Showing posts with label หนังสือ. Show all posts
Showing posts with label หนังสือ. Show all posts

12/14/10

คุณต้องหาสิ่งที่รักให้เจอ

หนังสือทำสิ่งที่รัก…ยังไงก็รุ่ง

         เขียนถึงหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งที่สองแล้วเนื่องจากว่ามีความจริงดี อีกหลายอย่างที่เรามองข้ามและเราไม่ทันสังเกตุกับมันจนมาได้อ่านหนังสือของคุณบัณฑิต จึงรู้สึกว่าจริงสิทำไมเราไม่รีบทำสิ่งที่เรารักเสียแต่วันนี้ เรามัวแต่ทำตามคนอื่นว่าดี นั้นเราลองคิดตามที่หนังสือบอกว่าให้คิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆนั้นคืออะไร ลองมาอ่านหนังสือเล่มนี้กันต่อเลยดีกว่าคะ

ตอนผมอายุ 17 ผมได้อ่านคำคมบทหนึ่งที่กล่าวทำนองว่า
“ถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ ในที่สุด คุณก็จะมีวันหนึ่งที่เป็นวันสุดท้ายของคุณจริงๆ”
คำพูดนี้ฝังใจผมมาตลอด และตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลา 33 ปี ผมจะมองกระจกทุกเช้าและถามตนเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตผมผมจะอยากทำสิ่งที่กำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า?” และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาเป็นไม่ใช่ หลายวันติดต่อกัน ผมก็รู้ทันทีว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ในชีวิตแล้ว
การนึกได้ว่าผมอาจจะตายเร็ว ๆนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยผมได้ดีที่สุดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของชีวิต เพราะแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากภายนอก ศักดิ์ศรี ความกลัวการขายหน้าหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะหายไปจากความคิดทันที เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เหลือเพียงแต่สิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริงการตระหนักได้ว่าเราจะต้องตาย เป็นทางที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะพ้นจากกับดักของความคิดที่ว่าคุณมีอะไรต้องเสีย เพราะในความเป็นจริงชีวิตคุณนั้นเปลือยเปล่าอยู่แล้ว
                                ฉะนั้น
มันไม่มีเหตุผลใด ๆที่จะไม่ทำตามหัวใจของคุณเอง
เวลาของคุณนั้นมีจำกัด ฉะนั้นอย่าเสียมันไปกับการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่างติดอยู่ในกรอบความคิดคนอื่น อย่าให้เสียงของความเห็นคนอื่นดังกลบเสียงข้างในตัวคุณเอง และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าทำตามที่หัวใจและเสียงภายใน เพราะหัวใจของคุณมันรู้อยู่แล้วว่าจริง ๆ คุณต้องการจะเป็นอะไร สิ่งอื่นใดเป็นเรื่องรองลงมา
photo by hugmagazine

ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง

บัณฑิต อึ้งรังษี
ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
จากหนังสือทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
เป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจอีกเล่มหนึ่งของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี เขียนเกี่ยวกับการทำความฝันหรืองานที่เรารักโดยไม่ต้องกลัวกังวล โดยใช้เทคนิคต่าง ๆในเล่มและข้อเสียของการอยู่กับงานที่เราไม่ได้รักมันจะดูดชีวิตชีวาของเราให้หายไปและทำให้เรากลายเป็นคนซังกะตายหมดความฝันเลยทีเดียว วันนี้จะขอนำบางส่วนในหนังสือเล่มนี้มาเขียนให้อ่านกันนะคะ
เปรียบเทียบกระบวนการแบบเก่า&กระบวนการแบบใหม่
กระบวนการแบบเก่า(สร้างคนธรรมดา)
1   หาว่าทำอะไรแล้วรวย หรือมั่นคง(เอาเงินเป็นโจทย์ตั้ง)
2   พยายามจะทำงานนั้น ไม่คำนึงว่าตนชอบหรือไม่
3   กระโดดไป กระโดดมาจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งเห็นคนอื่นทำบางอย่างแล้วรวย ก็ทำตาม
4   ไม่เก่งสักอย่าง
5   ไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่รัก แล้วสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่แรกก็ทำได้ไม่รุ่งเพราะสู้คนที่ทำงานนั้นเพราะรักไม่ได้
6   อายุมากขึ้นถูกlay offจากงาน เพราะบริษัทสามารถหาคนใหม่ที่ถูกกว่าได้ หรือไม่ก็ทนทำงานไปวันๆ(ราชการไล่ออกไม่ได้)รอวันเกษียณ
7   มีชีวิตอยู่แบบซังกะตาย
8   ไม่ได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่ากับสังคมเท่าไรนัก เพราะตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลยจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
9    จากโลกนี้ไปแบบไม่ได้ทิ้งอะไรที่มีค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง
กระบวนการแบบใหม่(สร้างคน พิเศษ ที่ใช้ชีวิตเต็มศักยภาพ)
1    หาให้เจอว่าอะไร คือ งานแห่งชีวิต ที่รักและถนัด
2    คิดถึงตอนจบ ว่าตนต้องการไปถึงตรงไหน ( เช่น เป็นcloth designer อยู่เมืองนอกมีแบรนด์เป็นของตนเอง หรือทำงานอยู่เมืองไทย มีธุรกิจใหญ่เป็นของตนเอง)
3   ใช้เวลาฝึกฝนสิ่งนั้นจนเก่งมาก ๆ
4    มีความสุข สนุกตลอดเวลาในการเดินทาง
5    หาวิธีรุ่งจากสิ่งนั้น ถ้ายากที่จะเห็นในตอนแรก
6    ทุกอย่างตามมา เงินทอง ชื่อเสียง ความสุขในการทำงาน
7    สร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้สังคม และคนรุ่นต่อไป(เพราะตนเองมีเหลือเฟือ สามารถให้เวลา เงินทอง คำแนะนำ บริการที่ดี สิ่งของผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ฯลฯกับคนอื่น)อย่างสตีฟ จ๊อบส์ เฉินหลง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เจ.เค. โรว์ลิ่ง
8   จากโลกนี้ไปแบบ เปลี่ยนโลกเป็นที่จดจำของคนรุ่นหลัง เช่น คานธี เบโอเฟ่น จอห์น เลนนอน

11/25/10

โรคเสียดายหนังสือกำเริบ

DSCF8499
เพื่อน ๆเคยบ้างไหมคะหนังสือที่เราไม่ได้หยิบมาอ่านเราก็ไม่เคยจะคิดถึงมันแต่พอนึกขึ้นมาได้ว่ามันหายไปก็แทบจะพลิกบ้านหาเลย มีใครเป็นเหมือนกันบ้างเอ่ย
วันนี้ขายหนังสือได้ 2 เล่ม แต่ก็เป็นอาการเดิมคือ กลัวคิดถึงมันทั้ง ๆที่เวลามันวางอยู่ที่บ้านก็ไม่เคยจะนึกถึงว่าวางอยู่ตรงไหน แต่พอมันจะไปอยู่กับคนอื่นก็กลับเสียดาย แต่เราก็รู้สึกดีตรงที่มันจะได้ไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่ที่ต้องการมันอย่างแท้จริง เห็นคุณค่าของมันเหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่เราอยากจะได้มันมามากมาย แล้วสุดท้ายก็นอนแอ้งแม้งให้ฝุ่นเกาะอยู่มุมหนึ่งของบ้าน
งั้นวันนี้จะเล่าบางส่วนของหนังสือที่กำลังจะขายให้ฟังแล้วกัน เอาที่ดูน่าสนใจดีกว่า
อ้อ ลืมไปหนังสือชื่อ คู่มือโน้มน้าวใจคน
เรื่อง กฏแห่งความมีศักยภาพและความเป็นเลิศ (Law of Power)
       คนเรานั้นอาจมีศักยภาพหรือมีความสามารถพิเศษที่มากกว่าคนอื่นจนถึงระดับที่พวกเขาถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือ มีความแข็งแกร่ง หรือมีความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
           คนที่มีศักยภาพในตัวเองสูงนั้นมาพร้อมด้วยความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจผู้อื่นได้ ความมีศักยภาพคือความสามารถในการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นไปตามการรับรู้ ลูกค้าจะรับรู้ว่าคุณมีศักยภาพในตัวเองมากขึ้น ถ้าคุณแสดงพฤติกรรมด้วยความเชื่อมั่นแต่ไม่ใช่ความหยิ่งทะนง การมีท่าทีสบาย ๆ แต่ไม่ใช่การไม่เอาใจใส่ การมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่ใช่การแสดงตัวว่ารู้ไปเสียทุกอย่างความมีศักยภาพเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวคุณ และคุณจะต้องปลดปล่อยมันออกมา เมื่อใดก็ตามที่คนรับรู้ว่าคุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรอบรู้ และมีความมั่นใจในตัวเอง แน่นอนว่าระดับความเชื่อมั่นของเขาที่มีต่อตัวคุณก็จะสูงขึ้น
       ถ้าคุณพยายามใช้ศักยภาพ หรือความสามาถพิเศษที่คุณมีเหนือคนอื่น แทนที่จะใช้มันเพื่อพวกเขา คุณก็จะสูญเสียกายขาย รวมทั้งเพื่อนของคุณด้วย ศักยภาพหรือความสามารถพิเศษในตัวคุณนั้นจะถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นพลังบางอย่างที่มีอยู่ในตัว และมักจะเรียกกันว่า ผู้ที่มีความเป็นเลิศ หรือมีพรสวรรค์ ซึ่งก็คือ คนที่มีความสามารถและมีคุณลักษณะหรือมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจและทำให้ผู้อื่นเลื่อมใส ศรัทธา และยอมรับได้ ศักยภาพ หรือพรสวรรค์ที่คุณมีนั้นโดยปกติมักจะไม่ได้รับการยอมรับและคนมักไม่ค่อยจะยอมปฏิบัติตาม ถ้าพวกเขาคิดว่าคุณกำลังพยายามที่จะข่มพวกเขาอยู่
        ในงานวิจัยงานหนึ่งเมื่อเร็ว ๆนี้ ที่พูดถึงเรื่องความมีศักยภาพและความน่าเชื่อถือนั้น ได้เปิดเผยว่า 95% ของพยาบาลทั้งหมดเต็มใจที่จะจ่ายยาให้กับคนไข้หลังจากที่ได้รับการสั่งจากหมอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ยานั้นอาจจะทำให้คนไข้ตาย นั่นแหละคือ การมีศักยภาพ และความน่าเชื่อถือ
         เมื่อคุณขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง คนจะทึกทักว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ถ้าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้าของคุณ คุณก็จะเป็นคนที่ใคร ๆก็จะมาหา ขอใหทำให้ลูกค้าของคุณรู้โดยนัยว่า คุณเป็นสุดยอด หรือเป็นหนึ่งในสุดยอดบริษัทชั้นนำ คนโดยทั่วไปชอบที่จะติดต่อกับบริษัทชั้นนำเสมอ
         ช่างซ่อมรถยนต์อาจจะดูเหมือนคนที่ไม่มีศักยภาพ และมีความน่าเชื่อถือมากสักเท่าไหร่นัก แต่เวลาที่รถคุณเสีย พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก พวกเขามีทางแก้ปัญหาให้คุณ ถ้าพวกเขาทำให้การแก้ปัญหาดูเป็นเรื่องง่าย พวกเขาก็จะดูไม่มีศักยภาพและความน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงง่าย ๆ ที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับวิธีการใช้ศักยภาพและความเป็นเลิศ หรือใช้พรสวรรค์ที่ตนเองมี นั่นก็คือ เหตุผลเดียวกับที่ทำให้พวกเขาหลายคนถูกมองว่าเป้นพวกทีชอบสร้างปัญหานั่นเอง
                             จบแล้วจ้า
จริง ๆ อยากจะเขียนเรื่องอื่นต่อนะแต่กลัวหนังสือยับน่ะ เพราะเดี๋ยวต้องส่งให้เขาแล้ว
คราวหน้าจะเอารูปกองหนังสือที่บ้านมาให้เพื่อนดูกันนะคะ ว่ามันแยะจนอ่านไม่ไหวเลยจริง ๆ

11/20/10

mybook


ดูแล้วประทับใจมากเลยค่ะ
ทำให้คิดถึงกองหนังสือที่บ้านที่ถูกทอดทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ
ไม่ได้รับการเหลียวแล ทั้ง ๆที่ตอนแรกอยากจะอ่านมันมากมาย
จะทยอยหยิบมาอ่านให้หมดให้ได้เลย สัญญาจ้ะ

อ่านหนังสือดีดี

9/26/10

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน






อุตสาห์สัญญาว่าจะอัพบล็อคให้ต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่ค่อยสบาย
แต่ก็ทำไม่ได้จริง ๆเพราะทั้งเพลียและก็ไม่มีเรี่ยวแรงเลย
วันนี้ก็ได้ลุกมานั่งเขียนแล้วก็อยากจะเขียนเกี่ยวกับวรรณกรรม
ที่น่ารัก ดีกว่า เพราะผู้เขียนบอกว่า วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้
เหมาะสำหรับผู้อ่านอายุ 8-88 ปี เลยทีเดียว


เป็นหนังสือที่น่ารักมาก ๆ เล่าถึงเจ้านกนางนวลสีเงินที่บินมาพร้อมกับฝูงตัวนึงแต่โชคร้ายที่พลัดตกไปที่ทะเลและถูกคราบน้ำมันเกาะจับติดขนปีกจนหมดแรงขยับปีกบินสุดท้ายร่อนลงมาได้พบกับเจ้าแมวอ้วนใจดีชื่อ ซอบาส
นกนางนวลขอให้เจ้าแมวสัญญาว่าหากนางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่เบ่งไข่นกนางนวลออกมา เจ้าแมวซอบาสจะช่วยรักษา
สัญญาว่าจะดูแลไข่ของมันให้ปลอดภัยจนกว่าจะฟักและสอนให้ลูกนกบินได้ ได้หรือไม่ ซอบาสรู้ว่าเป็นคำสัญญาที่ยากยิ่ง
แต่ด้วยใจที่มีเมตตามันได้รับคำมั่นสัญญากับนกนางนวลเมื่อแม่นกสิ้นใจมันพร้อมกับพลพรรคมวลแมวท่าเรือทั้งหลายจึงเฝ้าอุ้มชูฟูมฟักเจ้านกน้อยจนออกมาจากไข่และคิดว่าตัวเองเป็นลูกแมว แต่สุดท้ายด้วยสัญชาติญาณของมันทำให้นกน้อย
อยากบินไปบนฟ้ากว้างเหมือนแม่นกผู้กล้าหาญของมันเหล่ามวลแมวจึงสรรหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะให้ลูกนกบินได้ตามที่ได้ให้คำสัญญาไว้แก่แม่ของมันทั้งที่มันเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับแมว
สุดท้ายก็ได้มนุษย์ศิลปินใจดีช่วยเหลือพร้อมกับซอบาสและกำลังใจจากมวลแมวทั้งหลายลูกนกโผบินได้เป็นครั้งแรกเจ้านกร้องบอกแมวอ้วนซอบาสว่า “ฉันรักแม่จ้ะ แม่เป็นแมวดีที่สุด”
“ฉันจะไม่มีวันลืมแม่เลยจ้ะ แมวอื่น ๆ ด้วย”  ซอบาสเฝ้ามองนกนางนวลอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมันไม่รู้ว่า เพราะหยดน้ำฝนหรือหยดน้ำตาที่เอ่อท้นดวงตาสีเหลืองของมัน  แมวดำตัวใหญ่และอ้วนพี แมวทรงคุณธรรมแมวประเสริฐ แมวท่าเรือ




7/23/10

อ่านดวงชนะกรรม

พอดีได้อ่านหนังสือเล่มใหม่(รึเปล่า)ของคุณโจ มณฑานี  ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องดวง
แบบใหม่ ๆ อยากมาแนะนำให้อ่านกันค่ะ รู้สึกว่าน่าสนใจดีเพราะคุณโจได้เขียนโปรย
หลังปกไว้ว่า เมื่ออ่านแล้ว คุณสามารถรู้ได้ว่า คุณเกิดมาทำไม,อาชีพที่เป็นเสียงเรียก
ของคุณคืออะไร,คู่แท้ของคุณเป็นคนแบบไหน พบกันอย่างไร,อดีตชาติของคุณเป็น
ใคร,หนี้กรรมเก่าที่คุณเกิดมาเพื่อแก้ไขคือบทเรียนกรรมเรื่องใด พร้อมกับวิธีแก้ปัญหา
และวิธีดึงศักยภาพที่ดีที่สุดในตัวคุณออกมาเพื่อเอาชนะกรรม
                       นั้นจะมาลองเล่าให้ฟังบางส่วนแล้วกันคะเอาเกี่ยวกับเรื่องความรัก
แล้วกันนะ
                                  ดูคู่รักรู้จักคู่แท้ของคุณ

                            ผู้เชี่ยวชาญวิชาความสัมพันธ์ทั่วโลกกล่าวตรงกันว่า คู่ของเรา
เหมือนกระจก สะท้อนให้เราเห็นตัวเราเอง  ในแง่โหราศาสตร์ก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ นี่คือ
สาเหตุว่าทำไมเรือนคู่ถืออยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเรา-คือเรือนลัคนา
               มีแต่ผ่านความรู้สัมพันธ์กับผู้อื่นเท่านั้น เราจึงจะเรียนรู้ว่าตัวเราเป็นใคร
เรามีนิสัยที่ดีหรือนิสัยที่แย่อย่างไร หากไม่มีคู่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์แล้วเราจะรู้จุดนั้นได้
อย่างไรเล่า 
              บทบาทที่สำคัญกว่านั้นของคู่ แต่เราไม่ค่อยได้รับรู้กันคือ  คู่บางคนก็เข้ามา
ส่งเสริมสนับสนุนด้านดีงามของเราแต่คู่บางคนก็สามารถดึงด้านที่เลวร้ายที่สุดที่
เราไม่เคยรู้ตัวว่าเรามี ในหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดิฉันเขียนไว้หลายเล่ม 
ดิฉันมักยกตัวอย่างชีวิตคู่ของ จอห์นนี่ เดปป์ เสมอ เพราะช่วยบอกนัยสำคัญของความ
สัมพันธ์ให้เราได้ตื่นรู้ได้ดีมากว่า ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่คนสองคนคบกันแต่มันสามารถ
เขย่าเราได้ถึงดวงวิญญาณทีเดียว
                   ตอนเป็นแฟนซุปเปอร์โมเดล เคต มอส นั้น จอห์นนี่เดปป์ได้ชื่อว่าก้าวร้าว
มาก ๆ เขาโด่งดังมากเรื่องโมโหจนพังข้าวของโรงแรมแหลกยับเยินเลย ไม่มีใครกล้า
จ้างเขาเล่นหนังอยู่หลายปี หลังคู่นี้เลิกรากันนานมากและเดปป์ได้พบชีวิตคู่ที่มั่นคงกับ
นักร้องสาวชาวฝรั่งเศส วาเนสซา ปาราดี    ผมกับเคตมอส รักกันมากนะครับ แต่...เรา
ต่างดึงด้านที่เลวร้ายที่สุดของกันและกันออกมา
                      
                          วาเนสซาคือคนที่เข้ามาในชีวิตเดปป์ และดึงด้านที่ดีที่สุดของเขา
หรือคุณอาจจะบอกก็ได้ว่าอาจไม่ใช่วาเนสซาคนเดียว อาจเป็นลูก ๆของเดปป์ด้วย
ก็ได้ ที่ดึงด้านงดงามที่สุดในตัวผู้ชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแบดบอยแห่งฮอลลีวูดออกมา
ได้ ตั้งแต่มีลูกผมเลือกเล่นหนังดี ๆหลายเรื่อง เพราะผมหวังว่าสักวันเมื่อลูก ๆโตขึ้น
อย่างน้อยลูก ๆ ก็จะได้ภูมิใจว่าพ่อของพวกเขาก็ทำงานดีๆ มาบ้างเหมือนกันนะ
                            นี่แหละค่ะคือพลังที่แท้จริงของsoulmates ที่แรงกว่าพลังของ
คนที่เป็นแฟนหรือคนเป็นคู่รักมาก
                                       

                                        ก่อนจะรีบรู้วิธีอ่านชะตาคู่แท้                     
                                   เราต้องเรียนรู้ก่อนว่า คู่แท้คืออะไร

            Soulmates หมายถึง คู่วิญญาณ  ที่มีความผูกพนร้อยรัดทางดวงวิญญาณ 
อย่างแนบแน่น ซึ่งเกิดจากการได้พบและใช้ชีวิตร่วมกันหลายชาติหลายภพที่ผ่านมา
           การผูกพันร้อยรัดทางดวงวิญญาณแบบคู่แท้นั้น เกิดได้กับบทบาทความ
สัมพันธ์หลายรูปแบบมากไม่จำกัดแค่คู่เสน่หาอย่างที่เราเคยเชื่อผิด ๆต่อกันมาเท่านั้น 
เช่นแม่กับลูกชายที่จริง ๆ เป็นเป็น Soulmateกัน ในขณะที่พ่อมีบทบาทเป็นsoul 
companionวิญญาณคู่มิตรเท่านั้น(ยกตัวอย่างกรณีเพื่อนสาวของดิฉันที่พบกับพ่อ
ของลูกเธอเพียงแค่เพื่อให้ได้ลูกคนนี้มา ขณะที่ลูกชายคือโซลเมทของเธอ หรือ
กรณีเจ้าหญิงไดอาน่าและเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งเวลส์ ที่ดวงพระชาตาเห็นชัดเจนว่าเป็น
โซลเมทกันแน่นอน) โซลเมทอ่าจมาในรูปแบบของเพื่อนร่วมสนามรบ ครูกับลูกศิษย์
พี่กับน้อง และรวมทั้งบทบาทคู่ศัตรูที่หักล้างกันอย่างถึงพริกถึงขิงด้วย


,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนดีกว่าแล้วจะมาเขียนเพิ่มอีกนะคะ อ้อหนังสือเล่มนี้ราคา465บาท
แต่ช่วงนี้เขาลด10% แต่ที่ในเวปของ7-11ลดมากกว่าอีกนะคะ แล้วตอนนี้ก็กำลังหา
หนังสือเรื่อง เราจะข้ามเวลามาพบกัน เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับSoumateมาอ่านด้วยซึ่ง
เป็นเหมือนต้นเหตุให้คุณมณฑานีได้มาเขียนหนังสือเรื่องอ่านดวงชนะกรรมให้เราอ่าน
ถ้าใครเคยอ่านก็ลองมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะ


            

7/20/10

Bookreview1 ฉลาด...ได้อีก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

         
                    วันนี้มีหนังสืออีกเล่มนึงจะมา reviewให้ดู อ่านแล้วรู้สึกทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆ
กับการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เพราะว่า ดร.วรภัทร์ ได้แนะนำว่าสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา
ไม่ว่าจะเป็นจากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน อะไรก็แล้วแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆให้เราสังเกตุสิ่งนั้น
ให้หัดดู หัดรู้ อยู่เพียงเท่านั้น อย่าด่วนตัดสินคนอื่น สิ่งอื่น ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามสัญญาเก่าของเราเอง ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น นะ อ่านได้อีก ฉลาดได้อีก

วิศวกรนาซ่า
ผู้เข้าถึงความรู้ใหม่
จะเปิดมุมมองชีวิต
ให้คุณรู้ว่า การใช้ชีวิตที่
ชาญฉลาด
เขาทำกันอย่างไร

 บทนำ

                         คนวางหมากบนกระดานชีวิต
     แต่ละย่างก้าวในชีวิตที่ไม่รู้แน่ว่าจะชักพาไปสู่ความสำเร็จหรือ
ล้มเหลว  ซึ่งเชื่อแน่ว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับมันแตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนปล่อยปละชีวิตตามโชคชะตา กลับมีบางคนมุ่งมั่นที่จะเดิน
ไปข้างหน้าให้ได้ตามเส้นทางที่ตนกำหนด

     ผมเป็นคนไทยที่โชคดีและมีคุณสมบัติอย่างที่องค์การวิจัยอวกาศนาซ่าต้องการและ
ตามหาอยู่ถึง3 ปี จึงจะพบและมอบทุนให้ผมเรียนจนจบดอกเตอร์ ตลอด 7 ปี ที่ทำงานอยู่กับนาซ่า หรือรวมแล้วเกือบ
10 ปี ที่อยู่อเมริกา ทำให้ผมได้สั่งสมประสบการ์ณมากมาย แต่ประสบการ์ณทั้งหมดนี้ไม่เท่ากับการได้พบ
พระพุทธศาสนาแม้นเพียงชั่วพริบตาเดียว

     ในวัยที่ย่าง51 ปี ของชีวิตผมตอนนี้ ผมได้วางแผนชีวิตไว้เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในด้าน
การวางแผนชีวิตและการเป็นนักลงทุนข้ามชาติ หมายถึง ข้ามชาติข้ามภพนะ

         วิธีคิดของผมไม่ค่อยเหมือนใครตั้งแต่เล็กแล้ว ผมชอบมองอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า
what if หรือ ถ้า

          ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะจะทำยังไง

          ผมจะมอง what if ตลอด มองความเป็นไปได้ มองทางแยก ผมคิดนะว่าเวลาเรายืน
อยู่หน้าประตู  แค่เลือกจะเลี้ยวซ้ายกับเลี้ยวขวา ชีวิตเราก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน ซึ่งในเมื่อทาง
เลือกเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ทำไมเราไม่เลือกวางแผนตั้งแต่ต้นว่าเราจะไปทางไหน

           หลังจากจบปริญญาตรีทางด้านเคมีเทคนิคจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ผมตัดสินใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยขอทางบ้านเฉพาะค่าเทอม ๆ แรก และเงินค่าตั๋วเครื่องบินก่อนจะไปตายเอาดาบหน้า ด้วยการหางานประเภทล้างจาน

          หรือแม้กระทั่งเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่ในนิวยอร์ก หาเงินส่งตัวเองเรียน โดยมีคุณปู่เป็นแรงบันดาลใจในยามผมลำบากว่า ขนาดคุณปู่หอบเสื่อผืนหมอนใบออกจากไหหลำมายังเมืองไทยแล้วก็สามารถเติบโตร่ำรวย
ขึ้นมาได้เลย เพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำได้ แต่ขอออกตัวว่าผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ไม่นาน ผมก็หาทุนเรียนฟรีได้จนจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมวัสดุศาสตร์

          ผมว่าผมไม่เก่งและโง่มาตั้งนาน ตอนอยู่จุฬา ฯ ผมได้เกรดแค่ 2.6เอง แต่พอไปอเมริกาแล้วผมไปจับหลัก learn how to learn หรือ วิธีเรียนรู้ เช่นเมื่อไปเจออาจารย์ที่พูดไม่เก่ง กลยุทธ์ที่ใช้ก็คือ สุดยอดพูดคือไม่ต้องพูด ในเมื่อเขาพูดไม่เก่ง เราก็ต้องตั้งคำถามเก่ง คือผมไปแหย่แก เข้าไปหาบ่อย ๆ เอาการบ้านไปถาม  ถามแกว่า อันนี้อะไร ๆ มันอยู่ที่การตั้งคำถามของเราต่างหาก และจะต้องขยันด้วยนะครับ

        ผมเรียนปริญญาโทอยู่ 2 ปี พอใกล้จบก็เกือบจะต้องเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยอยู่แล้วหากไม่ได้อาจารย์ที่ปรึกษา
ชาวอินเดียที่ทำให้ผมไปรู้จักองค์การด้านอวกาศที่ชื่อว่า นาซ่า

        เผอิญว่าที่นาซ่าเขาต้องการคนอย่างผมอยู่พอดี คือ
      หนึ่ง          จบปริญญาตรีวิศวกรเคมี
        สอง              ปริญญาโทด้านโลหะ
        สาม               มีความรู้ด้านชีววิทยา

         ซึ่งตอนเรียนปริญญาโทผมศึกษาเรื่องเหล็กดามในกระดูกคนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวคำนวณ
แรงต่าง ๆ อีกข้อคือต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนสาขามาเป็นวิศวกรเครื่องกล เขาจึงจะให้เรียนต่อเอกแนวประยุกต์ ผสมหลายศาสตร์แบบนี้

        ตอนกลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ไปเรียน เรียนดอกเตอร์อยู่ 7 ปี ที่เรียนนานเพราะเปลี่ยนสาขาเลยต้องปรับพื้นฐานเยอะ ต้องเรียนเซรามิคด้วย

         เขาเรียนผม จับฉ่ายวิศวกร
        
         เพราะคนที่จะเป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบอะไรใหม่ ๆ ได้คนนั้นต้องรู้วิศวกรครบทุกสาขา เขาต้องการคนที่รู้รอบพุง อย่างผมนี่ เขาหามา 3 ปีแล้ว สรุปแล้วผมได้งานที่นาซ่าเพราะฟลุก ไม่ใช่คนเก่งอย่างที่หลายท่านเข้าใจ

         การเป็นแค่นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำงานท่ามกลางคนระดับดอกเตอร์ในองค์การ
นาซ่า เป็นเรื่องกดดันสำหรับผม แต่ผมก็ฟันผ่ามาจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงที่ทำงานในนาซ่า 7 ปี ผมไปคว้ารางวัลจากงานวิจัยเรื่องการเคลือบเซรามิคลงใบพัดเครื่องยนต์ไอพ่นจึงทำกลายเป็น
ที่ยอมรับมากขึ้น

         ...แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย ด้วยเหตุผลที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่ชราลงทุกวัน อีกทั้งต้องการทดแทนพระคุณแผ่นดินอีกด้วย และผมไม่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นคนแก่เหงา ๆ

           ผมกลับมาอยู่เมืองไทยรายได้เปลี่ยนเลย ลดลงจากเดิมมากมาย แต่ผมคิดอย่างมุมานะว่า คนจน ๆ โง่ ๆ อย่างผมไปเหยียบอเมริการโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ภายใน 10 ปี ผมสามารถสร้างฐานะที่อเมริกาได้ ด้วยสมองอย่างผม อยู่เมืองไทยสิบปีผมก็ต้องมีได้

          ส่วนลู่ทางที่จะพาไปให้ถึงเป้าหมาย ผมวางไว้แล้วว่าจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์ก่อนอื่น
          เพราะผมมองอย่างนี้ว่า  ที่สูงเท่านั้นจึงจะเห็นรอบตัว เพราะฉะนั้นถ้าผมเข้าไปทำงานในโรงงานใดโรงงานหนึ่งเท่ากับผมเข้าหุบเขาไปเลย
ชีวิตผมอับเฉาทันที

          ยกตัวอย่างคุณไปโรงงาน A คุณก็ต้องไปอยู่กับเขาจันทร์ถึงเสาร์ คุณจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโรงงาน A แล้วคุณจะวุ่นวายเหมือนหนูเข้าไปปั่นอยู่ในถัง และเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนอายุ 40 กว่า คุณก็พบว่าคุณไปไหนไม่ได้ แล้วคุณก็กลายเป็นขี้ข้าให้แก่คนตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท อย่างนั้นคุณเสร็จเลย นี่เป็นความคิดส่วนตัวของผมในขณะนั้นนะครับ

          ดังนั้น ผมจึงเริ่มจากวางยุทธศาสตร์ชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายกลัยมาอยู่เมืองไทยด้วยการยอมรับเงินเดือน 7,000บาท สำหรับตำแหน่งอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ฯ

          จากนั้น ผมก็วางแผน วางการตลาดกับตนเองว่าทำยังไงคนอย่างผมจะได้เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตะกายดาวแต่ต้องตะกายดาวอย่างมียุทธศาสตร์

              ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าสันดานตัวเองเป็นอย่างไร

               จากนั้นผมนั่งเช็กคนในวงการที่ปรึกษา เช่น อาจารย์ที่ดัง ๆ ในประเทศไทยมีกี่คน คนไหนใกล้เกษียณ แล้วเขามีลูกศิษย์ไว้กี่คน ใครเก่งวิชาอะไรบ้าง วิชาใดกำลังสูญหาย ฯลฯ

              นั่นคือผมคำนวณแล้ว

               การวางแผนที่ชีวิตอย่างเป็นระบบ ประกอบกับความขยันใฝ่รู้ของผม ทำให้ผมก้าวหน้าไปอย่างดีและเป็นขั้นตอนตามแผนที่วาง

                พอวิชาคุณภาพ (Quality) กำลังจะบูม คนเก่งวิชานี้ในเมืองไทยเด่น ๆ มีไม่เกิน 5 คน แต่เนื่องจากตลาด(Market) มันใหญ่ทำไมเราไม่เป็นคนที่หก แล้วผมก็มานั่งดูจุดอ่อนของทั้ง 5 คน เขาเรียนจบทางด้านวิศวะอุตสาหการ ไม่รู้ทางด้านเคมี ไม่รู้ทางด้านเครื่องกล รอบรู้หลาย ๆ ศาสตร์สู้ผมไม่ได้ ในขณะเดียวกัน พอทำตรงนี้ได้ทำจนชำนาญและมีชื่อเสียงแน ผมจะทำแล้วก็อย่างประมาท เพราะศาสตร์ทางด้านบริหาร(Management) ตัวใหม่ ๆ มีมาเรื่อย ๆ

              ผมต้องคอยเปิดหูเปิดตา และคบผู้คนมากมายทั้งผู้ใหญ่และเด็กเสมอ อย่างเกมออนไลน์ เช่น Ranknarok ผมยังเล่นเลย ต้องอย่างสร้างแก๊ป (ช่องว่างระหว่างวัย) ซึ่งผมไม่เพียงเป็นนักเล่นเกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น สมัยก่อนหากมีเวลาว่างผมจะชอบเล่นบริดจ์ หมากรุก อ่านนิยายกำลังภายใน ศึกษาประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังคลั่งไคล้ในการดูฟุตบอลด้วย

              เวลาดูฟุตบอลผมไม่ได้เชียร์ข้างไหน ผมดูว่าถ้าผมเป็นโค้ชผมจะแก้เกมยังไง อย่าลืมนะนักยุทธศาสตร์ต้องดูเรื่องการแก้เกมเรื่อง Management ถ้าผมเป็น อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผมจะทำยังไงถ้าเป็นมูริญโญ่จะทำยังไง แล้วในนัดต่อไปผมจะทำยังไงต่อ ผมจะมองในแง่ Strategy

            นั่นเป็นการเปิดกว้างให้แก่ตัวเอง แล้วเพิ่มความฉลาดทางโลกให้แก่ตัวเองอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแง่นี้เกมกับชีวิตก็ไม่ต่างกัน ผมให้ความสำคัญอย่างมากกับการวางแผนว่าจทำอะไรต่อไป และผมมักจะมองอะไรข้ามช็อตเสมอ มองแบบนักวางแผนอนาคต (Futurist)

             เหมือนเวลาสอนลูกศิษย์ อาจารย์บางคนชอบด่าลูกศิษย์แหลกลาญ แต่ผมไม่ใช่นะ ผมไม่รังแกลูกศิษย์ ผมสอนเต็มที่และก็แทบจะรู้ก่อนสอบแล้วใครเกรด A เกรดB

               ใครที่ B ผมก็จะช่วยให้เขาได้ A ลองคิดดูสิว่าเขาจะรักคุณไหม แล้วเดี๋ยวพวกนี้ไปนั่งในบริษัทใหญ่ ๆ 15ปีผ่านไป ลูกศิษย์ผมตอนนี้ก็อายุ 35 อายุขนาดนี้จะไปอยู่ตำแหน่งไหนล่ะ คือเป็นตัวชงเรื่องแล้วไง กำลังเป็นผู้กุมอำนาจตัดสินใจว่าจะเชิญใครเป็นที่ปรึกษาคนพวกนี้แหละที่สามารถเปลี่ยน
สังคมไทยไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้อาจารย์จับหัวของพวกเขาให้อยู่

             จงให้ความรักก่อนให้ความรู้ แก่พวกเขา
 
               ในแต่ละจังหวัดชีวิตจะมองไปข้างหน้าในระยะ 5 ปี 10 ปีตลอด และสำหรับตอนนี้ผมมองยาวไปถึงบั้นปลายชีวิตทีเดียว โดยหาที่ทางให้ตัวเองเสร็จสรรพ ว่าผมจะไปอยู่วัด นี่เป็นคำตอบสุดท้าย

               ปณิธานของผมอยู่ที่นิพพาน ผมมองว่าไม่ต้องถึงกับจนแต่ก็ไม่ถึงกับรวย มีเวลาส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม เพราะการปฎิบัติธรรม เป็นการลงทุนข้ามชาติ นักวางกลยุทธ์อย่างผมมองข้ามช็อตเลย โลกหน้ามีไม่มีไม่รู้ แต่ในแง่ของการบริหารความเสี่ยง ถ้าเกิดมีแล้วไม่ทำอะไรเลย  ซวย  หรือถ้าไม่มีก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย  แต่โอกาสที่มันมี(กฏแห่งกรรม) มันสูงยิ่งมานั่งกรรมฐาน ความเชื่อมั่นผมร้อยเปอร์เซนต์เลยว่าชาติหน้ามีแน่นอน

               แม้จะวางแผนข้ามชาติข้ามภพไปแล้ว แต่เมื่อได้สัมผัสกับการปฏิบัติธรรม ผมยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับตอนนี้คือ  ความสุขและค้นพบความฉลาดที่ผมไม่เคยได้รับ แม้เดินทางไกลแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับท่องเที่ยวภายในใจของตัวเราเอง ผมยืนยัน
 
                  ทุกวันนี้ ผมยังคงไปทำงานตามบริษัทที่ผมให้คำปรึกษาตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์และนับไปถึง
วันเสาร์ในบางสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภาวนาและดูแลเว็บไซต์ managerroom.com ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นคือเวลาที่เขามอบให้กับครอบครัว โดยเฉพาะกับลูกสาวทั้งสองคนที่อยู่ในวัยร่าเริง

                    สำหรับความฉลาด ทุกคนสามารถเพิ่มพูนได้ตลอดเวลา แต่ความรู้หรือความฉลาดสูงสุด  คือ การที่เราฉลาดได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

                       จงก้าวออกจากไข่แดง  หรือโซนปลอดภัยของคุณ  กล้าคิดใหม่ ทำใหม่ กล้าค้นหาตนเอง กล้ารู้จักพฤติกรรมของตนเอง  กล้ารู้จักตัวแปร  ที่ทำให้เรา โลภ โกรธ หลง

                         สิ่งที่เราเชื่อมทั้งชีวิต อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะรับความเชื่อ ผิด ๆ โดยความกลัว และความติดใจ ความเชื่อต่าง ๆ จะได้รับการยืนยันว่า จริงหรือเท็จ ก็อยู่ที่เราจะต้องกล้าทำ กล้าพิสูจน์

                        มันไม่ง่ายนะครับ จากนักวิทยาศาสตร์ และไม่ใช่คนนับถือพุทธมาก่อนอย่างผมที่จะหันมาเป็นคนศึกษาศาสนาพุทธ  ผมต้องอาศัยความกล้า  ความขยัน ไม่ใช่อ่านเอง คิดเอง แต่เป็นการเดินจงกรม ฝึกสติ ในป่าช้า ฯลฯ

                        มีครูบาอาจารย์ที่เป็นสุดยอดครูจริง ๆ คือ  เปิดพื้นที่ ให้เรารู้เอง พบเอง ไม่ใช่ทำตามฉัน เชื่อฉัน คิดอย่างฉัน

                       ท้ายนี้ เราจะมาเปิดพื้นที่ให้แก่กัน เรียนรู้ แลกเปลี่ยน เข้าใจ สิ่งที่อยู่รอบตัว ยอมรับในความแตกต่าง

                      จากนี้ไป เราและสังคมทั้งหมดจะ ฉลาดได้อีก
.................................................................................................................................................................
วันนี้reviewเท่านี้ก่อน  แล้วจะหาหนังสือที่อ่านแล้วดีมาบอกต่อเพื่อน ๆกันอีกแน่นอน


     

     







1/12/10

must read:ความเรียบง่ายไร้กาลเวลา

กุฏิของข้าอยู่กลางป่าลึก
เถาวัลย์สีเขียวงอกยาวขึ้นทุกปี
ไม่มีข่าวคราวของผู้คน
จะมีบ้างก็แต่เสียงเพลงของคนตัดไม้
เมื่อตะวันฉายข้าชุนจีวร
อ่านกลอนพุทธศาสนาครามีแสงจันทร์
ข้าไม่มีอะไรจะบอกหรอกเพื่อนรัก
หากท่านต้องการพบความหมาย
จงอย่าวิ่งไล่ตามสิ่งทั้งหลายให้มากนัก
"ท่านเรียวกัน"





จงกลับไปสู่ปฐมฐาน และจำไว้ว่าสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีจริง ๆ ก็คือ
หลังคาคุ้มหัว มีอาหารอยู่บนโต๊ะ เวลาที่เหลือจึงน่าจะทำให้ชีวิตร่าเริง
เบิกบาน ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้สร้างสรรค์สิ่งที่เราชอบ ซึ่งไม่มี
อันตรายต่อโลก หากแต่ได้ให้บางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายแก่โลก
"อีแลน เซ็นต์ เจมส์"




เมื่อข้าพเจ้าออกมาที่ชนบท นั่งอยู่ท่ามกลางป่าและหมู่ไม้ไร้เสียงจำนรรจ์
บนโขดเขา มีเวลาเป็นของตัวเองอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าตัดสินใจที่จะใช้
เวลาทั้งหมดเพื่อแสวงหาความสุข ไม่ว่าจะต้องลงทุนไปสักเท่าไหร่...
ข้าพเจ้าแน่วแน่ถึงขนาดเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยเงินเพียงสิบปอนด์ต่อปี
สวมเสื้อหนังสัตว์ กินแต่ขนมปังกับน้ำ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีเวลาทั้งหมด
เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าจะใช้เงินนับพัน ๆ ปอนด์ต่อปีกับชีวิต
ในคฤหาสน หมดเวลาและแรงงานไปกับการดูแลรักษา
"โทมัส ทราเฮิร์น"

6/26/08

บางเสี้ยว บางตอนดี ๆจากหนังสือ




วิธีการมองสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นด้วย"ทัศนคติอันดีงาม" คือการจำกัดเวลาของสถานการณ์นั้น สมมติว่าคุณกำลังจะไปงานเลี้ยงที่บริษัทจัดขึ้น แล้วเจ้านายเก่าคนที่เคยลดตำแหน่งคุณก็จะไปร่วมงานด้วยอีกเหมือนกัน จงจำกัดเวลาให้กับเหตุการณ์แบบนี้ จงพูดกับตัวเองว่า "ฉันก็แค่ไปงานนี้ 5 ชั่วโมง เท่านั้นเอง
จะมากมายอะไรกันหนักหนาเมื่อเทียบกับเวลาทั้งชีวิต" ไม่มากเลย การทำตามวิธีการนี้จะทำให้คุณรู้สึกสงบมากขึ้นและเกิดความคิดว่า "ฉันรับมือเรื่องพวกนี้ได้"
จาก หนังสือ Attitude ทัศนคติคิดบวก




หากเราลืมตัวหลงใหลอยู่ในโลกที่ชื่นชมความสำเร็จ ก็จะทำให้
เรากลายเป็นชีวิตที่ไม่รู้จักพอ เราเคยนึกว่าไปได้ถึงจุดหนึ่ง ตำแหน่ง
หนึ่ง แล้วเราจะหยุด แต่เมื่อเราไปถึงแล้ว เรากลับอยากไปไกลมาก
กว่านั้น เราอยากมีคนชื่นชมมากกว่านั้น เราอยากได้มากกว่านั้น
นั่นทำให้ ความสุขในชีวิตยิ่งน้อยลง ตรงข้ามกับ ทุกข์ของความไม่
พอ และทุกข์ของความอยาก ยิ่งพอกพูนมากขึ้น กว่าเราจะรู้จักหยุด
ก็คือวันที่สิ้นสุดลมหายใจ
จากหนังสือ องศาที่ 361






เมื่อคุณไม่อาจที่จะล่วงรู้ถึงอนาคตได้ คุณก็ต้องเลือกที่จะเชื่อ
เอาอย่างหนึ่ง ระหว่างการเชื่อในสิ่งที่ดี ๆ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขและ
มีความหวัง หรือการเชื่อในสิ่งที่ร้าย ๆ เพื่อให้ตัวเองมีความทุกข์และหมดหวัง
ฉันมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า...เมื่อเราคิดหรือเชื่อในอะไร
สุดท้ายเราก็จะได้มาในสิ่งนั้น ไม่เชื่อคุณก็ลองดูสิ
จากหนังสือ Hope&Breakfast






"ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณรักจะไม่มีวันไหนที่คุณต้องทำงานแม้แต่วันเดียว "
คุณจะยินดีนอนหลับไปแค่ 5 นาทีแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งโต๊ะทำงานต่อโดยแทนที่จะรู้สึกเหนื่อยหรือล้า
คุณกลับดึง พลังแฝง อันมหาศาลออกมาใช้ทำให้คุณหลั่งสารอะดรีนาลินและสารเอนเดอร์ฟีนที่ตื่นเต้น
และปิติสุขด้วยพร้อมกัน เพราะงานนั้นคือ Labour of love แรงงานแห่งความรักค่ะ
จากหนังสือ เงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน

6/25/08

หนังสือดีที่อยากแนะนำค่ะ

ชื่อหนังสือ Hope&Breakfastปรุงความหวังให้ชีวิตของตัวเองทุก ๆ เช้า
ผู้เขียน เฌอมาณย์ รัตนพงศ์ตระกูล
ราคา 160 บาท

วันไหนที่คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวัง

วันนั้นก็จะเป็นอีกหนึ่งวันดี ๆ ของชีวิตคุณ


ความหวัง...อาจเป็นเรื่องที่ใครหลายคนลืมให้ความสำคัญ

แต่แท้จริงแล้วความหวังคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตเชียวนะ

และในหนังสือเล่มนี้

ฉันก็มีหลากหลายวิธีสร้างความหวังให้กับชีวิตมาฝากคุณ

เชื่อมั่นว่าถ้าคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

คุณจะรู้สึกเข้มแข็งและมีพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

..............................................................





ชื่อหนังสือ Attitude ทัศนคติคิดบวก เพราะชีวิต...ออกแบบได้ ตามแต่ใจปรารถนา
ผู้เขียน แคเร็น โอคูลิคซ์
ผู้แปล วรหทัย
ราคา 120 บาท



คู่มือฝ่าฟันวิกฤติ ในวันที่ชีวิตและการงานไม่เป็นใจ


หนังสือเล่มเดียวที่จะเปลี่ยนมุมมองชีวิตและอุปสรรค


ในหน้าที่การงานของคุณให้กลายเป็นบวก


ทัศนคติเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมและรักษาไว้เพื่อสร้างชีวิตที่สดใส


และดีงาม จงเรียนรู้ที่จะเลือกมุมมองของคุณ ทำใจให้เป็นสุขและลงมือดูแล


เอาใจใส่ตัวคุณเองให้ดีที่สุด


--------------------------------------







ชื่อหนังสือ องศาที่ 361
เขียนโดย พีรพล ภัทธนุธาพร "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
ราคา 155 บาท




ในวันที่ผิดหวังท้อแท้ แม้จะมองไปรอบตัว


จนครบ 360 องศาแล้วก็ยังไม่เห็นทางออก


แท้จริงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งองศาที่คนมักมองข้ามไป


เป็นมุมที่ทำให้เราทุกคนค้นพบคุณค่าในตัวเอง


เป็นมุมเล็ก ๆ ที่ทำให้เรารักตัวเองได้มากขึ้น


และสามารถมีความสุขในชีวิตได้มากกว่าเดิม



-------------------------------







เรื่อง อิสรภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้
ผู้แต่ง จ.กฤษณมูรติ
ผู้แปล สุวรรณา หลั่งน้ำสังข์
ราคา 50 บาท
แต่ครั้งแรกที่ตีพิมพ์ อิสรภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้ ได้ถูกยกย่องว่าเป็นพื้นฐานคำสอนทั้งหลายของกฤษณมูรติ เราจะพบการรวบยอดทางความคิดของกฤษณมูรติในส่วนที่ยากลำบากของมวลมนุษย์และปัญหาของชีวิตที่ดำรงอยู่ตลอดกาล

คำนำ (บางส่วน)
"ชีวิตของเราช่างตื้นเขินและว่างเปล่า เราเป็นคนมือสอง"คำพูดดังกล่าว
ของกฤษณมูรติได้สะท้อนถึงก้นบึ้งแห่งชีวิตของคนสมัยใหม่ได้อย่างกระชับ
และท้าทายในเวลาเดียวกัน เขาได้ชี้ว่าผู้คนทุกวันนี้พอใจที่จะรับเอาความคิด
ความเห็น แบะสูตรสำเร็จจากภายนอกเข้ามาอย่างเชื่อง ๆ แทนที่จะพยายามแสวงหา
ด้วยตนเอง เราย่อมให้สิ่งต่าง ๆ มามีอำนาจเหนือเราในทางจิตใจและสติปัญญา
เพราะสิ่งนั้นจะช่วยให้เราเกิดความมั่นคงในชีวิต เป็นเพราะเรากลัวที่จะสูญเสีย
ความมั่นคงและความสะดวกสบาย กลัวที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราจึงยอมให้
ขนบธรรมเนียมประเพณีและผู้ปกครองมากำหนดครอบงำชีวิตเรา ผลคือ เรา
ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเอง ไม่มีอะไรใหม่ในตัวเรา ไม่มีอะไรที่เราไดค้นพบเพื่อ
ตัวเราเอง ไม่มีสิ่งต้นแบบ ดั้งเดิม และกระจ่างแจ้ง แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับการที่
เราได้ตกเป็นทาสที่ไร้โซ่ตรวน




------------------------------------------------


เรื่อง Salmon สอนคน พิมพ์ซ้ำกว่า 100 ครั้ง ยอดขายกว่า ล้านเล่ม ทั่วเอเชีย
ผู้แต่ง Ahm Do-hyeon
ผู้แปล ชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล
แนว จิตวิทยา/พัฒนาตนเอง
ราคา 158 บาท
เรียนรู้ ต่อสู้ ฝันฝ่าอุปสรรค
รู้จัก เข้าใจ และใช้ชีวิตตน อย่างมีคุณค่า





นี่คือเรื่องราวซาบซึ้งแฝงข้อคิดที่ทำให้เราได้เข้าใจความหมาย


ในคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง


ทั้งสุข ทุกข์ เจ็บปวด ห่วงใย ยินดี การเอาชีวิตรอด


ผู้คนในสังคม และความรัก กระทั่งก้าวข้ามผ่านช่วงชีวิตอันสับสนไปได้


แซลมอนที่มีวิถีชีวิตมหัศจรรย์นี้จะทำให้เราได้เข้าถึงธรรมชาติ


และย้อนกลับมามองลึกลงไปใน จิตวิญญาณของเราเอง


เราจะต่อยอดความคิดได้จากเรื่องราว


การค้นหาและต่อสู้ซึ่งอ่านง่ายชวนติดตาม ผ่านภาษาที่งดงาม


เหมือนกับเราได้ว่ายทวนน้ำ ฝ่าอุปสรรค ตามติดฝูงแซลมอนไปด้วย


-----------------------------------------


เรื่อง ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ
ผู้แต่ง ปริญญา ตันสกุล
ราคา 170 บาท




คุณจะบังคับคนอื่นให้ทำดีต่อคุณอย่างเดียวย่อมไม่ได้


ที่เขาทำไม่ดีกับคุณจนทุกข์ใจอยู่นี้


ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นที่ในใจคุณแล้ว


หากคุณคิดจะดับทุกข์ใจของคุณด้วยการไปกระทำที่คนอื่น


คุณย่อมไม่มีทางประสบผลสำเร็จได้เลย


เข้าทำนอง"เกาไม่ถูกที่คัน" ไม่ก็เป็นแค่การ "แก้แค้น" กันเท่านั้นเอง


เมื่อรู้ว่าทุกข์ที่ตรงไหน คุณก็ต้องแก้ไขที่ตรงนี้




-------------------------------------------------------------------------------------------