7/20/10

Bookreview1 ฉลาด...ได้อีก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

         
                    วันนี้มีหนังสืออีกเล่มนึงจะมา reviewให้ดู อ่านแล้วรู้สึกทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆ
กับการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เพราะว่า ดร.วรภัทร์ ได้แนะนำว่าสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา
ไม่ว่าจะเป็นจากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน อะไรก็แล้วแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆให้เราสังเกตุสิ่งนั้น
ให้หัดดู หัดรู้ อยู่เพียงเท่านั้น อย่าด่วนตัดสินคนอื่น สิ่งอื่น ที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามสัญญาเก่าของเราเอง ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น นะ อ่านได้อีก ฉลาดได้อีก

วิศวกรนาซ่า
ผู้เข้าถึงความรู้ใหม่
จะเปิดมุมมองชีวิต
ให้คุณรู้ว่า การใช้ชีวิตที่
ชาญฉลาด
เขาทำกันอย่างไร

 บทนำ

                         คนวางหมากบนกระดานชีวิต
     แต่ละย่างก้าวในชีวิตที่ไม่รู้แน่ว่าจะชักพาไปสู่ความสำเร็จหรือ
ล้มเหลว  ซึ่งเชื่อแน่ว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับมันแตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนปล่อยปละชีวิตตามโชคชะตา กลับมีบางคนมุ่งมั่นที่จะเดิน
ไปข้างหน้าให้ได้ตามเส้นทางที่ตนกำหนด

     ผมเป็นคนไทยที่โชคดีและมีคุณสมบัติอย่างที่องค์การวิจัยอวกาศนาซ่าต้องการและ
ตามหาอยู่ถึง3 ปี จึงจะพบและมอบทุนให้ผมเรียนจนจบดอกเตอร์ ตลอด 7 ปี ที่ทำงานอยู่กับนาซ่า หรือรวมแล้วเกือบ
10 ปี ที่อยู่อเมริกา ทำให้ผมได้สั่งสมประสบการ์ณมากมาย แต่ประสบการ์ณทั้งหมดนี้ไม่เท่ากับการได้พบ
พระพุทธศาสนาแม้นเพียงชั่วพริบตาเดียว

     ในวัยที่ย่าง51 ปี ของชีวิตผมตอนนี้ ผมได้วางแผนชีวิตไว้เป็นขั้นเป็นตอน ทั้งในด้าน
การวางแผนชีวิตและการเป็นนักลงทุนข้ามชาติ หมายถึง ข้ามชาติข้ามภพนะ

         วิธีคิดของผมไม่ค่อยเหมือนใครตั้งแต่เล็กแล้ว ผมชอบมองอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า
what if หรือ ถ้า

          ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะจะทำยังไง

          ผมจะมอง what if ตลอด มองความเป็นไปได้ มองทางแยก ผมคิดนะว่าเวลาเรายืน
อยู่หน้าประตู  แค่เลือกจะเลี้ยวซ้ายกับเลี้ยวขวา ชีวิตเราก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน ซึ่งในเมื่อทาง
เลือกเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ทำไมเราไม่เลือกวางแผนตั้งแต่ต้นว่าเราจะไปทางไหน

           หลังจากจบปริญญาตรีทางด้านเคมีเทคนิคจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ผมตัดสินใจไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยขอทางบ้านเฉพาะค่าเทอม ๆ แรก และเงินค่าตั๋วเครื่องบินก่อนจะไปตายเอาดาบหน้า ด้วยการหางานประเภทล้างจาน

          หรือแม้กระทั่งเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่ในนิวยอร์ก หาเงินส่งตัวเองเรียน โดยมีคุณปู่เป็นแรงบันดาลใจในยามผมลำบากว่า ขนาดคุณปู่หอบเสื่อผืนหมอนใบออกจากไหหลำมายังเมืองไทยแล้วก็สามารถเติบโตร่ำรวย
ขึ้นมาได้เลย เพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำได้ แต่ขอออกตัวว่าผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ไม่นาน ผมก็หาทุนเรียนฟรีได้จนจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมวัสดุศาสตร์

          ผมว่าผมไม่เก่งและโง่มาตั้งนาน ตอนอยู่จุฬา ฯ ผมได้เกรดแค่ 2.6เอง แต่พอไปอเมริกาแล้วผมไปจับหลัก learn how to learn หรือ วิธีเรียนรู้ เช่นเมื่อไปเจออาจารย์ที่พูดไม่เก่ง กลยุทธ์ที่ใช้ก็คือ สุดยอดพูดคือไม่ต้องพูด ในเมื่อเขาพูดไม่เก่ง เราก็ต้องตั้งคำถามเก่ง คือผมไปแหย่แก เข้าไปหาบ่อย ๆ เอาการบ้านไปถาม  ถามแกว่า อันนี้อะไร ๆ มันอยู่ที่การตั้งคำถามของเราต่างหาก และจะต้องขยันด้วยนะครับ

        ผมเรียนปริญญาโทอยู่ 2 ปี พอใกล้จบก็เกือบจะต้องเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยอยู่แล้วหากไม่ได้อาจารย์ที่ปรึกษา
ชาวอินเดียที่ทำให้ผมไปรู้จักองค์การด้านอวกาศที่ชื่อว่า นาซ่า

        เผอิญว่าที่นาซ่าเขาต้องการคนอย่างผมอยู่พอดี คือ
      หนึ่ง          จบปริญญาตรีวิศวกรเคมี
        สอง              ปริญญาโทด้านโลหะ
        สาม               มีความรู้ด้านชีววิทยา

         ซึ่งตอนเรียนปริญญาโทผมศึกษาเรื่องเหล็กดามในกระดูกคนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวคำนวณ
แรงต่าง ๆ อีกข้อคือต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนสาขามาเป็นวิศวกรเครื่องกล เขาจึงจะให้เรียนต่อเอกแนวประยุกต์ ผสมหลายศาสตร์แบบนี้

        ตอนกลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ไปเรียน เรียนดอกเตอร์อยู่ 7 ปี ที่เรียนนานเพราะเปลี่ยนสาขาเลยต้องปรับพื้นฐานเยอะ ต้องเรียนเซรามิคด้วย

         เขาเรียนผม จับฉ่ายวิศวกร
        
         เพราะคนที่จะเป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบอะไรใหม่ ๆ ได้คนนั้นต้องรู้วิศวกรครบทุกสาขา เขาต้องการคนที่รู้รอบพุง อย่างผมนี่ เขาหามา 3 ปีแล้ว สรุปแล้วผมได้งานที่นาซ่าเพราะฟลุก ไม่ใช่คนเก่งอย่างที่หลายท่านเข้าใจ

         การเป็นแค่นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำงานท่ามกลางคนระดับดอกเตอร์ในองค์การ
นาซ่า เป็นเรื่องกดดันสำหรับผม แต่ผมก็ฟันผ่ามาจนได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงที่ทำงานในนาซ่า 7 ปี ผมไปคว้ารางวัลจากงานวิจัยเรื่องการเคลือบเซรามิคลงใบพัดเครื่องยนต์ไอพ่นจึงทำกลายเป็น
ที่ยอมรับมากขึ้น

         ...แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ตัดสินใจกลับเมืองไทย ด้วยเหตุผลที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่ชราลงทุกวัน อีกทั้งต้องการทดแทนพระคุณแผ่นดินอีกด้วย และผมไม่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นคนแก่เหงา ๆ

           ผมกลับมาอยู่เมืองไทยรายได้เปลี่ยนเลย ลดลงจากเดิมมากมาย แต่ผมคิดอย่างมุมานะว่า คนจน ๆ โง่ ๆ อย่างผมไปเหยียบอเมริการโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ภายใน 10 ปี ผมสามารถสร้างฐานะที่อเมริกาได้ ด้วยสมองอย่างผม อยู่เมืองไทยสิบปีผมก็ต้องมีได้

          ส่วนลู่ทางที่จะพาไปให้ถึงเป้าหมาย ผมวางไว้แล้วว่าจะต้องเริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์ก่อนอื่น
          เพราะผมมองอย่างนี้ว่า  ที่สูงเท่านั้นจึงจะเห็นรอบตัว เพราะฉะนั้นถ้าผมเข้าไปทำงานในโรงงานใดโรงงานหนึ่งเท่ากับผมเข้าหุบเขาไปเลย
ชีวิตผมอับเฉาทันที

          ยกตัวอย่างคุณไปโรงงาน A คุณก็ต้องไปอยู่กับเขาจันทร์ถึงเสาร์ คุณจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากโรงงาน A แล้วคุณจะวุ่นวายเหมือนหนูเข้าไปปั่นอยู่ในถัง และเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนอายุ 40 กว่า คุณก็พบว่าคุณไปไหนไม่ได้ แล้วคุณก็กลายเป็นขี้ข้าให้แก่คนตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท อย่างนั้นคุณเสร็จเลย นี่เป็นความคิดส่วนตัวของผมในขณะนั้นนะครับ

          ดังนั้น ผมจึงเริ่มจากวางยุทธศาสตร์ชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายกลัยมาอยู่เมืองไทยด้วยการยอมรับเงินเดือน 7,000บาท สำหรับตำแหน่งอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ฯ

          จากนั้น ผมก็วางแผน วางการตลาดกับตนเองว่าทำยังไงคนอย่างผมจะได้เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตะกายดาวแต่ต้องตะกายดาวอย่างมียุทธศาสตร์

              ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าสันดานตัวเองเป็นอย่างไร

               จากนั้นผมนั่งเช็กคนในวงการที่ปรึกษา เช่น อาจารย์ที่ดัง ๆ ในประเทศไทยมีกี่คน คนไหนใกล้เกษียณ แล้วเขามีลูกศิษย์ไว้กี่คน ใครเก่งวิชาอะไรบ้าง วิชาใดกำลังสูญหาย ฯลฯ

              นั่นคือผมคำนวณแล้ว

               การวางแผนที่ชีวิตอย่างเป็นระบบ ประกอบกับความขยันใฝ่รู้ของผม ทำให้ผมก้าวหน้าไปอย่างดีและเป็นขั้นตอนตามแผนที่วาง

                พอวิชาคุณภาพ (Quality) กำลังจะบูม คนเก่งวิชานี้ในเมืองไทยเด่น ๆ มีไม่เกิน 5 คน แต่เนื่องจากตลาด(Market) มันใหญ่ทำไมเราไม่เป็นคนที่หก แล้วผมก็มานั่งดูจุดอ่อนของทั้ง 5 คน เขาเรียนจบทางด้านวิศวะอุตสาหการ ไม่รู้ทางด้านเคมี ไม่รู้ทางด้านเครื่องกล รอบรู้หลาย ๆ ศาสตร์สู้ผมไม่ได้ ในขณะเดียวกัน พอทำตรงนี้ได้ทำจนชำนาญและมีชื่อเสียงแน ผมจะทำแล้วก็อย่างประมาท เพราะศาสตร์ทางด้านบริหาร(Management) ตัวใหม่ ๆ มีมาเรื่อย ๆ

              ผมต้องคอยเปิดหูเปิดตา และคบผู้คนมากมายทั้งผู้ใหญ่และเด็กเสมอ อย่างเกมออนไลน์ เช่น Ranknarok ผมยังเล่นเลย ต้องอย่างสร้างแก๊ป (ช่องว่างระหว่างวัย) ซึ่งผมไม่เพียงเป็นนักเล่นเกมคอมพิวเตอร์เท่านั้น สมัยก่อนหากมีเวลาว่างผมจะชอบเล่นบริดจ์ หมากรุก อ่านนิยายกำลังภายใน ศึกษาประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังคลั่งไคล้ในการดูฟุตบอลด้วย

              เวลาดูฟุตบอลผมไม่ได้เชียร์ข้างไหน ผมดูว่าถ้าผมเป็นโค้ชผมจะแก้เกมยังไง อย่าลืมนะนักยุทธศาสตร์ต้องดูเรื่องการแก้เกมเรื่อง Management ถ้าผมเป็น อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผมจะทำยังไงถ้าเป็นมูริญโญ่จะทำยังไง แล้วในนัดต่อไปผมจะทำยังไงต่อ ผมจะมองในแง่ Strategy

            นั่นเป็นการเปิดกว้างให้แก่ตัวเอง แล้วเพิ่มความฉลาดทางโลกให้แก่ตัวเองอีกทางหนึ่ง ซึ่งในแง่นี้เกมกับชีวิตก็ไม่ต่างกัน ผมให้ความสำคัญอย่างมากกับการวางแผนว่าจทำอะไรต่อไป และผมมักจะมองอะไรข้ามช็อตเสมอ มองแบบนักวางแผนอนาคต (Futurist)

             เหมือนเวลาสอนลูกศิษย์ อาจารย์บางคนชอบด่าลูกศิษย์แหลกลาญ แต่ผมไม่ใช่นะ ผมไม่รังแกลูกศิษย์ ผมสอนเต็มที่และก็แทบจะรู้ก่อนสอบแล้วใครเกรด A เกรดB

               ใครที่ B ผมก็จะช่วยให้เขาได้ A ลองคิดดูสิว่าเขาจะรักคุณไหม แล้วเดี๋ยวพวกนี้ไปนั่งในบริษัทใหญ่ ๆ 15ปีผ่านไป ลูกศิษย์ผมตอนนี้ก็อายุ 35 อายุขนาดนี้จะไปอยู่ตำแหน่งไหนล่ะ คือเป็นตัวชงเรื่องแล้วไง กำลังเป็นผู้กุมอำนาจตัดสินใจว่าจะเชิญใครเป็นที่ปรึกษาคนพวกนี้แหละที่สามารถเปลี่ยน
สังคมไทยไปในทางที่ดีขึ้น ขอให้อาจารย์จับหัวของพวกเขาให้อยู่

             จงให้ความรักก่อนให้ความรู้ แก่พวกเขา
 
               ในแต่ละจังหวัดชีวิตจะมองไปข้างหน้าในระยะ 5 ปี 10 ปีตลอด และสำหรับตอนนี้ผมมองยาวไปถึงบั้นปลายชีวิตทีเดียว โดยหาที่ทางให้ตัวเองเสร็จสรรพ ว่าผมจะไปอยู่วัด นี่เป็นคำตอบสุดท้าย

               ปณิธานของผมอยู่ที่นิพพาน ผมมองว่าไม่ต้องถึงกับจนแต่ก็ไม่ถึงกับรวย มีเวลาส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม เพราะการปฎิบัติธรรม เป็นการลงทุนข้ามชาติ นักวางกลยุทธ์อย่างผมมองข้ามช็อตเลย โลกหน้ามีไม่มีไม่รู้ แต่ในแง่ของการบริหารความเสี่ยง ถ้าเกิดมีแล้วไม่ทำอะไรเลย  ซวย  หรือถ้าไม่มีก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย  แต่โอกาสที่มันมี(กฏแห่งกรรม) มันสูงยิ่งมานั่งกรรมฐาน ความเชื่อมั่นผมร้อยเปอร์เซนต์เลยว่าชาติหน้ามีแน่นอน

               แม้จะวางแผนข้ามชาติข้ามภพไปแล้ว แต่เมื่อได้สัมผัสกับการปฏิบัติธรรม ผมยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับตอนนี้คือ  ความสุขและค้นพบความฉลาดที่ผมไม่เคยได้รับ แม้เดินทางไกลแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับท่องเที่ยวภายในใจของตัวเราเอง ผมยืนยัน
 
                  ทุกวันนี้ ผมยังคงไปทำงานตามบริษัทที่ผมให้คำปรึกษาตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์และนับไปถึง
วันเสาร์ในบางสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภาวนาและดูแลเว็บไซต์ managerroom.com ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นคือเวลาที่เขามอบให้กับครอบครัว โดยเฉพาะกับลูกสาวทั้งสองคนที่อยู่ในวัยร่าเริง

                    สำหรับความฉลาด ทุกคนสามารถเพิ่มพูนได้ตลอดเวลา แต่ความรู้หรือความฉลาดสูงสุด  คือ การที่เราฉลาดได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

                       จงก้าวออกจากไข่แดง  หรือโซนปลอดภัยของคุณ  กล้าคิดใหม่ ทำใหม่ กล้าค้นหาตนเอง กล้ารู้จักพฤติกรรมของตนเอง  กล้ารู้จักตัวแปร  ที่ทำให้เรา โลภ โกรธ หลง

                         สิ่งที่เราเชื่อมทั้งชีวิต อาจจะผิดก็ได้ เราอาจจะรับความเชื่อ ผิด ๆ โดยความกลัว และความติดใจ ความเชื่อต่าง ๆ จะได้รับการยืนยันว่า จริงหรือเท็จ ก็อยู่ที่เราจะต้องกล้าทำ กล้าพิสูจน์

                        มันไม่ง่ายนะครับ จากนักวิทยาศาสตร์ และไม่ใช่คนนับถือพุทธมาก่อนอย่างผมที่จะหันมาเป็นคนศึกษาศาสนาพุทธ  ผมต้องอาศัยความกล้า  ความขยัน ไม่ใช่อ่านเอง คิดเอง แต่เป็นการเดินจงกรม ฝึกสติ ในป่าช้า ฯลฯ

                        มีครูบาอาจารย์ที่เป็นสุดยอดครูจริง ๆ คือ  เปิดพื้นที่ ให้เรารู้เอง พบเอง ไม่ใช่ทำตามฉัน เชื่อฉัน คิดอย่างฉัน

                       ท้ายนี้ เราจะมาเปิดพื้นที่ให้แก่กัน เรียนรู้ แลกเปลี่ยน เข้าใจ สิ่งที่อยู่รอบตัว ยอมรับในความแตกต่าง

                      จากนี้ไป เราและสังคมทั้งหมดจะ ฉลาดได้อีก
.................................................................................................................................................................
วันนี้reviewเท่านี้ก่อน  แล้วจะหาหนังสือที่อ่านแล้วดีมาบอกต่อเพื่อน ๆกันอีกแน่นอน