัปดาห์กลับขึ้นไปหาต้นสัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยเปลี่ยนแนวทัศนะในเรื่องเวลาของตัวคุณเอง

Diaryเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่

เรื่อง  หนังสือwellfit
original_diaries
เพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่  การเขียนเล่าประสบการณ์ทางอารมณ์ที่แย่ ๆ จะเอื้อผลดีต่อสุขภาพ และการวิจัยล่าสุดยังบ่งชี้ว่า  การบันทึกประสบการณ์แห่งความสุขก็ส่งผลดีเช่นกัน Chad M.Burton และ Laura A.King นักจิตวิทยาของUniversity of Missouriได้ให้คนจำนวน 90 คน เขียนไดอารี่ 20 นาทีเป็นเวลา 3 วัน และติดตามผล 3 เดือนหลังจากนั้น บุคคลที่เขียนไดอารี่ในหัวข้อซึ่งไม่พาดพิงถึงอารมณ์ความรู้สึกเลย จะเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพมากกว่าบุคคลที่บันทึกไดอารี่ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสุขประมาณ 5 ครั้ง นักวิจัย Laura A.King แสดงความเห็นว่า การหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์แย่ ๆ อาจก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่ แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่การจดจ่ออยู่กับสิ่งดี ๆจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

11/5/10

ข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปัน






1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด 

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

ที่มา : fwdmail

11/1/10

jealous หึง จัดการได้ถ้า…

p13(2)
เรื่องจากหนังสือคลีโอ:BY GUTTJING
             วันนี้อาการแพ้ท้องดีขึ้นนิดนึงแล้ว ก็เลยมีแรงลุกขึ้นเก็บหนังสือเก่าเอามาจัดให้เรียบร้อยก็อดเปิดอ่านไม่ได้ จัดไปอ่านไปก็ไม่เสร็จสักที เจอบทความนึงในหนังสือคลีโออ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยแต่เอ๊ะ เราเปิดข้ามไปได้ยังไงไม่รู้ ยังไม่เคยได้อ่านเลย  ลองเอามาให้เพื่อน ๆได้อ่านกันบ้างสำหรับวิธีจัดการกับความหึงได้เป็นอย่างดี ดูมีเหตุมีผล ใครทำตามได้น่าจะเอาชนะความหึงได้ เราเองก็ทำตามอยู่หลายข้อในนี้เหมือนกัน แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
เมื่อไหร่ที่เรารักใครสักคน ความหึงมักจะมาเยือนโดยที่เราไม่ตั้งตัว อารมณ์หึง หวง หรือห่วงนั้น เราสามารถควบคุมได้ถ้าเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน เพียงแค่เข้าใจธรรมชาติของมันและเรียนรู้หนทางที่จะปลดปล่อย เพียงเท่านี้ใจคุณก็จะไม่ร้อนรุ่มด้วยการอยากครอบครองอีกต่อไป
              เราจะรักใครสักคนโดยไม่ต้องหึงได้ไหม? ได้และอาจจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกรักใครขึ้นมา เราก็อยากให้เขารักเราคนเดียว นี่ล่ะ ความหึงก็เกิดขึ้นตอนนี้นี่เอง
              “ หึง” เป็นความรู้สึกว่าคนที่เรารัก เขาคือสมบัติของเราเป็นของเราคนเดียว ไม่อยากให้เขาสนใจใคร ไม่อยากให้เขามองใครที่ไหน และถึงเขาจะเป็นสมบัติ  เราลืมไปรึเปล่าว่า เขาก็ต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่ พี่น้องของเขาด้วย ท่าน ว.วชิรเมธี เคยเล่าเรื่องอารมณ์หึงหวงไว้ว่า “เมื่อความอยากครอบครองที่แฝงมาในนามของความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความรักก็กลายร่างเป็นความร้ายได้ทุกเมื่อ”
              ทำไมเราถึงหึง?
“หึง” เป็นส่วนหนึ่งของความกลัว ในทางจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของความหึงไว้ว่า มันคือ ความกลัวความสูญเสีย เพราะเมื่อถึงจุดที่ความสัมพันธ์เริ่มจะไปในทางที่ดีแล้ว คุณจะเริ่มกลัวว่าจะสูญเสียมันไปแทบจะทันที ที่สำคัญความหึงมีหลายระดับความรุนแรง แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นความหึงหวงที่ควบคุมไม่ได้ แบบที่เราเคยเห็นในข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาแล้วเกือบทุกฉบับ ความหึงแบบนี้เป็นอาการแบบที่ว่า ถ้าฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ ซึ่งอันตรายมาก และเป็นกิเลสที่ทำให้คนนั้นกลายเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นความจริงว่า ไม่มีใครและไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
            ทันตแพทย์สม สุจิรา กล่าวไว้ว่า ความกลัวนั้นมีแรงดึงดูด ยิ่งกลัวมากเท่าไหร่ จิตของเราจะดึงดูดให้สิ่งที่เรากลัวนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ บ่อยครั้งที่เราเห็นคู่รักที่หึงหวงกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับลงเอยด้วยความบาดหมางและความไม่ไว้ใจติดใจอยู่เสมอ รอวันที่จะระเบิดออกมา จะเรียกว่า ความหึงเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ไม่พอดี คงไม่ผิดนัก จากหนังสือธรรมะทำไม ของท่าน ว.วชิรเมธี บอกในเรื่องของความรักไว้ว่า ความรักที่สมดุลนั้นต้องเกิดจาก สมอง+หัวใจ สมอง:เหตุผลและสติสัมปชัญญะ   หัวใจ:อารมณ์หรือความรู้สึก สมองและหัวใจควรวางอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลบนตาชั่ง
          แต่มนุษย์ส่วนใหญ่เหมื่อตกหลุมรักใครสักคน หัวสมองมักจะด้านชา แต่หัวใจมักคึกคะนอง ซึ่งทำให้เรามองความรักในแง่ของความสนุกการครอบครอง และนำมาซึ่งความหึงหวงในที่สุด บางครั้งเมื่อความหึงหวงนำพาความรักไปสู่จุดจบ บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองหรือไม่ก็ป่วยด้วยโรคทุกข์ซ้ำซากอย่างยาวนาน   หัวสมองเหมือนกับแจกัน หัวใจเหมือนกับดอกไม้ ทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าทั้งสองอย่างนี้มาอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลเมือไหร่ แจกันและดอกไม้ก็ก่อให้เกิดความงามได้อย่างลงตัว ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
       ความหึงของคุณvs ความหึงของเขา
ความหึงของคุณ เกิดขึ้นแทบจะทันทีเมื่อคุณรักใครสักคน แต่สำหรับผู้หญิงแล้วบางครั้งความหึงหวงมาพร้อมกับความอิจฉาริษยา ซึ่งสองคำนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความหึงเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายคนรักของคุณทำอะไรที่เข้าข่ายของการไม่ซื่อสัตย์ แต่ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นเมื่อคุณหวังและต้องการในการที่จะทำแบบเดียวกันด้วย ทั้งสองอย่างนี้เป็นตัวร้ายในการทำลายความสัมพันธ์ของคุณได้พอๆ กัน ความหึงของผู้หญิงนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายและจางหายยาก เพียงแค่หลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ระยะหลัง ๆ นี้เขาคุยโทรศัพท์บ่อยกว่าปกติและเกือบทุกครั้งจะต้องเดินออกไปคุยห่าง ๆ คุณ มันอาจจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ได้ แต่หัวคุณนั้นได้วาดภาพเรื่องราวไว้เป็นฉาก ๆ แล้ว และคุณพร้อมที่จะทำทุกวิธีทางเพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวคุณคิดถูก
ความหึงของเขา มีเส้นบาง ๆ แบ่งคำว่า  ผู้ชายเอาใจใส่ กับผู้ชายหวงของ  สองบุคลิกนี้แยกกันไม่ยาก ผู้ชายเอาใจใส่จะไม่หึงพร่ำเพรื่อ  และคุณคุณสามารถพูดกับเขาด้วยเหตุและผลได้ แต่ผู้ชายหวงของนั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คุณจะมาเปลี่ยนความคิดเขาได้ ผู้ชายหวงของมาพร้อมกับอารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งถ้าควบคุมไม่อยู่จะกลายเป็นอันธพาลไปเขาสามารถบุกบ้านคุณและค้นข้าวของตู้เสื้อผ้ากระจุยกระจายได้เพียงเพราะว่า เขาคิดว่าคุณซ่อนใครไว้ในบ้าน  ถ้าในชีวิตจริงคุณต้องเจอผู้ชายแบบนี้ ต้องอดทนและบอกเขาว่า ไม่มีอะไรจริง ๆ เขาคิดไปเอง ยิ่งคุณย้ำเขามากเท่าไหร่ เขาจะคิดตรงกันข้ามมากขึ้นเท่านั้น
ความหึงของเรา เมื่อความหึงของหญิงและชายนั้นสวนทางกัน  ทางรับมือที่ดีและยั่งยื่นที่สุดคือ  ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย กลยุทธ์สำคัญที่คุณควรลองใช้คือ ศาสตร์แห่งหยินและหยาง เมื่อฝ่ายใดร้อนมา เราเย็นใส่ ฝ่ายหนึ่งดำ เราต้องขาว มันคือกฏแห่งความสมดุลและจริงแท้ของธรรมชาติ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดจะร้อนหรือดำ ให้เริ่มจากตัวคุณก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงอารมณ์หึงหวงที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ให้ลองทำตาม 6 ข้อต่อไปนี้ดู