6/29/10

อาถรรพ์แห่งผืนป่า


เรื่องจาก:Secret :อิสระชนคนเมืองเพชร
ภาพจาก: เวปไซต์
ผมเกิดและเติบโตที่เพชรบุรี ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาและทะเลมาตั้งแต่เด็ก ได้รู้ได้เห็นว่าธรรมชาติเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่มาโดยตลอด
ตอนเด็ก ๆ ผมได้อาศัยผักหญ้าจากป่าใกล้บ้านมาเลี้ยงชีวิต มีผักสารพัดชนิด ทั้งเห็ด หน่อไม้ ผักใบเขียวทั้งหลายที่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก เช่น ใบย่านาง ผักกูด
สำหรับผม ป่าเป็นเหมือนแหล่งอาหารที่ยิ่งใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใครก็ไม่อาจลบหลู่ ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าก่อนเดินทางเข้าป่าลึก พวกผู้ใหญ่จะจุดธูปแล้วปักลงไปบนสำรับกับข้าวที่มีข้าว แกง น้ำ หรือบางครั้งก็อาจมีเหล้าขาวด้วย เพื่อเป็นการเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องผืนป่า และเพื่อเป็นการขออนุญาติในกรเข้าไปยังถิ่นที่มีเจ้าป่าเจ้าเขาดูแล
แม้ป่าจะกว่างใหญ่เพียงใด แต่ก็ไม่อาจต้านทานการรุกรานของคุณไปได้ ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ในวันนี้หลายแห่งจึงกลายเป็นสนามกอล์ฟสถานที่พักผ่อนหย่อนในของคนยุคใหม่ ซึ่งพรากเอาทรัพยากรมากมายในโลกนี้ไป ทั้งผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์และพืชทั้งหลาย ที่สำคัญเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองทั้งน้ำทั้งไฟ
ผมไม่ได้ต่อต้านความเจริญ แต่ผมไม่ชอบความเจริญที่ทำลายธรรมชาติ เพราะต่อให้คนเก่งกาจกว่าสัตว์โลกชนิดอื่นแค่ไหน ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เราต้องยอมสยบให้คือธรรมชาติ และวันใดที่เราทำตัวอหังการต่อธรรมชาติ สิ่งที่ตามมามักรุนแรงเกินกว่าเราจะคาดคิด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอาจจับตามองการกระทำของเราอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็เป็นได้ เพื่อรอให้ถึงวันที่เราเพลี่ยงพล้ำ จะได้ลงโทษอย่างสาสม
เมื่อเติบโตขึ้น ชีวิตของผมเริ่มห่างออกจากป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะข้าวปลาอาหารในยุคนี้แสนสะดวกสบายกว่าสมัยก่อนมาก แค่เดินเข้าไปในตลาดสดใกล้บ้านก็ได้อาหารตามที่ต้องการ
จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงฤดูฝน ผม..ในวัย 50ปลาย ๆ นึกสนุกอยากเข้าไปหาของป่าเหมือนสมัยวัยเด็กอีกครั้ง ผมเดินลัดเลาะชายป่าซึ่งอยู่ใกล้สนามกอล์ฟเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ ใจหนึ่งก็คิดว่าความเจริญคงทำให้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติหลงเหลืออยู่ในสถานที่นี้อีกแล้ว
แต่ผมคิดผิดถนัด...เพราะเหตุการ์ณประหลาดได้เกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้น
วันนั้น ผมตั้งใจเข้าไปเก็บเห็ดโคน เห็ดที่ใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่ามีรสชาติอร่อยเป็นที่สุด และช่วงหน้าฝนนี้แหละที่เห็ดชนิดนี้จะผุดขึ้นมาจากผืนดอนให้เราได้เก็บกิน และ...ขึ้นชื่อว่าของป่า ใครเห็นก่อนก็ต้องได้ก่อน ดังนั้น นอกจากผมแล้วจึงมีอีกหลายคนที่พยายามดั้นด้นเข้ามายังป่าแห่งนี้เพื่อเก็บเห็ดแสนอร่อยก่อนใคร
ก่อนเดินเข้าไปในป่า ผมลืมยกมือไหว้บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงจุดประสงค์ของการเข้ามาเสียสนิท ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในป่าเหมือนเป็นสถานที่ที่คุ้นชิน สายตาก็สอดส่ายไปตามพื้นดิน โดยเฉพาะพื้นดินที่มีลักษณะเหมือนจอมปลวก ซึ่งจะมีเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่มาก
ทันใดนั้น สายตาของผมก็ไปปะทะเข้ากับเห็ดโคนกลุ่มหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เห็ดกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 4ดอก ดอกหนึ่งบานแล้ว ส่วนอีก 3ดอกยังตูมอยู่ ขณะที่เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ผมรู้สึกเอะใจว่าทำไมเหมือนมีคนมาถอนดอกที่บายแล้วทิ้งไว้ แต่ไม่เก็บไป
แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมคิดนั่นเอง คำตอบก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า...
ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปเก็บดอกบานที่หล่นอยู่บนพื้นนั่นเอง ดอกตูมทั้งสามดอกที่อยู่ใกล้ ๆ ก็หายวับไปกับตา ราวกับว่าไม่เคยมีเห็ดทั้งสามดอกอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ใจผมเต้นตูมตามด้วยความหวาดกลัว ขนลุกซู่ไปทั้งตัว นึกถึงคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ว่าในป่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติมากมายทั้งเทพารักษ์ ภูติผีปิศาจ วิญญาณเร่ร่อน ฯลฯ คนสมัยก่อนจึงสอนลูกหลานว่า ตอนอยู่ในป่า เวลามีเสียงแปลก ๆ มาเรียกชื่อเรา อย่าขานรับเด็ดขาด เพราะนั่นอาจเป็นเสียงแห่งความตายที่จะมาพรากวิญญาณของเราออกไปจากร่าง
ตอนนั้นมือผมเย็นเฉียบ เหงื่อกาฬไหลชุ่มไปทั้งตัว สิ่งเดียวที่คิดออก คือทิ้งเห็ดที่อยู่ในมือลงกับพื้น พร้อมกับยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ปากก็พูดว่า "ลูกมาหาของป่าเท่านั้น ลูกขออภัยที่ไม่ได้บอกกล่าวท่าน ยกโทษให้ลูกด้วยเถอะ"
หลังจากนั้นผมก็ใส่เกียร์วิ่งสุดแรงเกิด ไม่คิดถึงอะไรอีก ขอเพียงอย่างเดียว ให้ออกจากผืนป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ในที่สุดผมก็มายืนหอบแฮก ๆ อยู่ใกล้สนามกอล์ฟ เมื่อรู้ตัวว่าออกมาพ้นแน่แล้ว ผมจึงหันไปมองผืนป่ารกทึบด้านหลังด้วย่ผมก็มาความหวาดกลัวและเริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้
ก่อนหน้าที่ผมจะพบเห็ดโคนกลุ่มนี้ น่าจะมีคนเดินเข้าไปหาของป่าเหมือนกันและพบมันก่อนแล้ว แต่คงจะทำได้แค่เพียงดึงเห็ดโคนขึ้นมาดอกเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นคงประสบพบเห็นสิ่งเดียวกับผม
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ผมกลับไปยังป่าแห่งนั้นอีกครั้งพร้อมเพื่อนสนิท และพบว่ามีศาลเพียงตาเล็ก ๆอยู่ด้วย ซึ่งหมายถึงว่าที่แห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา การที่ผมถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวจึงได้รับการตักเตือนอย่างที่เห็น
บางครั้งความเจริญที่อยู่รายรอบตัวเรา รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ อาจทำให้เราหลงเข้าใจไปว่า บนโลกนี้ไม่มีใคร "ใหญ่" เท่ามนุษย์ แต่ความจริงแล้วเรา "เล็กนิดเดียว" เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ถึงวันนี้ แม้ใครจะไม่สนใจฟังเสียงเตือนจากธรรมชาติ แต่ผมคนหนึ่งละที่เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใครและผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงนั้นมักไม่แสดงตัวให้เห็น คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามสักวัน คุณอาจได้พบคำตอบด้วยตัวคุณเอง...เช่นเดียวกับที่ผมได้พบมาแล้ว