8/29/10

โจน จันได มนุษย์บ้านดิน



ตัวอย่างชีวิตและแนวความคิดของคุณโจน จันได
เป็นการทำชีวิตให้ง่าย และมีความสุข
ที่คนเมืองอย่างเราต้องอิจฉาและหวังว่าคงมี
สักวันที่เราจะได้ทำอย่างเขาบ้าง

8/26/10

วิปัสสนากรรมฐาน (สติปัฏฐาน)

วิปัสสนากรรมฐาน (สติปัฏฐาน)
ที่มา: หนังสือ "สมาธิหมุน จิตวิวัฒน์เพื่อความพ้นทุกข์" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ
บทเริ่มต้นของการฝึกจิต คือสมถกรรมฐาน เป็นการฝึกจิตให้เกิดความสงบ เพื่อให้จิตมีพลังเพิ่มขึ้น พลังจิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เราทราบถึง ระดับพลังของจิตว่ามีกี่ระดับ ตลอดจนคุณสมบัติ คุณประโยชน์ของแต่ละระดับพลังนั้น เพื่อสามารถคัดเลือกระดับพลังจิตที่เหมาะสมไปใช้งานตามจุดประสงค์ที่ต้องการได้
การนำระดับพลังจิตที่เหมาะสม ไปใช้ศึกษากระบวนการทำงานของจิต ว่าจิตมีกระบวนการทำงานอย่างไร และเมื่อเข้าใจกระบวนการทำงานของจิตแล้ว นำความเข้าใจที่ได้ไปสร้างวิธีการเพื่อฝึกจิต เพื่อพัฒนาจิตจนสามารถเป็นอิสระหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ คือ วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นวิธีการนำพลังจิตที่มีระดับพลังที่เหมาะสม ไปฝึกจิตเพื่อให้จิตพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
อันความทุกข์นั้น เป็นสภาพที่ทนอยู่ด้วยยาก เป็นสภาพที่บีบคั้น ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาประกอบ และแม้มันเป็นสิ่งที่ทนอยู่ด้วยยาก แต่จิตเราก็หลุดพ้นออกมาจากมันได้ยากนัก สาเหตุแห่งความทุกข์นั้น เกิดจากจิตไปหลงยึดติดสสารและพลังงาน ตลอดจนความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของทั้งสสารกับพลังงาน ซึ่งมีอยู่ 5 ประการ เรียกว่า ขันธ์ทั้ง 5
ขันธ์ 5
ขันธ์ทั้ง 5 ได้แก่
  • รูป คือ ร่างกายตัวตน
  • เวทนา คือ ความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย
  • สัญญา คือ ความจำได้ ระลึกได้ รู้ความหมายของจิตที่เกิดขึ้น
  • สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาที่มีต่อจิตที่เกิดขึ้น เป็นความคิดที่เป็นกุศล อกุศล หรือ เป็นกลาง
  • วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นคือ รู้รูป รู้เวทนา รู้สัญญา รู้สังขาร และ รู้ความรู้อารมณ์
สาเหตุของทุกข์นั้น ไม่เพียงแต่จิตเข้าไปยึดติดขันธ์ 5 เท่านั้น ขันธ์ 5 เอง ก็มีแรงดึงจิตให้จิตมายึดติดเช่นกัน
สาเหตุที่จิตไปยึดติดขันธ์ 5 ก็เพราะ จิตไม่รู้ถึงกระบวนการที่จิตไปยึดติดขันธ์ ว่ายึดติดไปได้อย่างไร และก็ไม่รู้กลไกการทำงานของจิตเองด้วย การจะออกจากขันธ์ 5 นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้กระบวนการของมัน หากไม่รู้กระบวนการที่เกิดขึ้นกับทั้งเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามาประกอบ ก็จะไม่รู้เลยว่าจะออกมาจากขันธ์ได้อย่างไร ซึ่งหากเรารู้กระบวนการของมันเราย่อมจะรู้เท่าทัน ทำให้เรา บริหาร จัดสรร และควบคุมไม่ให้จิตยึดติดกับขันธ์ จนภาวะของความทุกข์เกิดขึ้นแก่เราไม่ได้
ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น มันปรากฏขึ้นเป็น ภาวะของความนิ่ง ที่จิตเราไปนิ่ง ยึดติดอยู่กับอาการต่างๆ ของขันธ์ 5 คือ
  • นิ่งอยู่กับ ความรู้สึกว่ามีตัวตนของเราอยู่ , นิ่งอยู่กับความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หนัก เบา
  • นิ่งอยู่กับ ความรู้สึกที่เจ็บปวด
  • นิ่งอยู่กับ ความคิด (จำได้) ถึงเรื่อง อดีต ปรุงแต่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ จากอดีต นิ่งอยู่กับ ความนึก (หมายรู้) ถึงเรื่อง อนาคต ปรุงแต่งคำนวณเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  • นิ่งอยู่กับ ความรู้อารมณ์ เช่น กลัว กล้า เศร้า เหงา ดีใจ เสียใจ รัก ชัง โกรธ เกลียด สยดสยอง มัวเมา ริษยา อิจฉา โลภ
  • นิ่งรู้อยู่กับ ความรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ รู้ว่ารู้สึก รู้ว่าคิด รู้ว่านึก รู้ว่ารู้อารมณ์
เมื่อจิตเข้าไปนิ่งยึดเกาะอยู่กับภาวะของความทุกข์แล้ว ที่ผ่านมาหากเราไม่รู้วิธีการของวิปัสสนาเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้จิตถอนออกมาจากความนิ่งนั้น เราก็พยายามทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปตามวิธีการเท่าที่เรารู้ เท่าที่เรามีประสบการณ์ เท่าที่จิตเราเคยไปถึง เพื่อให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนสภาพไป เป็นสภาพที่ทุกข์น้อยกว่าเดิม หรือจนหมดไป วิธีการที่เรารู้จักและทำกันมา คือ
  • ไปเสพกามคุณทั้ง 5 ให้จิตไปรับอารมณ์ที่เป็นสุขจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส โดยหวังว่าจะให้กามคุณช่วยระบายความทุกข์ให้ แต่การเสพกามก็ไม่ใช่เป็นการระบายทุกข์ แต่เป็นการไปรับอารมณ์ใหม่เข้าไปทับอารมณ์เก่า กลับจะเพิ่มสิ่งที่จิตยึดเกาะเพิ่มขึ้น
  • เข้าไปอยู่ในอารมณ์ของฌาน อันมี ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน การเข้าฌานนั้นสามารถทำให้ทุกข์นั้นดับหายไปจากความรู้สึกได้จริง แต่ก็ดับได้ในขณะที่อยู่ในฌานเท่านั้นเมื่อออกจากฌานมาทุกข์นั้นก็ยังอยู่ไม่หายไปไหน เพราะการเข้าฌานจัดเป็นวิธีการที่หนีทุกข์ และกดข่มทุกข์ด้วยพลังจิต ไม่ยอมรับสภาพปัจจุบันของทุกข์ที่เกิดขึ้น
การเสพกาม การเข้าฌานล้วนเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น และท่านก็ได้ข้อสรุปว่าไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ได้จริง วิธีการที่เราต้องการก็คือ ทำอย่างไรให้เราอยู่กับความทุกข์ที่เกิดขึ้นในสภาพปกติได้ โดยไม่ต้องไปหนีไปไหน ไม่ต้องไปเสพกาม ไปเข้าฌานที่ลึก โดยที่จิตเราก็ไม่เกิดทุกข์ตามความทุกข์ไป วิปัสสนากรรมฐานคือวิธีการที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
หากอาการของจิต ที่เกิดขึ้นจากการฝึกจิตด้วยวิธีสมถกรรมฐาน คือ จิตเกิดกำลังของความสงบในระดับต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ฌาน ทำให้จิตเกิดความสุขสงบ สำหรับอาการของจิตที่เกิดขึ้นจากการฝึกจิตด้วยวิธีวิปัสสนากรรมฐาน จะเป็นอาการของจิตที่เรียกว่า สติ จะทำให้จิตมีภาวะที่รู้ตัวทั่วพร้อม และ รู้เท่าทันปรากฏการณ์ เป็นการฝึกเพื่อเพิ่มกำลังของสติ
สติปัฏฐาน 4
การฝึกสติ ก็มีฐานที่ใช้ฝึกจิตให้เกิดสติอยู่ 4 ฐานด้วยกันคือ ใช้กายเป็นฐาน เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้เวทนาเป็นฐาน เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้อาการของจิตเป็นฐาน เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตเป็นฐาน เรียก ธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน
เมื่อเราฝึกจิตให้เกิดสติตามฐานที่ใช้ฝึก สติที่เกิดขึ้นจะมีอยู่สองอาการ สองความหมาย
ที่เราควรพิจารณาและทำความเข้าใจให้ดี คือ สติสัมปชัญญะ และ สติปัฏฐาน
สติสัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นการกำหนดรู้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามฐานที่ใช้ฝึกสติ คือ
  • พิจารณากาย ก็เกิดความรู้ตัวทั่วพร้อมในอาการของกาย
  • พิจารณาเวทนา กำหนดรู้ในอาการของเวทนา
  • พิจารณาจิต กำหนดรู้ในอาการของจิต 
  • พิจารณาธรรม กำหนดรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิต สิ่งที่คอยประกอบจิต 
ดังนั้น ลักษณะของสติสัมปชัญญะ คือการกำหนดรู้ ในอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย เวทนา จิต ธรรม แต่อาศัยเพียงสติสัมปชัญญะนี้ จิตยังจะไม่พ้นทุกข์ได้ เพราะไปจะติดอยู่กับสภาพรู้ที่เกิดขึ้น กับกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งก็คือ ติดธาตุรู้หรือวิญญาณขันธ์ที่ใจอยู่
การฝึกวิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่ฝึกให้เกิดสติสัมปชัญญะ แต่ฝึกเพื่อให้เกิดสติปัฏฐาน โดยอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องประกอบเพื่อให้เกิดสติปัฏฐาน หากฝึกจิตแล้วจิตยังอยู่กับอาการกำหนดรู้เช่นนี้ยังไม่เรียกว่า เป็นการฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่แท้จริง
ลักษณะการฝึกสติที่มีการฝึกกันอยู่ทั่วไป ก็จะเป็นลักษณะกำหนดรู้อาการที่เกิดขึ้น แล้วพยายามกำหนดให้ละ ให้คลาย เป็นอาการของสติที่ผู้ฝึกปฏิบัติมักไปติดกัน แล้วเข้าใจว่า เป็นสติปัฏฐาน ผลที่เกิดขึ้นการจากฝึก สภาพจิตมันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน คือ จากที่มันไปติดสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ มันก็เปลี่ยนมาติดตัวรู้ว่าทุกข์แทน เมื่อทำมากๆ จิตจะเบื่อหน่ายกับสภาพรู้จากการกำหนดรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อยากรับรู้อีก กำหนดรู้จนจิตหมดกำลัง เกิดเป็นสภาพดับไปในที่สุด ลักษณะของสภาพที่ดับไปนี้ สัญญาเวทนาจะดับหมด ความรู้ตัวทั่วพร้อมหมดไป จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นอะไร อยู่ในช่วงเวลาไหนยุคไหน ช่วงเวลาและเหตุการณ์ก่อนที่จะดับ และหลังดับจะไม่ต่อเนื่องกัน อยู่ๆ ก็ดับหายไปไหนก็ไม่รู้ ดับไปอย่างไรก็ไม่รู้ พอดับเต็มที่แล้ว ธาตุรู้ทำงาน สัญญาเวทนาทำงาน ก็เกิดโผล่ขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้อีก ช่วงเวลาที่ดับไปนั้นเราก็ไม่รู้ว่าดับไปนานเท่าไร เป็นสภาพที่ไม่มีความจำ ไม่มีความรู้สึก เราก็เลยจำสภาพดับไม่ได้ จะจำได้ก็เพียงว่า มันดับมืด และเรียบลื่นไปหมด ไม่มีสันญาณคลื่นพลังใดเลยในสภาพที่ดับนั้น
สภาพที่ดับนี้ก็มีการเข้าใจกันว่า คือ การบรรลุธรรม แท้จริงเป็นสภาพที่จิตต้องการพักผ่อนจากการที่ไม่อยากรับอารมณ์ภายนอก หลบเข้าไปในภาวะจิตที่ลึกที่สุด จัดเป็นลักษณะการเข้าฌานอย่างหนึ่ง คือ ไม่รับอารมณ์ภายนอก หลบหนีจากสภาพปัจจุบัน โดยใช้การดับข่มไว้ สภาพดับนี้เป็นการดับ ของสัญญาเวทนา เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นนิโรธสมาบัติ ซึ่งเป็นคนละความหมาย กับนิโรธ ในอริยสัจสี่ นิโรธในอริยสัจสี่ ก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน
สติปัฏฐาน คือ ฐานที่เป็นที่ตั้งแห่งสติ เพื่อฝึกจิตให้มีสติรู้เท่าทัน เห็นตามสภาพความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นตามฐานที่ใช้ฝึก ฐานที่ใช้ฝึกก็ได้แก่
  • กาย ให้เกิดความรู้เท่าทันในอาการของกาย
  • เวทนา รู้เท่าทันอาการของเวทนา
  • จิต รู้เท่าทันในอาการของจิต
  • ธรรม รู้เท่าทันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิต สิ่งที่คอยประกอบจิต
อันอาการของกาย เวทนา จิต ธรรม ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นหากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็คือ อาการของจิตที่เกิดขึ้น กับ เหตุปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด การฝึกเจริญสติก็คือ ฝึกจิตให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต อาการของจิต กับเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด
ชื่อและหัวข้อของฐานต่างๆ ของสติปัฏฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น คือ ฐานที่เราสามารถนำไปใช้ฝึกจิตให้เกิดกำลังสติขึ้นมาได้ แต่การที่จะนำไปใช้ฝึกนั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้ทุกฐาน
ธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการรู้เท่าทันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิต และสิ่งที่คอยประกอบจิต อันได้แก่
  • นีวรณบรรพ สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้เกิดสมาธิ คือ นีวรณ์ 5 คือ ความยินดีในกาม ความพยาบาท ความหดหู่เซื่องซึมง่วงนอน ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความลังเลสังสัย
  • ขันธบรรพ ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
  • อายตนบรรพ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
  • สัจจบรรพ อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
  • โพชฌงคบรรพ สิ่งที่เป็นเครื่องแห่งการตรัสรู้ 7 ประการ คือ สติ ธัมมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ฐานที่สำคัญจริงๆ ที่เราจะใช้ฝึก ก็คือ ธรรมนุปัสสนาสติปัฏฐาน อายตนะบรรพ เหตุที่อายตนะบรรพมีความสำคัญ ก็เพราะ จิตก็ดี ความทุกข์ก็ดี ล้วนอาศัย อายตนะเป็นแดนเกิด
ความเกิด-ดับ
การเจริญสติจึงจำเป็นที่เราต้องฝึกเจริญสติที่อายตนะ เพื่อให้จิตรู้เท่าทันการกระทบผัสสะ การรู้เท่าทันนี้ก็คือให้รู้เท่าทันภาวะของความนิ่งที่จิตไปติดอยู่กับขันธ์ห้า ให้รู้เท่าทันในอาการที่เราเคยเห็นว่าเป็นความนิ่งนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นความเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่เกิดดับต่อเนื่อง แอบแฝง ซ้อน ซ่อนเร้นอยู่ เป็นการเกิดดับที่มีรอบของการเกิดดับเป็นความถี่อยู่ค่าหนึ่ง การที่จิตเรามีสติไม่เท่าทันการเกิดดับที่เกิดขึ้น ก็คือ จิตของเรานั้นมีรอบความถี่ที่ต่ำกว่ารอบความถี่ดังกล่าว หรือกล่าวได้อีกประการหนึ่ง คือ จิตเรามีความสามารถไม่พอที่จะแยกแยะสิ่งที่เกิดดับให้เห็นเป็นการเกิดดับ เราตามความเร็วที่มันเกิดดับไม่ทัน เมื่อจิตเราช้ากว่า และต่ำกว่า สิ่งที่กำลังเกิดดับ เราจึงไม่สามารถเห็นการเกิดดับของมันได้ เราจึงจะเห็นมันเป็นภาวะที่นิ่งแทน
ยกตัวอย่างเช่น ภาพจากจอโทรทัศน์ ที่เราเห็นเป็นภาพที่ต่อเนื่องนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันเป็นภาพที่ถูกยิงออกมาจาก ปืนยิงอิเลคตรอนจากหลอดรังสีคาโทดที่อยู่หลังจอภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ถูกยิงออกมาด้วยความเร็วและความถี่ที่สูงมาก จอโทรทัศน์ปกติจะมีความถี่ของการสร้างภาพ อยู่ที่ 50 ภาพต่อวินาที โทรทัศน์ที่มีคุณภาพดีก็จะมีความถี่ของการสร้างภาพสูงขึ้นไป เช่น 100 ภาพต่อวินาทีเป็นต้น ยิ่งมีความถี่สูงมากเท่าไร ภาพที่ปรากฏบนจอก็จะนิ่งสมจริงไม่สั่นไหวเท่านั้น แม้ความจริงมันคือภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาทีละภาพเป็นจังหวะ เกิด ดับ เกิด ดับ แต่เราก็จะไม่สามารถเห็นว่ามันเกิดดับ เพราะความสามารถของประสาทตาในการแยกภาพของเรา ต่ำกว่าและช้ากว่าจังหวะการสร้างภาพของมัน เราจึงเห็นภาพจากจอเป็นภาพที่ต่อเนื่อง หากเราต้องการจะให้เห็นมันเป็นภาพที่เกิด ดับ คือ สว่าง มืด สว่าง มืด สลับกันไป เราก็จะต้องปรับจังหวะของการสร้างภาพให้ช้าลง จนตาเราสามารถแยกออกได้ว่ามันเป็นภาพที่เกิด ดับ ต่อเนื่องกันอยู่ หรือไม่เราก็พัฒนาประสาทตาของเราให้มีคุณภาพสูงขึ้นจนสามารถมองเห็นการเกิดดับที่เกิดขึ้นได้ หรือไม่ก็ใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน
ในกรณีแสงสว่างที่เกิดขึ้นจากหลอดไฟนีออนก็เช่นกัน แสงสว่างที่เราเห็นเป็นความสว่างที่นิ่งต่อเนื่องนั้น จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้เป็นความสว่างที่นิ่งต่อเนื่อง แต่มันเป็นแสงสว่างที่เกิดดับด้วยความเร็วที่สูงมาก อันเกิดจากไฟฟ้ากระแสสลับ แต่เราก็จะไม่เห็นว่ามันเกิดดับเพราะประสาทตาเราแยกไม่ทัน เราจะไปเห็นว่าแสงไฟมันเกิดดับก็ตอนที่หลอดไฟเริ่มเสื่อมคุณภาพคือมันจะมีรอบความถี่เกิดดับช้าลงจนประสาทตาเราจับมันได้ว่าแสงไฟจากหลอดกระพริบถี่ๆ แสงมีความสั่นไหว ตั้งแต่สั่นไหวเล็กน้อย จนสั่นไหวมากคือเห็นเป็นการเกิดดับ เกิดดับ แสงไฟที่ออกมาก็จะไม่ต่อเนื่องอีกต่อไป เราก็จะต้องเปลี่ยนหลอดใหม่
ในเรื่องความเร็วของสติกับผัสสะที่เกิดขึ้นตามอายตนะของเรานั้นมันเป็นเรื่องของความเร็วสัมพัทธ์ คือ เหมือนกับตอนนี้เราขับรถด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรถอีกคันหนึ่งกำลังขับด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่ข้างหน้าเรา เราก็จะเห็นรถคันข้างหน้าวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเราไม่ต้องการให้รถคันหน้าหนีห่างจากเราไปอีกเรื่อยๆ เราก็จะต้องขับด้วยความเร็วอย่างน้อย 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเช่นกัน เราก็จะเห็นรถคันหน้าวิ่งไปด้วยความเร็วที่เทียบกับรถเรา เป็น 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือ ไม่เห็นเขาเคลื่อนห่างจากเราไป หากเราฝึกจิตจนสติมีความเร็ว เหมือนกับเราเห็นรถที่อยู่ข้างหน้าเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่ากับ 0 เมื่อเทียบกับความเร็วของรถเรา ก็แสดงว่า ความเร็วของจิตเราเริ่มเท่าทันผัสสะที่ เกิด ดับ ขึ้นที่อายตนะแล้ว แต่การฝึกสติไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเท่านี้ การฝึกจิตนั้นเราจะต้องเพิ่มความเร็วของสติให้เหมือนกับการเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วมากกว่า 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมมุติว่าเราเพิ่มความเร็วเป็น 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็จะเห็นรถของเขา วิ่งช้ากว่าเรา 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและเราก็จะเข้าใกล้รถเขาไปเรื่อยๆ จนรถของเรากับของเขาวิ่งมาอยู่ในระดับที่เสมอกัน ในขณะที่อยู่ในระดับเดียวกัน เรากับเขาต่างจะเห็นกันวิ่งด้วยความเร็ว 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถึงจุดนี้เปรียบเหมือน จิตเรารู้เท่าทันปรากฏการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นก็เห็นปฏิกิริยาขั้นตอนของมันหมด เป็นภาวะที่จิตเรามีกำลังสติเต็มที่ เรียกว่า มีสติเต็มรอบ ซึ่งด้วยกำลังที่เต็มที่เช่นนี้ จิตเราก็พร้อมที่จะเร็วกว่าการเกิดดับของผัสสะ เหมือนกับรถที่พร้อมที่จะวิ่งแซงนำขึ้นไป หากเมื่อใดที่รถเราเริ่มแซงขึ้นหน้านำไป ก็เหมือนกับจิตเราจะอยู่เหนือปรากฏการณ์ของผัสสะ ที่ เกิด ดับ ขึ้นทันที แต่ในขณะที่รถของเรากำลังวิ่งไปนั้นสิ่งที่คอยจะทำให้รถเราวิ่งช้าลงก็มีอยู่ เช่น น้ำหนักรถ น้ำหนักของสัมภาระ ความขรุขระของถนน ลมที่พัดมาปะทะรถ ซึ่งจะคอยเป็นแรงเสียดทานให้ความเร็วรถของเราลดลง หากกำลังของรถเอาชนะมันไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบเหมือน อนุสัยกิเลส ที่คอยจะดึงจิตเราไว้ ไม่ให้จิตเรารู้เท่าทันหรือเหนือกว่าการเกิดดับของผัสสะ ซึ่งเราก็จะต้องชนะมันด้วยกำลังสติที่เหนือกว่า และต้องคอยลดถอนกำลังของพวกอนุสัยนี้ลง
ดังนั้นการฝึกเจริญสติที่อายตนะ ก็ฝึกเพื่อให้จิตมี ความถี่ มีความเร็ว ที่เท่าทัน ความถี่และความเร็วตามธรรมชาติของการเกิด ดับ ของผัสสะที่เกิดขึ้นตามอายตนะ เมื่อเท่าทันแล้ว ก็จะเห็นผัสสะที่เกิดขึ้นเป็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย เกิด ดับ สลับต่อเนื่องกันไป ไม่เห็นเป็นตัวตนที่ถาวร ไม่เห็นเป็นภาวะที่นิ่งอีก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วจิตก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเกาะพลังงานที่เกิดขึ้น จะปล่อยพลังงานที่เกิดขึ้นสลายตัวไปตามธรรมชาติ อนุสัยที่จะคอยมาดึงและปรุงแต่งพลังงานให้เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็จะมาดึงไม่ทัน เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกข์ก็จะเกิดไม่ได้ ทุกข์จะดับไปตามสติที่เรารู้เท่าทัน การเจริญสตินี้จะเป็นการดับทุกข์ในเวลาปัจจุบัน เป็นปัจจุบันขณะ ไม่ได้หลบเข้าไปในอารมณ์ของฌานที่ลึก หรือหลบเข้าไปในภาวะจิตที่ดับสัญญาเวทนา อันเป็นภาวะจิตที่อยู่ลึก จิตดับไปไม่รับรู้สิ่งใด การเจริญสติจึงเป็นการดับทุกข์ที่เหตุของมัน เมื่อดับเหตุได้ผลมันก็ดับตาม ดับเหตุไปเรื่อยๆ เกิดเหตุตรงไหน ที่ตา ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ เกิดตรงไหนเราก็ดับตรงนั้น เหตุดับ ผลดับไปเรื่อยๆ การดับทุกข์ด้วยการเจริญสติเช่นนี้ ก็คือ นิโรธ เป็นความดับทุกข์ในความหมายของอริยสัจสี่ เพราะมันจะนำไปสู่มรรค
ไตรลักษณ์ 3 อริยสัจ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6
ไตรลักษณ์ 3 อริยสัจ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 มีความสัมพันธ์กันดังนี้
อริยสัจ 4 ประกอบด้วยขั้นตอนการฝึกจิต และเป็นความจริง 4 ประการ คือ
ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ดำรงอยู่ได้ยาก เป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ การจะฝึกจิต ให้พัฒนาขึ้นมานั้น ผู้ฝึกควรมีแรงผลักดันจากการเห็นความทุกข์ที่แอบแฝงในชีวิตตนเอง ยิ่งสามารถตระหนักเห็นทุกข์ได้มากเท่าไร ก็จะส่งผลให้การฝึกจิตพัฒนาขึ้นเท่านั้น
สมุทัย คือ สาเหตุของทุกข์ อันเกิดจาก จิตไม่รู้เท่าทันการเกิดขึ้นของจิต เมื่อเกิดการกระทบ ผัสสะ ขึ้นที่อายตนะทั้ง 6 คือ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เกิดการปรุงแต่งเป็นขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วจิตก็มายึดเกาะขันธ์ 5 เกิดอุปาทานว่าขันธ์ 5 เป็นของจริง นิ่ง และเที่ยง และในขณะเดียวกัน ขันธ์ที่เกิดมาก่อนหน้าก็มีแรงดึงคอยรัดจิตไว้ให้มายึดเกาะขันธ์เช่นกัน การจะฝึกจิตให้พัฒนาขึ้นมานั้น ผู้ฝึกควรมีแรงผลักดันจากการเห็นสาเหตุของความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตของตนเอง ยิ่งสามารถเห็นและเข้าใจสาเหตุทุกข์ได้มากเท่าไร ก็จะส่งผลให้การฝึกจิตพัฒนาขึ้นเท่านั้น
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ โดยการเจริญสติ ฝึกจิตให้มีสติรู้เท่าทันการกระทบผัสสะที่เกิดขึ้นตามอายตนะ เพื่อให้เห็นภาวะของขันธ์ที่เกิดขึ้นตามอายตนะเป็น ไตรลักษณ์ 3 ประการ ได้แก่ อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง ทุกขัง คือ เป็นทุกข์ ดำรงอยู่ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ยึดถือเอาไม่ได้ อนัตตา ไม่มีตัวตนถาวร เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วจิตก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเกาะขันธ์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ก็จะดับไปตามสติที่เรารู้เท่าทัน เป็นปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆ
ผลจากการฝึกสติเช่นนี้ จิตเราจะเกิดปัญญารู้เท่าทันการกระทบผัสสะ และรู้เท่าทันขันธ์ 5 สามารถดับทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ เกิดผัสสะขึ้นมาเมื่อไร สติก็ดับเหตุที่กระทบนั้น ผลที่มันจะเกิดเป็นความทุกข์ก็ถูกดับไปได้เรื่อยๆ เมื่อฝึกฝนมากขึ้นกำลังสติก็เพิ่มขึ้น จนมีรอบของความถี่และความเร็วของสติ มากกว่า รอบของความถี่และความเร็วของผัสสะ จิตเราจะเกิดปัญญาอยู่เหนือ ผัสสะ และขันธ์ 5 และจะมีปัญญาอยู่เหนือทุกข์ เป็นภาวะที่จิตกับขันธ์แยกตัวออกจากกัน เมื่อฝึกมากขึ้นอีกกำลังสติก็จะเพิ่มขึ้นอีก จนกำลังสติที่เกิดขึ้นจะมากกว่าแรงดึงจากขันธ์ที่จะคอยมาดึงจิตให้ไปรวมกับขันธ์ จิตเราจะมีปัญญาปล่อยวางขันธ์ 5 ได้ และจะมีปัญญาปล่อยวางทุกข์ได้ เมื่อจิตปล่อยวางขันธ์ 5 ได้ ก็จะหลุดพ้นจากขันธ์ 5 เราก็จะได้เห็น มรรค
มรรค คือ ความพ้นทุกข์ หรือ ทางพ้นทุกข์ อันเป็นผลจากการที่เราปล่อยวางขันธ์ 5 ได้ เมื่อเราปล่อยวางจากขันธ์ 5 ได้ จิตเราก็จะหลุดพ้นจากขันธ์ 5 เราจะได้เห็น ทาง หรือ มรรค มรรคก็คือสภาวะของจิตเดิมที่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเดิมที่ยังไม่ถูกขันธ์ 5
ครอบงำ การที่จิตหลุดออกมาจากขันธ์นี้ เรียกว่า วิมุตติ จิตหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรม
วิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นการฝึกเจริญสติปัฏฐาน เป็นการฝึกสติโดยใช้อายตนะเป็นฐานที่ใช้ฝึกเพื่อให้รู้เท่าทันการกระทบผัสสะ เพื่อดับทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันขณะ เป็นการดับทุกข์ หรือ นิโรธ ในความหมายของการดับทุกข์อริยสัจ 4 เพื่อให้จิตได้พบกับ มรรค พ้นทุกข์จากขันธ์ 5
ระดับพลังของจิตที่เหมาะสมในการฝึกสติ
ในการที่จะฝึกสติ ที่จะเป็นสติปัฏฐานจนสามารถดับทุกข์ได้นั้น องค์ประกอบที่ทำให้เกิดสติปัฏฐาน ก็คือ ระดับพลังของจิตที่เหมาะสม และกระบวนการที่ใช้ฝึกที่ถูกต้อง ระดับของพลังจิตนั้น มีทั้ง ระดับจิตที่เป็นภาวะปกติไม่ถึงฌาน กับระดับจิตที่ถึงฌาน อันเกิดขึ้นจากการฝึกจิตให้สงบด้วยวิธีสมถกรรมฐาน ระดับจิตที่เกิดขึ้น ก็มีอยู่ สี่ระดับใหญ่ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
เมื่อพิจารณาระดับจิต ระดับต่างๆ เราจะเห็นว่าระดับจิตที่อยู่กับขันธ์ 5 คือ ความนึกคิด ความรู้สึก อารมณ์ จิตก็จะหยาบเกินไปไม่สงบ มีสิ่งขัดขวางกั้นบังจิต จิตไม่มีกำลังพอที่จะเท่าทันผัสสะได้
  • หากจิตอยู่ในจตุตถฌาน อยู่กับความว่าง ก็พิจารณาอะไรไม่ได้ อยู่ข้างในเกินไปไม่รับรู้สภาพภายนอก
  • หากจิตอยู่ในตติยฌาน อยู่กับสุข ก็พิจารณาอะไรไม่ได้อีก ยังอยู่ข้างในเกินไปไม่รับรู้สภาพภายนอก
  • หากจิตอยู่ในทุติยฌาน อยู่กับปีติ ก็พิจารณาอะไรไม่ได้อีก แม้จะอยู่ใกล้สภาพภายนอกก็ตาม เพราะสภาพรู้ถูกบิดเบือนด้วยคลื่นแรงโน้มถ่วง จากจุดศูนย์กลางใจ
  • หากจิตอยู่ที่ปฐมฌาน อยู่กับวิตก วิจารณ์ หรือ ความนึกคิดที่เบาบาง จนถึงขั้นวิตกวิจารณ์ดับไป ก็จะเป็นภาวะจิตที่เรายังสามารถพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้ เพราะไม่อยู่ข้างในใจเกินไป จนจิตละเอียด ไม่รับรู้สภาพภายนอก และไม่อยู่ข้างนอกเกินไปจนจิตหยาบ ถูกขันธ์ 5 บังไปหมด
ปฐมฌานจึงเป็นระดับจิตที่เหมาะแก่การฝึกเจริญสติ เพราะเป็นระดับจิตที่สมดุลย์ ระหว่างความไม่สงบ กับความสงบ เป็นภาวะจิตที่เราสามารถรู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของการกระทบผัสสะ และของขันธ์ ที่เคยเห็นเป็นภาวะที่นิ่ง จะสามารถเห็นเป็นความเคลื่อนไหวเกิด ดับ ที่เกิด ดับ ต่อเนื่องได้ นอกจากภาวะของปฐมฌานที่สามารถจะเห็นการเกิดดับของผัสสะได้แล้ว ภาวะของฌานที่เกิดขึ้นยังไปทำให้กระบวนการของการเกิดดับของผัสสะช้าลง ทำให้เห็นการเกิดดับได้ง่ายขึ้น เมื่อจิตอยู่ในระดับจิตปฐมฌานนี้ หากเราเลื่อนความรู้สึกไปตั้งไว้ที่ฐานไหนในอายตนะทั้ง 6 ก็จะสามารถเห็นการเกิดดับและรู้เท่าทันผัสสะที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้น ปฐมฌาน จึงเป็นระดับจิตที่เหมาะสมที่เราจะนำไปใช้ฝึกจิตในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน

สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)

  สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและ
อารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้างสัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์
การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง
1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต
2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลกของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก
3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)
นับเป็นเวลาหลายพันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลกและระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี



ชาวมายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยนหินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำสถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลกเมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี

    
 

พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้
เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม
เสาหินวงกลาง หมายถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี
เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีกครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่างสมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี
ฉะนั้นในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไปทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวันออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การมีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูดมายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม
ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา
 ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรากำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิตเพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง
ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่
สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

ระบบวงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมากยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแลคซี่อันโดรเมดา แต่เนื่องจากกาแลคซี่อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที จากนั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคยประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่ โดยมีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมี
โอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา

6 วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย

ที่มา : หนังสือยุทธศาสตร์พัฒนาจิต
ความเดิมต่อจากตอนที่แล้วจ้ะ

             ตามหลักของความเป็นจริง บุคคลใดคิดอย่างใดก็จะเป็นคนเช่นนัั้น
มาดูหลักการสร้างพลังจิตให้คิดรวยดังนี้

6 วิํธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย

1     คนรวยมีความคิดที่เชื่อว่า ฉันสามารถสร้างสรรค์ชีวิตของฉันได้
       คนจนมีความคิดที่เชื่อว่า  ชีวิตของฉันปล่อยไปตามยถากรรม
ถ้าคุณต้องการชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย คุณจะต้องคิดอยากรวยก่อนเป็นประการแรก
โดยที่คุณถือพวกมาลัยรถยนต์แห่งชีวิตคุณเอง คิดถึงการที่จะมีเงินได้
อย่างไร วิธีใด โดยมีความเชื่อว่า การเงินที่คุณปรารถนานั้น จะต้องมี
ได้ดังที่คุณปรารถนา
         ต่อไปนี้เป็นการบ้านที่คุณต้องทำ ผมขอสัญญาว่า จะสามารถเปลี่ยน
ชีวิตของคุณได้ใน 7 วันข้างหน้า  ลงมือปฏิบัติ
         -อย่างคิดถึงความยากจนอีกต่อไป
         -อย่าบ่นว่า ฉันจะมีเงินได้อย่างไร มีความรู้น้อย การศึกษาต่ำ รูปร่าง
ไม่สง่างามเหมือนเขา
         -แต่จงคิดแง่บวก คิดดีในด้านสร้างสรรค์ พัฒนาในด้านที่เป็นไปได้ คือ
ไม่ว่าคุณทำอาชีพอะไร ต้องคิดว่า คุณต้องทำได้ คุณต้องได้เงิน และมีเงินได้
คุณต้องประสบความสำเร็จได้

         2 คนรวยคิดรวย คิดได้อย่างมีเ้ป้าหมาย ว่าต้องการอะไร
คุณต้องรู้สิ่งที่คุณต้องการก่อน แล้วจึงคิั้ดที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา โดยกำหนด
เป้าหมายที่จะให้ได้สิ่งนั้นเมื่อไรในอนาคต  และต้องการจะได้มากน้อย
แค่ไหน ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะได้สิ่งนั้นมาภายในเวลาที่กำหนด
           เมื่อคุณต้องการ โดยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่
การมีเงิน มีฐานะดี มีความเป็นอยู่ดี  เป้าหมายของคุณก็คือ ต้องการมีเงิน
มีฐานะ และความเป็นอยู่ดี โดยคิดมุ่งหวังอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา

         3 คนรวยตั้งปณิธานว่า ต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้
            คนจนไม่เคยตั้งปณิธานว่าจะต้องรวยให้ได้ในชีิวิตนี้
คนเราส่วนมากคิดดีอย่างมีเหตุผล ว่าทำไมจึงอยากรวย เพราะความร่ำรวย
มีเงินมีทองนั้นหมายถึง การที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะถ้าหากมีเงินร่ำรวย แต่มาจนด้านสุขภาพจิตและร่างกาย
เสียแล้ว เป้าหมายที่จะมีเงินร่ำรวยอย่างต่อเนื่องก็ต้องหยุดชะงักลงทันที
สิ่งทีดังนั้น เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ ต้องมี
สุขภาพดี อยู่เสมอด้วยเช่นกัน
น             สิ่งที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ คนส่วนมากไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เป็น
เพราะำพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ นั้นเป็นอะไร เป็น
สิ่งใด ส่วนคนรวยนั้น จะรู้สิ่งที่เขาต้องการอย่างชัดเจน แล้วก็คิดมุ่งมั่นอยู่กับ
สิ่งที่เขาต้องการโดยไม่มีวันหยุด เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้สิ่ง
ที่เขาปรารถนาให้จงได้ แต่ไม่ได้ทำผิดกฏหมายและศีลธรรม

            ความคิดที่ต้องมีเงินหรือร่ำรวยนั้น ไม่เหมือนกับความคิด เดินเล่นอยู่
ในสวนสาธารณะ ต้องคอยกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องการอันเป็นเป้าหมาย
อย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่หยุดคุณต้อง
มีความเชื่ออยู่ในจิตว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่วแล้ว
การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่คุณปรารถนนั้นก็เป็นไปได้ยาก

           4 คนรวย คิดใหญ่ คิดอย่างมีพลัง คิดต้องได้ คิดต้องมี
              คนจน คิดเล็ก คิดได้ก็ดี ไม่ได้ช่างมัน
ความลับของความร่ำรวยแท้จริงแล้วอยู่ที่  พลังอำนาจของความคิด ขึ้นอยู่
กับผู้คิด คิดอย่างไรมักได้อย่างนั้น บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดหรือรู้จักคิดย่อม
ใช้พลังอำนาจของความคิดเป็นพลังงานดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาสู่ตนได้
พลังความคิดที่จะเกิดผลได้ จะต้องมีความเชื่อร่วมด้วย

            5 คนรวย ไม่คิดถึงปัญหา หากมีปัญหาก็คิดว่าเป็นแรงเสริมให้
มุ่งมั่นเข้มแข็งขึ้น
                คนจน  คอยคิดถึงแต่ปัญหา หากมีปัญหาก็ยอมแพ้ หยุดสู้ต่อไป
การที่จะร่ำรวยได้นั้น ไม่เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ แต่หาก
เป็นการเดินทางที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ดังที่นักประพันธ์บางคน
กล่าวว่า ชีิวิตเรานั้นใช่ว่าจะเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ หากต้องเดินอยู่บนถนนที่
ขรุขระหรือมีขวากหนามบ้าง ชีวิตจึงจะมีรสชาติ เป็นคำกล่าวที่จริงทีเดียว
คนที่จะมีเงินมีทองได้ต้องทำงานหนัก คนที่จะมีชื่อเสียงได้ต้องทำงานหนัก
ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แล้วจะได้เงินได้ทอง ได้ชื่อเสียง ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคน
ล้วนแล้วแต่เป็นนักผจญภัยชีวิตที่ยอดเยี่ยม ฟันฝ่าอุปสรรคนานาชนิดมามากมาย
กว่าจะมาถึงจุดนี้คือจุดที่มั่งมีเงินทอง มีชื่อเสียง
              คนจน เห็นอุปสรรคความยากลำบากเข้าหน่อยก็เกิดความท้อใจ
พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความยากลำบากอยู่เสมอ ไม่เคยคิดกล้าที่จะฟันฝ่า
อุปสรรคความยากลำบากนั้นเลย ชอบความเป็นอยู่ที่ง่าย ๆ สะดวกสบาย
บุคคลประเภทนี้ยากที่จะเจริญ  ยากที่จะร่ำรวย และยากที่จะประสบความสำเร็จ
มีชื่อเสียงได้
            คนรวย ไม่มีความย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ่นเห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่
ช่วยพัฒนาให้มีพลังจิตที่กล้าแข้งอดทน และก่อให้เกิดประสบการ์ณ ก่อให้
เกิดปัญญาที่ช่วยให้รู้วิธีแก้ไขต่อไป ไม่ว่าอุปสรรคชนิดใดเข้ามา ก็จะเอา
ประสบการ์ณและปัญญาในอดีตมาฟันฝ่าแก้ปัญหานั้น ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

            6 คนรวย พยายามจ้องมองหาโอกาสอยู่เสมอ
               คนจน พยายามจ้องมองหาปัญหาอยู่เสมอ
คนรวยเป็นคนที่แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนอยู่เสมอ เป็นการเตรียมตัวรอโอกาส
ที่จะมาถึง เปรียบดังชาวประมงที่เตรียมใบเรือให้พร้อมอยู่เสมอพอลมมาก็แล่นเรือ
ออกสู่ทะเลลึกได้ทันที การเตรียมความรู้ความสามารถให้พร้อมอยู่เสมอเป็นการดี
เมื่อโอกาสมาถึงก็สามารถตอบรับโอกาสนั้นได้ทันที
               คนจนมักเป็นคนที่ชอบความสะดวก ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดด้ิิ้นรนแต่
ประการใด ไม่รักความรู้ ไม่คิดแสวงหาความรู้เลย ไม่เตรียมตัวเพื่อการใด ๆไม่เคย
คิดถึงโอกาส และคิดว่าชีวิตนี้ของตนเอง คงไม่มีโอกาสที่จะมีงานที่ดีคิดว่าไม่มี
ทางที่จะมีเงินร่ำรวยอีกแล้ว จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามมีตามเกิดหรือตามยถา
กรรม เหมือนปลาตายที่ลอยตามน้ำเท่านั้น
               ในโลกทางการเงิน ความกล้าเสี่ยงบางครั้งก็ทำให้ได้รับรางวัลของ
ความกล้าเสียงได้อย่างคุ้มค่า รางวัลที่สูงค่า ย่อมต้องกล้าสู้ความเสี่ยงที่สูง
ด้วยเช่นกัน คนรวยมักเป็นผู้ที่กล้าเสียงเสมอ
               คนรวย มีความคาดหวังต่อความสำเร็จ เขามีความมั่นใจต่อความ
สามารถของเขา มีความมั่นใจต่อความคิดสร้างสรรค์ตลอด และมีความเชื่อ
มั่นว่า สิ่งที่เขาทำต้องประสบความสำเร็จ
               คนจน มีความคาดหวังต่อความล้มเหลว เพราะเขาขาดความมั่นใจ
ในตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา และคิดว่าสิ่งที่เขาทำ
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ เขาเชื่อว่า ถ้าเขาทำไปจะต้องประสบ
ความหายนะแน่นอน
              อย่างไรก็ตาม คนเราเกิดมา ถ้ามีร่างกายครบ 32 มีจิตใจเป็นปกติดี
และรู้จักใช้ความคิด ย่อมต้องทำบางสิ่งเพื่อเป็นการลงทุนให้กับชีวิตบ้าง
เริ่มตัดสินใจ ตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มีการเงินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม
ควรแสวงหาโอกาสที่จะสร้างผลกำไรให้แก่ชีวิตของตน แทนที่จะคิดถึงการ
ขาดทุน สูญเสีย และล้มเหลว
             วันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพัฒนาศักยภาพในการปลุกความคิด
ให้มีพลังอำนาจของความคิดปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกอย่างชัดเจน เป็นพลัง
ผลักดันให้ท่านมีความคิดที่มีพลังมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายได้อย่างประสบ
ความสำเร็จ สมความปรารถนา

8/25/10

หนังสือเกี่ยวกับพลังจิต ตอนที่2

     ตามที่สัญญาว่าจะนำมาลงให้อ่านกันอีก 1 เล่มค่ะ ถึงช้าแต่ก็ไม่ลืมนะจ้ะ
ชื่อเรื่องว่า   ยุทธศาสตร์พัฒนาจิต ผู้เขียนท่านเดิมคือ ดร.บุญเลิศ สายสนิท
คิดว่าคนที่สนใจเรื่องพลังจิตคงจะรู้จักท่านกันเป็นอย่างดีแล้ว

     มีทั้งหมด25 ยุทธศาสตร์
1     กฏของการเป็นมนุษย์
2     จิตรอบรู้เรื่องที่ทำให้เราเสียเวลาและพลังงานแห่งชีวิต
3     จงรักชีวิตของตนอย่างแท้จริง
4     ความรู้ ความเข้าใจ คุณค่าของคน
5     พลังดีมีอำนาจมากที่สุดในจักรวาล
6     สร้างจิตสำนึกและหมั่นเติมพลังงานให้ตนเองทุกวัน
7     พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งความคิด
8     พลังคิดพิชิตความจน
9     สูตรสั่งจิตที่มีส่วนประกอบและหลักการสำคัญ
10     จูนกระแสจิตด้วยรอยยิ้มเพื่อสุขภาพ
11     บรรเทาความเครียดด้วยจิตผ่อนคลาย
12     กุญแจบุคลิกภาพของความสำเร็จที่ซ่อนเร้น
13     6วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย
14     10หลักพัฒนาจิตให้ทำงานอย่างมีความสุข
15      ใช้จิตวางแผนเร่งการเรียนรู้เร็ว
16     พัฒนาจิตพลิกสูตรแห่งความสำเร็จแบบยั่งยืน
17     ใช้จิตสำรวจตรวจสอบ การดำเนินชีวิตส่วนตัวอย่างรอบคอบ
18     ศาสตร์สรรค์สร้างจิตให้คิดใหม่
19     บันได 15ขั้น ก้าวสู่ความสำเร็จ
20     พลังอำนาจของความคิดด้านลบ
21     พลังอำนาจจิตของความคิดในเชิงบวก
22     วิธีกำหนดเป้าหมายของคุณ
23     หลักการดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
24     หลักการดำเนินชีวิตเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี
25     หลักการเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

รูปเล่มเป็นดังนี้จ้า
จะขอเลือกบางส่วนมาเขียน เดา ๆ เอาแล้วกันว่าคนส่วนใหญ่น่าจะอยากรู้เรื่อง
   ยุทธศาสตร์ที่13   :   6 วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย
     การที่จะมีความมั่งคั่งร่ำรวยได้นั้น คุณต้องมีความต้องการ ความมั่งคั่งร่ำรวย
สภาวะจิตของคุณต้องคิดถึงความมั่งคั่งร่ำรวย นี่คือสิ่งทีี่เราต้องโปรแกรมจิต
เริ่มจากการพิสูจน์  คุณต้องมีความเชื่อว่า คุณสามารถที่จะรวยได้   ฝึกจิตของคุณ
ให้บรรลุถึงความสำเร็จ ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการสร้างการคิดรวย

     คุณเคยพูดหรือเคยมีความเชื่อในประโยคเหล่านี้บ้างไหม
-     คุณต้องทำงานหนักถึงจะได้เงิน
-     การมีเงินนั้น มันเป็นเรื่องของคนอื่น ๆ เขา ไม่ใช่ฉัน
-     การจัดการกับการเงินนั้น เป็นเรื่องยาก
-     เป็นการยากที่จะหาเงินให้ได้มาก ๆ
-     ต้องมีเงินต่อเงิน จึงจะได้เงินมา
-     การดำรงชีวิตด้านจิตวิญญาณ ไม่ควรคิดว่าเงินสำคัญ
-     ชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไม่มีวันร่ำรวยแน่นอน
-     ไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรือสิ่งใด ไม่เห็นทางว่าจะร่ำรวนได้เลย

     คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติแนวคิดที่มี  ความเชืื่่่่อในเรื่องความรวยที่อยู่ในขอบเขตจำกัด
ให้เป็นความเชื่อว่าจะต้องรวยได้อย่างไร้ขอบเขตจำกัด

     การที่คุณจะร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่การโปรแกรมจิตตามความคิดของคุณ คำพูดและ
การกระทำของคุณเป็นเครื่องบ่งบอกว่า คุณจะเป็นคนมั่งมีหรือเป็นคนจน

     พลังอำนาจของความคิดนั้นมีจริง ทุกครั้งที่คุณคิด สิ่งที่คุณคิดจะก่อตัวตนและปรากฏ
ขึ้น ทำให้คุณรู้สึกได้ ทำให้ตัวคุณเองและผู้อื่นมองเห็นได้ ดังเราจะเห็นคนที่ิคิดถึงความ
ผิดหวัง คิดถึงการตัดสินใจผิดพลาดไป คิดถึงความสูญเสีย หรือคิดถึงความล้มเหลว
แม้แต่เหตุการณ์เหล่านี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความคิดเหล่านี้ก็ยังคุกกรุ่นอยู่ในความรู้สึก
และอารมณ์ตลอดเวลา ทำให้ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์เช่่นนี้ถูกผลักดันจากภายใน
ออกมาปรากฏภายนอก ทำให้เห็นบุคลิกลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป มองดูอ่อนเปลี้ย
เพลียแรง คล้ายหมดกำลังวังชา หน้าตาซูบเซียวหมองคล้ำ ส่วนผู้ที่คิดบวกสร้างสรรค์
คิดถึงสิ่งที่ตนได้มาหรือกำลังจะได้มา สิ่งที่ได้มานี้จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความเป็นอยู่
ดีขึ้น และทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข ความคิดเช่นนี้ แม้คิดอยู่ภายใน
แต่ก็จะปรากฏออกมาภายนอกให้เห็นได้อย่างชัดเจน อากัปกิริยาท่าทาง บุคลิกที่มีพลังใจ
พลังกายแสดงออกมา มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงว่องไว กระปรี้กระเปร่า ดวงตา
สดใสเป็นประกายแห่งความสุขสดชื่นแจ่มใส มีรอยยิ้มในดวงตาและบนใบหน้าอย่างเห็น
ได้ชัด บ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ที่ดีมีความสุขอยู่ภายใน ผลักดันให้ปรากฏ
ออกมา ดังนั้น พลังอำนาจของความคิดนั้นจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์เราทุกคน
  
     โดยทั่วไปแล้ว คนรวยมักคิดดี คิดใหญ่ คิดได้ ไม่คิดเสีย แตกต่างไปจากคนจน ที่คิด
กลัว คิดไม่กล้า คิดท้อใจ คิดเบื่อหน่าย คิดเกียจคร้าน ขาดความเชื่อมั่น คิดลบ คิดระวัง
ระแวงไปต่าง ๆ นา ๆ จนทำให้ชีวิตอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้า และในที่สุดทำให้ไม่ประสบความ
สำเร็จในชีวิต แม้วัยจะล่วงเลยไปถึง เลข 4 เลข5 หรือเลข6 และนับวันตัวเลขแห่งวัยที่
เพิ่มขึ้น แสดงออกให้รู้ว่าบทละครแห่งชีวิตใกล้จะปิดฉากลง เป็นฉากสุดท้ายที่จบลง
อย่างทุกขเวทนา และน่าสงสาร

ในตอนหน้าเราจะมาอ่านต่อถึง 6วิธีที่จะสร้างพลังจิตให้คิดรวยกันจ้า
  

หนังสือเกี่ยวกับพลังจิต ตอนที่1

สองเล่มแรกที่อยากจะแนะนำเป็นของดร. บุญเลิศ สายสนิท
ดร.บุญเลิศนั้นจบการศึกษาทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการ และ
ศาสตร์เกี่ยวกับพลังจิตโดยเฉพาะ และปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ด้านจิตบำบัดคนหนึ่งของเมืองไทย มีศูนย์อบรมบำบัดทางจิต
และภาษาอังกฤษแก่คนทั่วไป
             ทีนี้เราลองมาดูเล่มแรกกัน
ศาสตร์แห่งการสั่งจิตบำบัด
           ศาสตร์ทุกศาสตร์มีความหมายว่าความรู้ความเชี่ยวชาญ
ในวิชาชีพอย่างลึกซึ้งและนำมาศึกษาให้แตกฉาน
จนเป็นภูมิรู้ติดตัวได้...ศาสตร์สั่งจิตเป็นศาสตร์ที่หมายรวมถึง
การใช้จิตสั่งอำนาจจิตในตัวเองได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า
            การสั่งจิตนั้นสามารถพิชิตอุปสรรคได้ร้อยแปด
เช่น พิชิตโรคร้ายต่าง ๆ พิชิตความจน พิชิตความขี้เกียจ
พิชิตขี้เหล้าเมายา พิชิตให้เลิกคิดฆ่าตัวตาย
พิชิตความอ้วน พิชิตใจให้ขยันเรียนได้ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้หายได้โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบั

     ในเล่มนี้จะมีห้าบทบวกกับหนึ่งภาคผนวกจะขอยกบทความมาบางส่วน
 ประเภทของจิตแบ่งได้ดังนี้
1     จิตของบุคคลธรรมดา จิตประเภทนี้เป็นจิตที่ปล่อยไปตามอารมณ์
ยังคงยึดติดอยู่กับรูป รส กลิ่นเสียง และสัมผัสค่อนข้างมาก

2     จิตของบุคคลที่รู้จักคิด  เป็นจิตของผู้ที่ยังคงมีความพึงพอใจในรูป
รสกลิ่นเสียงและสัมผัสแต่พอประมาณหรือปานกลางไม่ถึงกับลุ่มหลงมัวเมา

3     จิตของนักฝึกปฏิบัติและพัฒนาจิต เป็นจิตที่ถือว่ารูป รสกลิ่นเสียงและสัมผัส
เป็นสิ่งธรรมดาไม่ยั่งยืน สามารถควบคุมจิตตนเองได้ จะมีหรือไม่มี  จะทำ
หรือไม่ทำ หรือจะหยุดเมื่อใดก็ย่อมได้ ไม่ปล่อยให้อำนาจของรูป รส กลิ่น
เสียงและสัมผัสมีอำนาจเหนือจิตและกายของตน เป็นจิตที่สามารถควบคุมอารมณ์
ความรู้สึกได้

4     จิตของผู้เหนือโลก เป็นจิตที่สละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ไม่ยึดมั่นหรือยึดติดกับ
สิ่งใด ๆ ในโลก งดเว้นรูป รสกลิ่นเสียง และสัมผัสโดยสิ้นเชิง เป็นจิตที่หลุดพ้น
จากกิเลสตัณหา เตรียมพร้อมเข้าสู่นิพพาน

          พลังงานแห่งจิตก่อให้เกิดประโยชน์ในทางใดบ้าง
1     การสั่งจิตแก้ปัญหาและปรับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2     การโทรจิตหรือการส่งคลื่นกระแสจิต
3     การสั่งจิตเพื่อบำบัดโรค
4     การสั่งจิตเพื่อย้อนอดีตและดูอนาคต
5     การทำสมาธิเพื่อพลังอำนาจจิต
6     การใช้พลังจิตเพื่อบังคับวัตถุให้เคลื่อนที่
7     การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากจิตบำบัดโรค
8     การทดสอบจิตของบุคคลอื่น รับหรือด้าน นิ่งหรือไม่นิ่ง
9     การใช้พลังจิตกับเพนดูลัมเพื่อหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำหรือแร่
10   ใช้พลังจิตทำให้ร่างกายหนักหรือเบาขึ้น
11   ใช้พลังจิตให้ร่างกายและผิวพรรณแลดูอ่อนกว่าวัย

        

สร้างตัวเองให้มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัว

ที่มา : หนังสือเคล็ดลับพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จก้าวหน้า


  


     แน่นอนว่าเราจะต้องเคยเรียนรู้และรู้จักบุคคลที่มีความอัจฉริยะอยู่ในตัว จนทำให้ชื่อเสียง
ขจรขจายไปทั่วโลกกันมาบ้างแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็อย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ วิลเลียม
เช็คสเปียร์ เพลโต และอื่น ๆ อีกมากมาย ชื่อเสียงของคนเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้
ตัวตายไปหลายร้อยปีแล้ว แต่ชื่อเสียงและคุณความดีก็ยังคงปรากฏอยู่ตราบจนถึงปัจจุบัน
และจะมีต่อไปอีกนานเท่านาน
     
     การที่เขามีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวนั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องมีอะไรที่ดีกว่าคนอื่นอย่าง
แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความพากเพียรหรือว่ามันสมองอันปราดเปรื่อง แล้วเราล่ะ อยากเป็น
อย่างพวกเขาบ้างหรือเปล่า


     การก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงระัดับโลกได้นั้น แน่นอนว่าจะต้องมีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แม้ว่า
เราจะไม่สามารถจะเป็นได้อย่างไอน์สไตน์หรือว่าคนอื่น ๆ แต่เราก็สามารถมีความเป็น
อัจฉริยะ และสามารถแสดงให้เห็นได้ในแวดวงและคนรอบข้างของเรา โดยมีข้อแนะนำ
ดังนี้

     1     ความเพียรที่ได้ผล ถ้าเราได้ลองอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จจะเห็น
ได้ว่า เขาทั้งหลายมีความพากเพียรพยายามไม่ท้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซ้ำพยายาม
มากขึ้นหากยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แน่นอนว่าการพยายามทำอะไรอย่างหนัก จะทำให้
เราได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และสามารถแสดงความสามารถของเราออกมาได้อย่าง
ไม่ต้องกลัวเกรงได้เหมือนกัน

ิ     2     คิดและทำ เคยเจอคนประเภทชอบพูดแต่ไม่ชอบทำไหมแน่นอนว่ามีมากในสังคม
ของเรา พูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอถึงเวลากลับไม่ยอมทำอะไรสักอย่ง บุคคลที่มีความ
เป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวหรือคนที่อยากจะเป็น จะต้องคิดและลงมือทำเพื่อให้เกิดผล ไม่ว่า
คิดอะไรต้องลองดู เพื่อที่จะได้รู้แจ้งเห็นจริง และเกิดความเชี่ยวชาญต่อการลองผิดลอง
ถูำกนั้น ๆ

     3     อัจฉริยะฝึกฝนกันได้ อย่าไปคิดว่าของอย่างนี้มีมาตั้งแต่กำเนิด เราไม่สามารถทำ
ได้ มีนักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักเขียนหลายคนที่เคยล้มเหลว ล้มลุกคลุกคลานมาโดย
ตลอด แต่ในท้ายที่สุดเขาเหล่านั้นก็ประสบความสำเร็จ ความเป็นอัจฉริยะของบางคน ก็ใช่
ว่าจะมีมาตั้งแต่กำเนิด แต่พวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ จน
กระทั่งพวกเขาประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม

     4     สร้างสิ่งที่เพ้อฝันให้เป็นจริง หากเราคิดแล้ว ไม่ใช่แค่เพ้อมองอย่างเดียว แล้วไม่
ลงมือทำอย่างที่คิด เพราะการที่คิดเพ้ออย่างเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับการนอนหลับ แล้วฝัน
ไปวัน ๆ คนที่เป็นอัจฉริยะ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีจินตนาการสูง และคนเหล่านั้นก็สามารถ
จับจินตนาการเหล่านั้นให้กลายเป็นของจริง อย่างโทมัส เอดิสัน เขาสามารถผลิตหลอดไฟ
ได้ืทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าตามบ้าน หรือจะเป็นเกรมเบลล์ที่สามารถผลิตโทรศัพท์
ได้สำเร็จ

     ความเป็นอัจฉริยะนั้นเราสามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าจะไม่สามารถมีชื่อเสียงก้องโลกได้
แต่ความเป็นอัจฉริยะของเราจะฉายแววเด่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ทำงานร่วมกับผู้อื่น


8/23/10

ตักเตือนตัวเองเสียบ้าง


ที่มา: หนังสือเคล็ดลับพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จก้าวหน้า


           หลาย ๆ ครั้งที่เรามัวแต่ไปเตือนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
โดยลืมที่จะตักเตือนตัวเองเสียบ้าง ทำให้เราทำอะไรผิดพลาดไปมากมาย
ทั้ง ๆที่เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว การเตือน
ตัวเองเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก  หากว่าจิตสำนึกของเรามีพลัง
เราก็จะสามารถเตือนตัวเราเองได้อย่างได้ผลมากยิ่งขึ้น เราจึงต้องรู้จัก
สร้างพลังในการเตือนตัวเอง

          การที่เราเตือนตนเองอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เรามีความมุ่งมั่นในจิต
และก็สามารถแสดงออกไปทางบุคลิก คำพูด ท่าทาง การเตือนตัวเองที่
ได้ผลจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซ้ำกันทุกวันไม่มีขาดหรือว่างเว้นอย่าง
เด็ดขาด เพราะหากเว้นไปเพียงวัน พลังใจของเราจะลดลงเกือบครึ่งเลยทีเดียว

         มีคนบอกเอาไว้ว่า  ชีวิตของเราจะเป็นไปตามที่เราคิด   ดังนั้นเราจึง
ควรเริ่มต้นด้วยการเตือนตัวเอง และทำตามอย่างที่เราคิดแล้วทุกอย่าง
ก็จะดีขึ้นเอง

         วิธีที่ดีที่สุดของการเตือนตนเอง คือต้องเตือนตัวเองในเวลากลางคืน
เพื่อที่ตื่นเช้ามาจะได้ทำตามที่ต้องการได้อย่างไม่ยากลำบาก
มีวิธีการดังนี้

     1     ควรออกกำลังกายสัก 10นาที การออกกำลังกายจะทำให้ลดความ
เครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี  ทำให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่ว่าวันนี้นทั้งวันเรา
จะต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างก็ตาม

     2     เมื่อจะนอนให้สวดมนต์ การระลึกถึงอะไรที่บริสุทธิ์ขาวสะอาด 
จะทำให้เรามีจิตใจที่แจ่มใสตามไปด้วย

     3     ตอนล้มตัวลงนอนให้คิดว่าเราจะผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ร่างกาย
ของเราปราศจากความเครียดใด ๆ  เพราะหากว่าตอนเรากำลังจะนอนแล้ว
ยังเคร่งเครียดอยู่ ความเครียดจะติดตามเราไปถึงรุ่งเช้า

     4     พูดเตือนตัวเองย้ำ ๆ ก่อนที่จะหลับ อาจจะพูดจนเราหลับไปเลยก็ได้ 
จะทำให้ความต้องการของเราฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา

     5     ในตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาก็ให้พูดกับตัวเองถึงคำเตือนที่เราท่องเอาไว้
ตั้งแต่เมื่อคืนอีกครั้ง


     6     ว่างจากการทำงานก็หมั่นเตือนตัวเองในข้อด้อยของตัวเองหรือข้อที่
อยากจะปรับปรุง เช่น เราเป็นคนขี้อาย ก็บอกกับตัวเองว่าเราจะต้องเชื่อมั่น
ในตนเอง เป็นต้น

     7     หากเจอปัญหาก็ให้ใจเย็น ๆ แน่นอนว่าเวลามีปัญหาเราย่อมจะต้องร้อนใจ
แต่ก็พยายามทำใจให้เย็นลงมา และเชื่อมั่นในตัวของเราเองว่าจะสามารถ
ผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดี แล้วความเชื่อมั่นตัวนี้นี่เองก็จะพาเราไปสู่การ
แก้ไข และไขไปสู่ความสำเร็จ

     8     ยามใดที่เราเตือนตัวเอง ต้องมั่นใจว่าเวลานั้นเราไม่มีความเครียดหลง
เหลืออยู่ เพราะหากเรามีความเครียดอยู่ จะทำให้การเตือนของเราไม่ได้ผล
เท่าที่ควร เราควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายก่อนที่จะพูดเตือนอะไรกับตัวเอง

     9     ดูสิว่าเราทำได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า แน่นอนว่าบางครั้ง เราอาจจะเผลอ
ลืมตัวไม่สามารถทำตามที่เราตั้งใจเอาไว้ได้ ดังนั้นการดูว่าตัวเราทำได้อย่าง
ที่ตั้งใจไหมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากว่าเราเผลอทำอะไรที่ไม่ตรงตามความ
ตั้งใจออกไป เราก็จะสามารถแก้ไขได้ ไม่ใช่ปล่อยปละเลยตามเลย

             การเตือนตัวเองเป็นประจำเป็นเรื่องดี เพราะไม่มีใครที่จะเตือนเราได้ดี
เท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว เพราะเราจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

8/19/10

พลังที่มีอำนาจมากที่สุดในจักรวาล

โดย -  อ. ดร. บุญเลิศ  สายสนิท  A.M.D., M.H.A., P.M.T., C.Ht
 ถ้าผมเอ่ยนามชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลกท่านหนึ่งขึ้นมา  ท่านจะรู้จักทันที  แต่ท่านรู้จักเพียงแต่ชื่อและเห็นภาพท่านเท่านั้น  เพราะท่านเสียชีวิตไปนานแล้ว  ท่านผู้นี้คือ  อัลเบิร์ท  ไอสไตน์  (Albert  Einstein)   ท่านกล่าวว่า  “จินตนาการเป็นพลังอำนาจสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล”  (Imagination is the greatest creative force in the universe)   ทำไมนักวิทยาศาตร์ท่านนี้จึงกล่าวเช่นนี้    ขอให้เรามาดูคำพูดที่ว่า  “พลังอำนาจสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”  กับคำว่า  “จินตนาการ”   ทำไมท่านไม่กล่าวถึง  การศึกษา  หรือ  เงิน  หรือ โชควาสนา 
 นักเขียนหรือนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่ง  ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขื่อว่า  “คิดแล้วร่ำรวย”  (Think and Grow Rich)  เป็นหนังสือที่ขายดีอันดับหนึ่งของโลก   ท่านกล่าวว่า  “จินตนาการเป็นพลังอำนาจที่น่าพิศวงมหัศจรรย์อย่างประหลาดที่สุดที่โลกเคยรู้จัก”  ท่านผู้ที่กล่าวถ้อยคำนี้ก็คือ  นโปเลียน  ฮิล  (Napoleon  Hill)  ท่านผู้นี้เคยเป็นที่ปรึกษาแก่ประธานาธิบดีของสหรัฐถึง  2  ท่านด้วยกัน  เป็นผู้ที่ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ของท่านคือ  แอนดรู  คาร์เนกี  (Andrew  Carnegie)   ซึ่งเป็นผู้สอนคนให้รู้วิธีที่จะมั่งคั่งร่ำรวยและสานความฝันให้เป็นความ จริง   มีบุคคลสำคัญ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ทั่วโลกได้ขอบคุณเขา  ช่วยพวกเขาได้วิธีคิดที่พัฒนาศักยภาพเขาให้ร่ำรวยได้อย่างสมความปรารถนา  ท่านยังได้ช่วยบุคคลเหล่านี้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับ  วู๊ดโรว์  วิลสัน (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ)  จอร์จ  อีสท์แมน  (ผู้ก่อตั้งบริษัทโกดัก) และมีผู้อื่นอีกมากที่ได้ประสบความสำเร็จจากคำสอนของท่าน
การจินตนาการเป็นพลังอำนาจที่สามารถนำพาท่านไปพบเห็นสถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านยังไม่เคยเห็นและยังไม่เคยไปมาก่อนเลย
 เฮนรี่  ฟอร์ด  (Henry  Ford)  มีความไว้วางใจในเรื่อง   การจินตนาการและความเชื่อ   และ  วอลท์  ดิสนี่ย์  (Walt  Disney)   กล่าวว่า  ถ้าเขาไม่ได้เห็นภาพ ดิสนี่แลนด์ ในจิตของเขา  บุคคลอื่น ๆ ในโลกนี้ก็คงไม่ได้เห็นดิสนี่แลนด์ (Disneyland) ด้วยเช่นกัน    แม้แต่  บิลล์  เกทส์  (Bill  Gates)  ก็ใช้ การจินตนาการ ต่อสินค้าที่เขาผลิตขึ้นมา  บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้วล้วนมีจินตนาการที่แจ่มชัดทำให้ความฝัน ของเขาเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์
จักรวาลจะช่วยให้ท่านได้รับประสบการณ์ดังจินตนาการของท่านไม่ว่าสิ่งนั้น ๆ จะเป็นอะไร 
 ดังคำปราชญ์กล่าวไว้ว่า  “บุคคลใดคิดเช่นใด  ก็จะได้และเป็นเช่นนั้น”   ชีวิตของเรามักจะเป็นไปตามจิตที่คิด หรือเป็นไปตามจิตที่สร้างภาพขึ้นให้เห็นวิธีดำเนินชีวิต  การเรียน  การทำงานหรือการทำธุรกิจ  ซึ่งจะเป็นไปตามความคิดหรือจินตนาการของเราทั้งสิ้น 
 ประสบการณ์จากความคิดของท่านเองจะเป็นเครื่องชี้บอกว่า  สิ่งใดที่ควรจะเลือกรับไว้  และสิ่งใดที่ควรจะละเว้นและขจัดตัดออกไป  ท่านรู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง    ตามความเป็นจริงแล้ว  ในอดีตที่ผ่านมา  ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาด  ความสูญเสีย  ความผิดหวัง  และความล้มเหลว  ล้วนแล้วตัวของเราเองเป็นผู้เลือกรับเลือกทำและเลือกมีเองทั้งสิ้น  เราจะไปโทษใครไม่ได้  ตรงกันข้าม  อดีตที่ท่านสมหวัง  ประสบความสำเร็จ  ก็เป็นเพราะท่านเลือกเองทั้งสิ้นด้วยเช่นกัน 
ความคิด  ภาพนิมิตรและความฝันของท่าน   ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือสิ่งใด ๆ  พอจะเป็นการพยากรณ์ได้ว่า  ท่านจะมี  จะได้  จะเป็น สักวันหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน   พฤติกรรมของความคิด  และการกระทำของท่าน  ในปัจจุบัน  เป็นสิ่งบ่งบอกถึงสิ่งที่ท่านจะประสบในอนาตตอย่างแน่นอน
 มีหลายสิ่งมากมายที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการจินตนาการของท่าน  - ความกลัวในอดีต  ความประหม่าตื่นเต้น  การขาดความรู้ความเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น  ขาดการตั้งเป้าหมายในชีวิต  ต่อไปนี้  ให้ท่านปรับเปลี่ยนความคิด   ปรับเปลี่ยนจินตนาการ  ปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต  โดยหยุดพฤติกรรมใด ๆ ที่ทำให้ผิดพลาด  ทำให้ผิดหวัง  ทำให้ล้มเหลว และทำให้สูญเสีย  มาสร้างจินตนาการ  การดำเนินชีวิตเสียใหม่  สลัดทิ้งพฤติกรรมเก่า ๆ  ที่ล้วนแต่ไม่ดีทั้งหลายให้หมดสิ้นไป   เริ่มคิดใหม่  คิดบวก  คิดดี  คิดสร้างสรรค์  คิดพัฒนาตนให้เป็นผู้รักความเจริญก้าวหน้า  มุ่งทำงานหรือธุรกิจที่ตนเองชอบและรัก  ด้วยความขยันหมั่นเพียร  ด้วยความอดทน  ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุด  ทำตามแผนการณ์หรือแผนงานของเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้  ต้องก้าวไปให้ถึงหลักชัยแห่งความสำเร็จให้ได้  โดยปราศจากความย่อท้อ  การผลัดวันประกันพรุ่ง   โดยคิดถึงด้วยความขยันหมั่นเพียร  ด้วยความอดทน  ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุด  ทำตามแผนการณ์หรือแผนงานของเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้  ต้องก้าวไปให้ถึงหลักชัยแห่งความสำเร็จให้ได้  โดยปราศจากความย่อท้อ  ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป

ที่มา : hypnoticquality.com

8/16/10

ศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก


ศูนย์ค้นคว้าและฝึกอบรมพลังจิตใต้สำนึก
The Center of Research and Training Subconscious Power

จุดประสงค์: เพื่อพัฒนาศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิต-กาย
บำบัดรักษาแก้ปัญหาสุขภาพของจิต-กาย-จิตวิญญาณ  นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนา ความจำ การศึกษาเล่าเรียน การประกอบอาชีพการงานและการทำธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จ



ผู้ก่อตั้ง: อ.ดร. บุญเลิศ  สายสนิท Ph.D., A.M.D., M.H.A., P.M.T., C.Ht.
ผู้เชี่ยวชาญการสั่งจิตบำบัดทางการแพทย์และทันตกรรมนานาชาติ ได้รับการรับรองให้เป็น Certified Hypnotherapist, Medical Hypnoanalist, Pain Manangement Therapist  และ เป็นสมาชิกดีเด่น ของ 2 สมาคม  IMDHA และ IACT, USA  สามารถ สั่งจิต (Hypnotize) บำบัดรักษาแก้ปัญหา ให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ  ด้วยภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ที่ตั้ง : 231  ม. บ้านซื่อตรง  ซอย 3  พหลโยธิน 52  คลองถนน  สายไหม  กรุงเทพฯ  10220
โทร  02-551-3856  //  089-689-7287   โทรสาร  02-551-3856

บทเรียนแง่คิดที่ให้สติปัญญา30 ข้อ สำหรับปีใหม่ 2553
          ทุกชีวิตที่เกิดมาหาลิขิตเองได้ไม่ แต่เราก็ได้เกิดมาแล้ว จะดีเลวอย่างไร อย่าไปคำนึงถึง แต่ตั้งนี้เป็นต้นไป เราต้องลิขิตชีวิตของเราให้ได้ เพราะ ชีวิตเป็นของเรา เรารักและหวงแหน มีใครบ้างที่ไม่รักชีวิตของตนเอง จะมีก็ เฉพาะคนที่สติเสียหรือเสียสติเท่านั้น เมื่อรักชีวิตของตนอย่างจริงจัง แล้ว จงอ่านข้อคิดที่อาจารย์ถ่ายทอดเป็นคำพูดข้อเขียนให้ไว้เพื่อเป็น เครื่องช่วยเตือนสติ ให้เกิดความคิดและปัญญา เพื่อพัฒนาชีวิตของตนให้ดีในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้และ ขอให้ชีวิตของคุณอยู่ภายใต้การลิขิตของตนตั้งแต่วันนี้และตลอดไป
1.    ทุกชีวิตที่เกิดมาแตกต่างกัน ดูเหมือนไม่ยุติธรรม แต่ชีวิตก็ยังมีส่วนที่ดี
2.    เมื่อใดที่จิตใจมีความสงสัย ก็จงค่อย ๆ ย่างก้าวต่อไปอย่างระมัดระวัง
3.    ชีวิตนี้สั้นเกินไปที่จะปล่อยให้เวลาของชีวิตสูญเสียไป กับการโกรธเกลียดใครๆผู้ใด
4.    งานของคุณไม่สามารถสร้างเงินให้คุณได้ ถ้าเจ็บป่วยสุขภาพเสื่อมโทรม 
5.    ยามคุณเจ็บป่วยคนที่จะช่วยคุณได้คือเพื่อน ๆ ที่ดีและคุณพ่อคุณแม่ของคุณ จงรักษาความสัมพันธภาพที่ดีต่อกันเข้าไว้
6.    คุณไม่ต้องเอาชนะในการโต้ถียงทุกครั้งไป ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
7.    จงระวังบัตรเครดิตของคุณให้ดีที่สุด อย่าให้เกิดหนี้จนล้นพ้นตัวแล้วจะเสียใจเพราะใช้บัตรเครดิตตามอารมณ์มากเกินไป
8.    เมื่อใดที่คุณอยากร้องไห้ จงร้องไห้กับใครสักคนหนึ่ง จะช่วยบำบัดปัญหาได้ดีกว่าร้องไห้คนเดียว
9.    จงเตรียมออมเงินของคุณไว้ เมื่อถึงเวลาหยุดทำงาน จะไม่ทำให้คุณทุกข์ใจทุกข์กาย
10.จงสร้างสันติภาพกับอดีตของคุณ เพื่อไม่ให้เกิดปีนเกลียวกันในปัจจุบัน
11.บางครั้งคุณต้องร้องไห้ให้ลูกเห็น ก็จงปล่อยให้เขาเห็นเถิด ไม่ต้องอายหรือปิดบังความรู้สึกที่เป็นความจริง
12. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับชีวิตของผู้อื่น เพราะคุณก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้ว่า ชีวิตที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไร
13. ทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปวิตกกังวล เพราะสักวันหนึ่งย่อมมาถึงทุกคนเช่นเดียวกัน
14. เมื่อรู้สึกขัดใจ จงหายใจเข้า-ออกให้ลึก ๆ มันจะทำให้จิตใจสงบลง
15. จงขจัดทุกสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ให้โทษ ไม่สวยงาม ไม่รื่นรมย์ให้หมดไป
16. จงระวังเจ้าความคิดอิจฉา ริษยา โกรธ เกลียดและเคียดแค้น พวกนี้เป็นโรคร้ายบั่นทอนและทำลายจิตและร่างกายให้เสื่อมโทรม
17. จงแสวงหาความรู้เมื่อมีโอกาส เพราะวันหนึ่งอาจจะหมดโอกาสได้
18. พลังของอวัยเพศที่สำคัญที่สุดคือสมอง
19. ไม่มีใครที่จะสร้างความสุขให้คุณได้เท่ากับตนเอง (ความทุกข์ก็เช่นกัน)
20. จงสั่งจิตใต้สำนึกให้เลือกเพื่อน เลือกคู่ เลือกงานที่เหมาะสมกับตน
21. จงให้อภัยแก่ทุกคนและทุกสิ่ง
22. ใครจะคิดกับคุณอย่างไร ข่างเขาเถิด   ไม่กงการอะไรของคุณ
23. เวลาบำบัดเกือบทุกสิ่งให้หายเป็นปกติได้
24. ไม่ว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นไรก็ตาม จงสงบและมีสติเท่านั้น มันจะเปลี่ยนแปลงได้
25. อย่าเคร่งเครียดกับชีวิตจนเกินไป  เพราะมีแต่จะเลวลง
26. พลังอำนาจของความเชื่อนั้นยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ยิ่งนัก
27. เมื่อมีดี อย่าเก็บไว้ จงนำออกมาแสดง เพื่อตน และเพื่อสังคม
28. จงออกไปเผชิญกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ได้ทุกวัน เพราะความมหัศจรรย์คอยอยู่ทั่วไป
29. ชีวิตไม่ได้ผูกด้วยโบว์เสมอไป แต่ชีวิตก็ยังเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่
30. จงทำช่วงวัยแห่งชีวิตของคุณที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นช่วงวัยแห่งชีวิตของคุณที่ดีที่สุด
ให้มีความสงบ ความสุขและสันติสุขให้จงได้
ขอให้คุณจงประสบความสำเร็จ ความสุข ในสิ่งที่คุณปรารถนาทุกประการ ตลอดปี 2553 นี้เทอญ
จาก อ. ดร. บุญเลิศ สายสนิท