9/26/10

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน






อุตสาห์สัญญาว่าจะอัพบล็อคให้ต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่ค่อยสบาย
แต่ก็ทำไม่ได้จริง ๆเพราะทั้งเพลียและก็ไม่มีเรี่ยวแรงเลย
วันนี้ก็ได้ลุกมานั่งเขียนแล้วก็อยากจะเขียนเกี่ยวกับวรรณกรรม
ที่น่ารัก ดีกว่า เพราะผู้เขียนบอกว่า วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้
เหมาะสำหรับผู้อ่านอายุ 8-88 ปี เลยทีเดียว


เป็นหนังสือที่น่ารักมาก ๆ เล่าถึงเจ้านกนางนวลสีเงินที่บินมาพร้อมกับฝูงตัวนึงแต่โชคร้ายที่พลัดตกไปที่ทะเลและถูกคราบน้ำมันเกาะจับติดขนปีกจนหมดแรงขยับปีกบินสุดท้ายร่อนลงมาได้พบกับเจ้าแมวอ้วนใจดีชื่อ ซอบาส
นกนางนวลขอให้เจ้าแมวสัญญาว่าหากนางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่เบ่งไข่นกนางนวลออกมา เจ้าแมวซอบาสจะช่วยรักษา
สัญญาว่าจะดูแลไข่ของมันให้ปลอดภัยจนกว่าจะฟักและสอนให้ลูกนกบินได้ ได้หรือไม่ ซอบาสรู้ว่าเป็นคำสัญญาที่ยากยิ่ง
แต่ด้วยใจที่มีเมตตามันได้รับคำมั่นสัญญากับนกนางนวลเมื่อแม่นกสิ้นใจมันพร้อมกับพลพรรคมวลแมวท่าเรือทั้งหลายจึงเฝ้าอุ้มชูฟูมฟักเจ้านกน้อยจนออกมาจากไข่และคิดว่าตัวเองเป็นลูกแมว แต่สุดท้ายด้วยสัญชาติญาณของมันทำให้นกน้อย
อยากบินไปบนฟ้ากว้างเหมือนแม่นกผู้กล้าหาญของมันเหล่ามวลแมวจึงสรรหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะให้ลูกนกบินได้ตามที่ได้ให้คำสัญญาไว้แก่แม่ของมันทั้งที่มันเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับแมว
สุดท้ายก็ได้มนุษย์ศิลปินใจดีช่วยเหลือพร้อมกับซอบาสและกำลังใจจากมวลแมวทั้งหลายลูกนกโผบินได้เป็นครั้งแรกเจ้านกร้องบอกแมวอ้วนซอบาสว่า “ฉันรักแม่จ้ะ แม่เป็นแมวดีที่สุด”
“ฉันจะไม่มีวันลืมแม่เลยจ้ะ แมวอื่น ๆ ด้วย”  ซอบาสเฝ้ามองนกนางนวลอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมันไม่รู้ว่า เพราะหยดน้ำฝนหรือหยดน้ำตาที่เอ่อท้นดวงตาสีเหลืองของมัน  แมวดำตัวใหญ่และอ้วนพี แมวทรงคุณธรรมแมวประเสริฐ แมวท่าเรือ




9/18/10

จิตขณะแรกในชีวิต

  เนื่องด้วยพักนี้จะสนใจในเรื่องการปฏิสนธิจิตมาก ๆ
แล้วก็เรื่องกฏแห่งกรรม ทำกรรมใดจะไปเกิดในภพภูมิใด
ขณะสุดท้ายของชีวิตคิดดีจะไปเกิดในภพภูมิดี ก็พอดีไปเจอ
บทความจิตขณะแรกในชีวิตเลยคัดลอกมาให้ได้อ่านกันค่ะ
ที่มาบทความ :  http://buddhiststudy.tripod.com/ch10.htm
รั้งแล้วครั้งเล่าที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 เป็นจิตเห็นบ้าง   จิตได้ยินบ้าง   จิตที่พอใจในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินบ้าง   จิตเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ   เราอาจสงสัยว่าจิตเหล่านี้มีหน้าที่ต่างกันหรือไม่   จิตเห็นและจิตที่พอใจในรูปารมณ์นั้นเกิดไม่พร้อมกัน   จิตสองดวงนี้ต่างกันและทำกิจต่างกัน   เราจะเข้าใจจิตดีถ้าเรารู้ลำดับการเกิดของจิตและรู้กิจของจิต    จิตเกิดขึ้นโดยไม่ทำกิจไม่ได้ จิตแต่ละดวงต่างทำ กิจ ของตน   กิจของจิตทั้งหมดมี 14 กิจ
จิตที่เกิดขณะแรกในชีวิตก็ต้องทำกิจด้วย    การเกิดคืออะไร  และ อะไร   ล่ะเกิด    เราพูดเรื่องเด็กเกิด แต่ความจริงแล้วมีแต่ นามธรรมและรูปธรรม เท่านั้นเกิด  คำว่า "เกิด" เป็นบัญญัติ   เราควรพิจารณาว่าการเกิดจริงๆนั้นเป็นอย่างไร   นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับทุกขณะ   ฉะนั้น   การเกิดและการตายของนามรูปก็มีทุกขณะ    เพื่อจะได้เข้าใจว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิด   เราควรรู้ปัจจัยที่ทำให้นามรูปเกิดขึ้นในขณะแรกของชาติหนึ่งๆ
ในชีวิตของเราอะไรเกิดก่อน   นามหรือรูป?   ทุกๆขณะในชีวิตของเราต้องมีทั้งนามและรูป   ในภูมิที่มีขันธ์ 5 (นามขันธ์ 4 และรูปขันธ์ 1)    นามธรรมเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีรูป   จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่อาศัยรูป    ขณะหนึ่งๆในชีวิตเป็นจริงอย่างไร   ขณะแรกของชีวิตก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้นด้วย   ในขณะแรกของชีวิตนั้น   นามและรูปต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน   จิตที่เกิดขณะแรกนั้นเรียกว่า ปฏิสนธิจิต    เมื่อไม่มีจิตดวงใดเกิดได้โดยไม่อาศัยปัจจัย   ปฏิสนธิจิตก็ต้องเกิดเพราะปัจจัยด้วย   ปฏิสนธิจิตเป็นจิตขณะแรกในชาติหนึ่งๆ   เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเหตุในอดีตเป็นปัจจัยด้วย    บางคนอาจสงสัยเรื่องชาติก่อนๆ   แต่คนเราจะต่างกันอย่างไรได้ถ้าไม่มีชาติก่อนๆ   เราเห็นได้ว่าคนเราเกิดมาต่างกันตามการสะสม
เราจะบอกอุปนิสัยของเด็กโดยดูจากพ่อแม่ได้ไหม   ที่เราใช้คำว่า "อุปนิสัย" นั้น  ความจริงก็คือ  นามธรรม    พ่อแม่จะส่งนามธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไปทันทีนั้นให้กับอีกคนหนึ่งได้หรือ?   จะต้องมีเหตุปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เด็กมีอุปนิสัยอย่างนั้น   จิตเกิดดับสืบต่อกัน   ฉะนั้นจิตทุกดวงจึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น    จิตขณะแรกของชาตินี้เกิดต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน (จุติจิต)   ด้วยเหตุนี้เอง   อุปนิสัยในอดีตจึงสืบต่อมาโดยสะสมในจิตดวงหนึ่งสู่จิตดวงต่อไปและจากชาติก่อนสู่ชาตินี้
เพราะเหตุที่ว่าเราทุกคนสะสมอุปนิสัยต่างๆกันในชาติก่อนๆ   ทุกคนจึงเกิดมามีจริตอัธยาศัยต่างๆกัน
คนเรามิได้เกิดมามีอุปนิสัยต่างกันเท่านั้น   แต่ยังเกิดในสิ่งแวดล้อมต่างกันอีกด้วย   บางคนเกิดในสิ่งแวดล้อมที่สุขสบาย   บางคนเกิดในสิ่งแวดล้อมที่ทุกข์ยาก    การที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น   เราต้องไม่ติดคำสมมุติบัญญัติว่า   "บุคคล"  หรือ  "สิ่งแวดล้อม"    ถ้าเราพิจารณาโดยปรมัตถธรรมก็จะเห็นว่า การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สุขสบายหรือทุกข์ยากนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากการรู้อารมณ์ที่ดีบ้าง   ไม่ดีบ้าง  ทางตา  หู  จมูก   ลิ้น  กาย  เป็น กุศลวิบาก   หรือ อกุศลวิบาก   นั่นเอง    วิบากจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้   วิบากเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม   ทุกคนทำกรรมต่างกันจึงได้รับผลต่างกัน   การที่คนเราเกิดในสิ่งแวดล้อมต่างกันนั้นต้องมีเหตุคือ   กรรมในชาติก่อนเป็นปัจจัย   กรรมทำให้เกิด ปฏิสนธิจิต เป็น วิบาก คือ  เป็น ผลของกรรม
ในโลกนี้เราเห็นมนุษย์และสัตว์เกิดมาต่างๆกัน   เมื่อเปรียบเทียบชีวิตของสัตว์และชีวิตของมนุษย์   จะเห็นว่าการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นทุกข์   เป็นอกุศลวิบาก    การเกิดเป็นมนุษย์เป็นกุศลวิบาก   แม้ว่าจะเกิดเป็นคนยากจนหรือต้องประสบความทุกข์ยากต่างๆนานาตลอดชีวิต   ปฏิสนธิจิตของแต่ละคนเป็นกุศลวิบากต่างระดับ   เพราะกุศลกรรมซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากนั้นมีหลายระดับ
ในขณะแรกของชีวิต   กรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตและรูปเกิดขึ้นพร้อมกัน   บางคนอาจสงสัยว่าอะไรทำให้รูปเกิดในขณะแรกของชีวิต    เราเห็นแต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาต่างกัน   บางคนแข็งแรง  บางคนอ่อนแอ   บางคนก็พิการแต่กำเนิด    ต้องมีเหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้น   กรรมนั่นเองที่เป็นปัจจัยให้นามและรูปเกิดขึ้น
กรรมทำให้รูปที่ไม่ใช่ร่างกาย   และรูปที่เป็น  "พืชพันธุ์ไม้ต่างๆ" เกิดได้ไหม?   พืชไม่ได้ "เกิด" เพราะพืชทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมไม่ได้   พืชไม่มีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด   อุตุ (อุณหภูมิ) เป็นปัจจัยให้เกิดพืช    สำหรับมนุษย์นั้น  กรรมเป็นปัจจัยให้รูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต   ถ้ากรรมไม่ทำให้นามและรูปเกิดตั้งแต่ปฏิสนธิขณะ   ก็ไม่มีชีวิต  อุตุ ก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิด   ถ้าอุณหภูมิไม่เหมาะสม   ชีวิตที่เกิดมานั้นก็เจริญเติบโตไม่ได้   ทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับไป จิต ดวงต่อไปก็เกิดขึ้น   และเริ่มเป็นปัจจัยให้เกิดรูป    นอกจากนั้น อาหาร ก็ทำให้รูปเกิดด้วย ร่างกายจึงเจริญเติบโตได้    ดังนั้นจะเห็นว่า   นอกจากกรรมแล้วก็มีปัจจัยอื่นๆอีกที่ทำให้รูปเกิด   คือ  จิต  อุตุ  และ อาหาร
กรรมเป็นปัจจัยให้รูปเกิดไม่เฉพาะในขณะปฏิสนธิเท่านั้นแต่ตลอดชีวิตทีเดียว   กรรมไม่แต่จะเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ดีบ้าง   ไม่ดีบ้างทางทวารต่างๆเท่านั้น   แต่ยังเป็นปัจจัยให้เกิดรูปซึ่งทำกิจเป็นทวารรับอารมณ์ต่างๆตลอดชีวิต   มีใครสร้างจักขุปสาทของตนเองได้บ้างไหม?    อุตุก็ทำให้จักขุปสาทเกิดไม่ได้   กรรมเท่านั้นที่ทำได้   การเปลี่ยนดวงตาใหม่จะไม่เป็นผลเลยถ้ากรรมไม่ทำให้จักขุปสาทของผู้รับดวงตาเกิดขึ้น
ครรภ์มารดาก็มิใช่เป็นที่เกิดที่เดียวเท่านั้น   จากคำสอนของพระผู้มีพระภาค   เรารู้ว่าการเกิดมี 4 อย่าง คือ   เกิดในครรภ์ 1   เกิดในไข่ 1    เกิดในที่ชื้น 1 และเกิดเป็นโอปปาติกะ 1
บางคนอยากรู้ว่าชีวิตในครรภ์มารดานั้นเริ่มต้น เมื่อใด    ชีวิตเริ่มต้นขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับ
กัมมชรูป   ชีวิตสิ้นสุดลงเมื่อจิตดวงสุดท้าย (จุติจิต) ดับ    ตราบใดที่จุติจิตยังไม่ดับ   ชีวิตก็ยังดำรงอยู่   ไม่มีใครรู้ขณะที่จุติจิตของผู้อื่นเกิดขึ้นและดับไป   นอกจากผู้ที่ได้เจโตปริยญาณ    พระผู้มีพระภาคและผู้ที่ได้เจโตปริยญาณสามารถรู้ขณะจุติของผู้อื่นได้
เราอาจสงสัยว่ากรรมใดในชีวิตของเราจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดชาติหน้า    บางคนเชื่อว่าชาตินี้ทำกุศลมากๆชาติหน้าก็ต้องเกิดดีแน่   แต่กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมในชาตินี้    ในอดีตชาติ   เราก็ได้ทำอกุศลกรรมและกุศลกรรมมาแล้วเช่นเดียวกับในชาตินี้ซึ่งเป็นกรรมหนักเบาต่างๆ    กรรมบางอย่างก็ให้ผลในชาติที่ทำกรรมนั้น กรรมบางอย่างก็ให้ผลโดยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในชาติหน้าหรือในชาติต่อๆไป   เราได้ทำกรรมต่างๆในอดีตชาติซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดอีก   แต่กรรมเหล่านั้นยังไม่สุกงอมที่จะให้ผล   เราไม่รู้ว่ากรรมใดจะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติหน้า
ถ้าอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ (ปฏิสนธิ) เกิด  ชาติหน้าก็เป็นทุคติ   ซึ่งจิตที่จะเกิดก่อนจุติจิตเป็นอกุศลจิตที่มีอนิฏฐารมณ์โดยกรรมเป็นปัจจัย    ปฏิสนธิจิตของชาติหน้าซึ่งเกิดต่อจากจุติจิตนั้นมีอนิฏฐารมณ์เดียวกับอกุศลจิตก่อนจุติจิต   ถ้ากุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิด   ชาติหน้าเป็นสุคติ   ซึ่งกุศลจิตจะเกิดก่อนจุติจิตและมีอิฏฐารมณ์โดยกรรมเป็นปัจจัย    ปฏิสนธิจิตของชาติหน้ามีอิฏฐารมณ์เดียวกับกุศลจิตก่อนจุติ
บางคนอยากรู้ว่า   เขาจะทำให้ชาติหน้าเป็นสุคติโดยบังคับจิตที่เกิดก่อนจุติจิตให้เป็นกุศลได้ไหม   บางคนก็นิมนต์พระมาสวดเพื่อให้ผู้ที่กำลังจะตายเกิดกุศลจิต    อย่างไรก็ตาม   ไม่มีใครรู้แน่ว่าผู้นั้นจะเกิดในสุคติ   นอกเสียจากว่าผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว    ไม่มีใครบังคับจิตได้ เราบังคับความคิดของเราขณะนี้ได้ไหม   เมื่อบังคับไม่ได้   เราจะบังคับความคิดก่อนตายได้อย่างไร   ไม่มีตัวตนที่ตัดสินให้ชาติหน้าเกิดที่ไหนได้   แม้ว่าจะได้ทำกรรมดีมามาก   ก็อาจมีอกุศลกรรมในชาติก่อนๆเป็นปัจจัยให้เกิดในทุคติภูมิในชาติต่อไปได้   เมื่ออกุศลจิตหรือกุศลจิตขณะสุดท้ายดับไปแล้ว   จุติจิตก็เกิดแล้วดับไป    แล้วปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปก็เกิดสืบต่อเริ่มเป็นชาติใหม่ทันที   ตราบใดที่ยังมีกรรม   ตราบนั้นก็ยังมีชาติต่อๆไปอีก
เพราะเหตุที่ปฏิสนธิจิตทำกิจเกิดขึ้นเป็นขณะแรกในภพใหม่   ชาติหนึ่งๆจึงมีปฏิสนธิจิตเพียงดวงเดียวเท่านั้น   ไม่มีตัวตนที่ย้ายจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง   มีแต่นามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   ชาตินี้ต่างจากชาติก่อน   แต่สืบเนื่องกันโดยชาติก่อนเป็นปัจจัยให้ชาตินี้เกิดขึ้น    เพราะเหตุที่ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน อุปนิสัยที่สะสมมาในชาติก่อนๆจึงสืบต่อในปฏิสนธิจิต   ฉะนั้น   อุปนิสัยความโน้มเอียงต่างๆในชาตินี้จึงมีชาติก่อนๆเป็นปัจจัย
เราอาจจะดีใจที่ได้เกิดมาถ้าไม่รู้ว่าการเกิดเป็นผลของกรรม   ทั้งยังจะต้องเกิดต้องตายอีกตราบเท่าที่ยังมีกรรม   การไม่เห็นภัยของการเกิดนั้นเป็นอวิชชา ขณะนี้เราอยู่ในโลกมนุษย์   แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง   ก็ไม่แน่ว่าเราจะไม่เกิดในทุคติภูมิในชาติต่อๆไป   เราได้ทำทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรมในอดีตอนันตชาติ    ใครจะรู้ได้ว่ากรรมใดจะทำให้เกิดปฏิสนธิจิตในชาติต่อไปแม้ว่าเราจะทำกุศลอยู่เนืองๆ    บางคนคิดว่าการเกิดในสวรรค์นั้นเป็นที่น่าปราถนา   แต่เขาหารู้ไม่ว่าชีวิตในสวรรค์นั้นไม่ยั่งยืน   เมื่อชีวิตในสวรรค์สิ้นสุดลง   อกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วนั้นอาจเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดในทุคติภูมิได้
ในมัชฌิมนิกาย  อุปริปัณณาสก์   สุญญตวรรค
พาลบัณฑิตสูตร   ข้อความมีว่า   สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ   ณ  พระวิหารเชตวัน   อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี    พระองค์ตรัสกะพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายถึงความทุกข์ทรมานในนรก   ความทุกข์ในเดรัจฉานภูมิว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เรากล่าวเรื่องกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน   แม้โดยเอนกปริยายแล   เพียงเท่านี้   จะกล่าวให้ถึงกระทั่งกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานเป็นทุกข์   ไม่ใช่ทำได้โดยง่ายๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปในมหาสมุทร   ทุ่นนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก     ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวันออก   ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้   ถูกลมใต้พัดไปทางทิศเหนือ    มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น   ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุดขึ้นครั้งหนึ่ง    ดูกรภิกษุทั้งหลาย   พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน    เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ"
"ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย   พระพุทธเจ้าข้า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ถ้าจะเป็นไปได้บ้างในบางครั้งบางคราว   ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอนฯ"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ยังจะเร็วกว่า   เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตคราวหนึ่งแล้วจะพึงได้   ยังยากกว่านี้   นั่นเพราะเหตุไร   ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เพราะในตัวคนพาลนี้ไม่มีความประพฤติธรรม   ความประพฤติสงบ  การทำกุศล   การทำบุญ  มีแต่การกินกันเอง   การเบียดเบียนคนอ่อนแอฯ    ดูกรภิกษุทั้งหลาย   คนพาลนั้นนั่นแล   ถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราวไม่ว่ากาลไหนๆ   โดยล่วงระยะกาลนาน   ก็ย่อมเกิดในสกุลตํ่า  คือ   สกุลคนจัณฑาล หรือสกุลพรานล่าเนื้อ   หรือสกุลคนจักสาน   หรือสกุลช่างรถ   หรือสกุลคนเทขยะ   เห็นปานนั้นในบั้นปลาย   อันเป็นสกุลคนจน   มีข้าวนํ้าและโภชนาหารน้อย   มีชีวิตเป็นไปลำบาก   ซึ่งเป็นสกุลที่จะได้ของกินและเครื่องนุ่งห่มโดยฝืดเคือง   และเขาจะมีผิวพรรณทราม   น่าเกลียดชัง  ร่างม่อต้อ มีโรคมาก  เป็นคนตาบอดบ้าง   เป็นคนง่อยบ้าง   เป็นคนกระจอกบ้าง   เป็นคนเปลี้ยบ้าง   ไม่ได้ข้าว  นํ้า  ผ้า  ยาน   ดอกไม้  ของหอม   เครื่องลูบไล้  ที่นอน
ที่อยู่อาศัย   และเครื่องตามประทีป   เขาจะประพฤติกายทุจริต   วจีทุจริต  มโนทุจริต   ครั้นแล้วเมื่อตายไป   จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ   วินิบาต  นรกฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   นี้ภูมิของคนพาลครบถ้วนบริบูรณ์"
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของการเกิดโดยนานาประการ    พระองค์ตรัสว่า   การเกิดเป็นทุกข์ซึ่งติดตามด้วย   ชรา  พยาธิ  และมรณะ    พระองค์ทรงแสดงความปฏิกูลของร่างกาย   และทรงเตือนว่า   ขณะนี้เองร่างกายก็เป็นทุกข์   ไม่เที่ยง  และไม่ใช่ตัวตน   ถ้าเรายังคงยึดถือจิตและร่างกายว่า   เป็นตัวตน    สังสารวัฏฏ์ของการเกิดการตายก็ไม่มีวันสิ้นสุด
ในสังยุตตนิกาย  นิทานวรรค   อนมตัคคสังยุตต์  ปฐมวรรคที่ 1  ปุคคลสูตร   มีข้อความว่า   สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ   เขตพระนครราชคฤห์   พระองค์ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปป์หนึ่ง   พึงมีโครงกระดูก  ร่างกระดูก กองกระดูก   ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้    ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้   และกระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้วก็ไม่พึงหมดไป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร   เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้   ฯลฯ   พอเพื่อจะหลุดพ้น   ดังนี้ฯ"
พระผู้มีพระภาค  ผู้สุคตศาสดา   ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว   จึงตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
"เราผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่   ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า
กระดูกของบุคคลหนึ่งที่สะสมไว้กัปป์หนึ่ง
พึงเป็นกองเท่าภูเขา   ก็ภูเขาที่เรากล่าวนั้น
คือภูเขาใหญ่ชื่อเวปุลละ   อยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ
ใกล้เมืองราชคฤห์   อันมีภูเขาล้อมรอบ
เมื่อใดบุคคลเห็นอริยสัจจ์   คือทุกข์
เหตุเกิดแห่งทุกข์   ความล่วงพ้นทุกข์
และอริยมรรคมีองค์ 8   อันยังสัตว์
ให้ถึงความสงบทุกข์ด้วยปัญญาอันชอบ
เมื่อนั้นเขาท่องเที่ยว 7 ครั้งเป็นอย่างมาก
ก็เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้
เพราะสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง   ดังนี้แลฯ"
เป็นบุญแล้วที่เกิดเป็นมนุษย์   เพราะเราจะเจริญอบรมปัญญาได้   เมื่อบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นแรก (ขั้นโสดาบัน)   ประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ 4 แล้ว   จะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ   และจะรู้แน่ว่าในที่สุดก็จะพ้นจากการเกิด

9/17/10

นิพพานนอกวัด(ตอน2)

ที่มาหนังสือ: นิพพานนอกวัด/ผู้แต่ง:พระอาจารย์วิเชียร วชิรปัญโญ
Tyrol,_Austria_-_Misty_Mountain_Village ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
              หากเรามีสติกำหนดรู้ทุกขณะแห่งความคิดหรือจิตเรา และมี
สติสัมปชัญญะรู้ตัวเองตื่นตัวเองอยู่เสมอ เรานั้นย่อมรู้เท่าทันอย่างไม่
ต้องอาศัย ปัจจัยมาจากภายนอกเพียงเราตื่นตัวรู้เองอยู่ตลอด นั้นแหละ
คือการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้แล้วว่าเราเกิดอารมณื
ทั้งดีและไม่ดีขึ้นมา เรากล้าที่จะปล่อยวางกับอารมณ์เหล่านั้นขนาดไหน
เพราะบางคนก็รู้ทั้งรู้ว่าอารมณ์ไม่ดี อารมณ์กำลังขุ่นมัว ก็อดไม่ได้ทนไม่ไหว
ก็เกิดการทะเลาะโต้เถียงกันไป
     เมื่อเรารู้แล้วว่า อารมณ์นั้นไม่ดีทั้ง 2ฝ่าย เราก็ควรเพียงรู้และเห็นโทษ
ของอารมณ์ทั้งคู่ ว่าเป็นอย่างไรเมื่อเราไหลไปตามอารมณ์นั้น สุดท้าย
เราเองก็ต้องทุกข์เมื่อเรารู้แล้วว่า หากเราปล่อยจิตให้ตามอารมณ์นั้นไป
ผลสุดท้ายที่เราจะได้รับก็คือความทุกข์ อารมณ์ดีเกิดขึ้น ก็อยากให้อารมณ์
นั้นอยู่กับเรานาน ๆ พยายามรักษาอารมณ์แห่งความสุขและพอใจนั้นให้อยู่
กับตนเองให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่สุดท้ายก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป
จากอารมณ์ดี เปลี่ยนมาเป็นอารมณ์ไม่ดี เพราะต้องหลุดจากจิตที่มีอารมณ์ดี
ครอบงำ มาเป็นจิตที่อารมณ์ไม่ดีมาครอบงำไว้แทน
     การนั่งสมาธิก็เป็นเพียงการฝึกให้เรามีสติเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะฝึกให้เรา
เราเจริญด้วยปัญญาได้ อย่างที่กล่าวไว้ว่า ก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี รู้ตื่นตัวอยู่เสมอว่า
สิ่งนั้นมันไม่ดี แต่ก็อยากจะทำในสิ่งนั้น ก็เลยกระทำสิ่งนั้นลงไป เพราะขาดปัญญา
มาคอยยับยั้งหาเหตุและผล ให้เราละและวางอารมณ์นั้นให้ได้ ดังนั้นคราวใดที่ใจ
เราถูกกระทบจากสภาพอารมณ์ภายนอก หน้าที่ของเราก็คือตามดูตามรู้ กำหนด
รู้ให้เห็นว่าอารมณ์เราเป็นเช่นไร เมื่อเรารู้ว่าเป็นเช่นไรแล้วเราก็วางสิ่งนั้นเสีย
เราก็หลุดพ้นไปได้โดยอัตโนมัติ
     จึงได้เห็นว่า ถึงแม้เราจะไม่มีเวลามานั่งสมาธิเดินจงกรม หรือเข้าวัดฟังเทศน์ก็
ตาม แต่เราก็สามารถที่จะสร้างพระนิพพานให้เกิดกับตัวเราได้ โดยที่ไม่ต้องมีรูป
แบบที่ลำบากอย่างนั้น ขอเพียงให้เรามีจิตที่รู้ว่าในขณะที่กายเราถูกกระทบ
แล้วจิตรู้สึกเช่นไร แล้วก็นำปัญญามาแก้ไขและวางอารมณ์นั้นให้ได้เร็วที่สุด
ไม่ว่าอารมณ์ดีหรือไม่ก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วต้องวางอารมณ์ให้เขาอยู่ในส่วนของเขาไป
ไม่ต้องนำอารมณ์นั้นมาเข้าฝังในจิตของเรา ปล่อยจิตของเราให้อยู่อย่างเอกเทศ
โดยมีความนิ่งและว่างอย่างเดียว อารมณ์ความสุขเกิดขึ้นรู้อยู่แต่ไม่ไปตาม
อารมณ์ทุกข์เกิดขึ้นรู้อยู่แล้วก็หาวิธีแก้ไขคลายความทุกนั้นให้ได้ไป แล้วก็วาง
ให้เขาอยู่อย่างอิสระ
     การกระทำเช่นนี้ กล่าวแล้วรู้สึกว่าง่าย แต่เวลาลงมือทำรู้สึกว่ายากการที่จะปล่อย
และละอารมณ์ในแต่ละอย่างไม่ใช่ของง่าย อารมณ์แห่งความทุกข์ก็พอหาทางออก
ให้ได้ แต่อารมณ์แห่งความสุข ที่ไม่ต้องให้เก็บไว้นี้น่าจะวางยากอยู่ไม่น้อย แต่ให้
เราทั้งหลายพึงรู้ได้เลยว่า ตราบใดที่จิตของเรายังมีความรู้สึกว่ามีความสุขในอารมณ์
อยู่ แล้วต้อไปเราก็ต้องมีทุกข์ในอารมณ์เช่นเดียวกัน เรียกว่า สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็
อยู่ที่นั้นตามกันมาเหมือนกับเงาตามตัว เหมือนกับหน้ามือและหลังมือ ก็มาจากมือ
ข้างเดียวนี้เอง หากเราคว่ำมือหลังมือก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเราหงายมือขึ้น ฝ่ามือก็ปรากฏ
อยู่อย่างนั้น ทำให้เราเห็นว่าเราควรที่จะวางใจของเราให้พ้นไปเสียจากสิ่งทั้งสองนี้
1192388720 จบแล้วค่ะ จริง ๆแล้วหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าอ่านนะคะ
ถ้ามีโอกาสลองไปหาอ่านกันดูค่ะ
ช่วงนี้อาจจะอัพบล็อคช้าไปนิดเนื่องจากอิทธิฤทธิ์เจ้าตัวน้อยในท้อง
ทำให้ไม่ค่อยมีแรงเลย แต่สัญญาจะมาเขียนสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ

9/16/10

WAIT FORคนที่ฉันเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ…แล้วเค้าก็มา


ฉันเฝ้ารอคอยเค้ามานานหนึ่งปีเต็ม ถึงวันนี้หัวใจมันท้อจนคิดว่าคงไม่มีวันนั้น
ฉันทำเป็นลืม ๆ ไปบ้าง ไม่อยากจะนึกถึงอีกแล้ว
แต่จู่ ๆ วันที่รอคอยก็มาถึง ไม่ได้นึกฝัน
หลังจากออกจากห้องน้ำเช้าวันนั้น ผลการตรวจจากตัวtestที่ซื้อมาจากร้านขายยา
หน้าหมู่บ้านผลมันเป็น บวก หรือแปลว่า ฉันตั้งครรถ์แล้ว
ยังงัวเงียอยู่ ตาฝาดหรือเปล่านี่ ก็รอตั้งนานจนไม่คิดว่าจะได้เค้ามา
แต่จู่ ๆเค้าก็มาอยู่ในท้องเรา ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตน้อย ๆอยู่เป็นเพื่อนกันตลอดเวลา
อย่างน้อย ๆ 9 เดือน เราจะอยู่ด้วยกันตลอด24ชม กินด้วยกัน นอนด้วยกัน
อ่านหนังสือด้วยกัน แล้วก็ดูทีวีด้วยกันและตอนกลางวันพ่อไปทำงานแม่ก็จะได้
คุยกับหนู บ้านของเราจะไม่เหงาอีกต่อไป
พ่อกับแม่จะรอคอยวันที่จะได้เห็นหน้าหนูนะจ้ะ
uy179
หลังจากที่รอคอยมานานวันนี้แคทก็มีน้องอยู่ในท้องจริง ๆ แล้ว
ดีใจก็เลยอยากบอกใครสักคน

9/13/10

นิพพานนอกวัด (ตอน1)

ที่มาหนังสือ: นิพพานนอกวัด/ผู้แต่ง:พระอาจารย์วิเชียร วชิรปัญโญ
       วันนี้มีหนังสือมาแนะนำอีกเช่นเคย คิดว่าสำหรับผู้ที่ยังทำงาน มีครอบครัวที่
ยังต้องดูแล ก็สามารถรักษาจิตใจหรือบวชใจอยู่ที่บ้านได้ อ่านแล้วเป็นอะไรที่
รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันไม่ได้ยุ่งยาก ต้องเข้าไปนั่งสมาธิหรือสวดมนต์
ที่วัดอย่างเดียวสามารถทำได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้เพราะเราทำมาจากใจ
จะยกตัวอย่างการปฏิบัติอยู่ที่บ้านตามในหนังสือมาให้อ่านกันสักหนึ่งเรื่องค่ะ
 icon_mini1137
ไม่ได้นั่งสมาธิเดินจงกรมแล้วจะไปนิพพานได้หรือไม่
     รูปแบบแห่งการปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่จุดแห่งการหมดจากกรรมนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยรูปแบบมากนัก เพราะในสมัยนี้คนเราก็จะยึดติด
ยึดถือกับรูปแบบของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดิน
จงกรม อยู่เป็นกิจประจำทุกวัน เรียกว่าทำเป็นกิจของตน บางคนก็ทำ
ตามหน้าที่ บางคนทำเพราะถูกบังคับ เช่นกลัวว่าหากไม่สวดมนต์แล้ว
เดี๋ยวบารมีจะไม่เต็ม ไม่นั่งสมาธิแล้วจิตจะไม่สงบ นี้คือรูปแบบที่เราได้
เห็นกันชัดเจน และเป็นตัวแบ่งให้ผู้ที่ปฏิบัติตามที่กิจวางไว้สมบูรณ์มีใจ
ที่มุ่งหวังได้
     แต่สำหรับท่านที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์ได้ ก็จะมา
กล่าวโทษตนเองและกดตนเองให้ต่ำลง บางท่านก็อ้างว่าไม่มีเวลา
ที่จะสวดมนต์ ไม่มีเวลาที่จะนั่งสมาธิ ไม่มีเวลาเดินจงกรม เราก็คง
ไปสู่นิพพานไม่ได้ กำลังใจก็พลอยหมดถดถอยลงไป ก็ไปกล่าวโทษว่า
เราคงไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ปฏิบัติ เรามีกรรมมากก็เลยทำความดีได้
ลำบาก บางท่านมีสามีภรรยา สามีบางท่านชอบการปฏิบัติสวดมนต์
ไหว้พระ แต่ภรรยาไม่ชอบการปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระ
     ก็เลยรู้สึกว่าจะมีการขัดกันในความรู้สึกของผู้ที่จะปฏิบัติ เช่นบางวัน
สามีเอาแต่สวดมนต์ ภรรยาก็เอาแต่ดูละคร ไม่สนใจในการปฏิบัติ
หรือบางท่านอาจจะหนักถึงขนาดทำประชดประชันกัน บางท่านก็ว่า
ถ้าชอบปฏิบัติธรรมนัก ก็ไปบวชเสียเถอะ หรือภรรยาบางท่านสามีก็จะ
พูดในเชิงประชดประชันว่า แล้วเมื่อไหร่แม่ชีจะไปวัด เรียกว่ามีการ
ขัดขวางในการทำความดี บางท่านก็เลยท้อใจว่าตนเองก็หมั่นทำความ
ดีและปฏิบัติตามระเบียบแล้ว แต่ทำไมคนใกล้ตัวถึงกลับมีอคติกับเราด้วย
     บางท่านก็เลยเลิกการปฏิบัติ เพราะไม่สามารถที่จะปรับสภาพเข้ากับ
สถานะความเป็นอยู่ปัจจุบัน ดังที่เราจะได้ยินผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
กล่าวว่า โลกกับธรรมนั้น ไม่สามารถที่จะไปด้วยกันได้ เราต้องเลือก
อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเราจะไปสู่ธรรม เราต้องละความเป็นโลก เรา
ถึงจะไปในทางธรรมได้ ต้องละจากการเป็นอยู่อย่างโลก ต้องเลิก
การพบปะสังสรรค์ ต้องเลิกการมีครอบครัว ต้องเลิกการดำเนินกิจการ
ฝ่ายของโลกให้หมด เรียกว่าต้องกำจัดบ่วงทางโลกให้หมดเสียก่อน
ต้องสละสิ่งนั่นสิ่งนี้ให้ตนเองเป็นผู้ไม่มีภาระทางโลกแล้ว เราก็จะไป
สู่นิพพานได้ง่าย
     ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมมีมาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสมัยปัจจุบัน
นี้ก็ตาม เพราะว่าคนเราทั้งหลายไปติดในรูปแบบแห่งกายมากเกินไป
จะทำอะไรก็กลัวศีลจะขาด กลัวจะเป็นบาป กลัวจะไปนิพพานไม่ได้
หากศีลเราไม่ครบ บางคนก็เลยไม่กล้าที่จะเดินตามทางมรรคผลนิพพาน
ได้ เพราะไม่สามารถที่จะรักษาศีลให้ครบอยู่ได้ เมื่อศีลไม่ครบไม่บริสุทธิ์
การไปนิพพานนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน นี้คือความหลงผิดและเข้าในฝ่าย
ที่เป็นความเข้าใจตามตำราและการว่ากล่าวสืบทอดต่อๆกันมา
     การเข้าใจที่ถูกต้องตามแบบแห่งการเข้าถึงซึ่งหนทางแห่งอริยชน
นั้นดังที่กล่าวมาแล้วว่าต้องสละและละกิเลสเครื่องมัวเมาทั้ง 3 ข้อให้ได้
ซึ่งในคุณธรรม 3 ข้อนั่น ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราจะต้องรักษาศีลของเรา
ให้สมบูรณ์บริสุทธิ์ หรือท่านก็ไม่บอกว่าเราต้องนั่งสมาธิทุกวัน เราต้อง
สวดมนต์ทุกวันหรือเราต้องเดินจงกรมให้ครบเป็นประจำทุกวัน เรียกว่า
ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราต้องประกอบกิจเหล่านี้ให้ครบสมบูรณ์ถึงจะไปสู่
นิพพานได้
     หรือท่านก็ไม่ได้กล่าวว่า หากเธอจะไปสู่อริยชน เบื้องต้นนั้น เธอ
ต้องบวชเป็นพระสงฆ์เป็นภิกษุณี หรือจะต้องมาอยู่วัดถึงจะได้ไป ในการ
ละกิเลสทั้ง 3 ข้อนั้น ท่านกล่าวเพียงให้เราทั้งหลาย ฝึกลดละความยึดติด
ยึดถือในเรื่องของสภาวะจิตเท่านั้น เช่นการไม่ยึดติดในกายของตน
ไม่ลังเลสงสัยในความเป็นอริยชน และไม่ยึดติดในความดีที่เราได้กระทำ
ซึ่งในคุณธรรมทั้ง 3 ข้อจะเห็นได้ชัดว่าท่านเน้นให้เราปฏิบัติที่จิต
ของเรา ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใดก็ตาม ให้เรามีสติและปัญญาตามดู
ตามรู้ความเป็นไปแห่งอารมณ์ของตนเอง
     คนเรานั้นหากสามารถที่จะยับยั้งอารมณ์ของตนได้ กายวาจาก็ไม่มี
ความสำคัญแต่อย่างใด เพราะเหตุว่าเราได้ไปดับต้นก่อให้เกิดกิเลส
ได้แล้ว เมื่อจิตเราหยุดกิเลสและทำลายความยึดติดในใจของเราแล้ว
การปฏิบัติทางกายก็ถือว่าเป็นเรื่องรองลงไป บางท่านเอาแต่นั่งสมาธิ
จิตก็แน่แน่วในอารมณ์แห่งความสงบในขณะที่นั่งสมาธิ มีความสงบ
เยือกเย็น สบายและมีความสุขมาก ๆ แต่พอออกจากนั่งสมาธิแล้วก็กลับ
มาสู่สภาวะเดิม ๆ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นคนขี้โมโห ก็ยังคงโมโหเหมือนเดิม
     การปฏิบัติเช่นนี้ ถือว่าเป็นเหมือนเอาหินไปทับหญ้าเอาไว้ พอเรายก
หินออกมา เดี๋ยวหญ้าก็กลับมางอกงามเหมือนเดิม พอเวลามีความโกรธ
ความเห็นยึดถือในตัวตนว่าเป็นของเรา ก็จะมานั่งหลับตากำหนดสมาธิ
ถึงจะระงับอารมณ์ได้ คิดดูเถิดหากว่าเราจะเอาแต่นั่งสมาธิเพื่อระงับ
อารมณ์ของตน แล้วจะทันต่อเหตุการ์ณหรือไม่ จึงเห็นได้ว่า การนั่งสมาธิ
ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติแต่ไม่ใช่แนวทางทั้งหมด แนวทางที่จริง
ก็คือรู้ทันจิตของตนเอง ให้เรารู้เท่าทันจิตตนเอง แล้วเราจะควบคุมใจของ
เราได้ เมื่อเราคุมใจเราได้ ร่างกายและวาจาก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักสำคัญอีกต่อไป
     เหมือนกับเราหิวข้าว อยากรับประทานอาหาร หากเราคิดและมั่นหมาย
เข้าใจแต่ว่าที่ ๆ เราจะรับประทานอาหารได้ ก็คือที่โรงครัวของบ้านเราเท่านั้น
ที่อื่นรับประทานไม่ได้ มันไม่ถูกที่ ประเภทอย่างนี้เราก็คงจะหิวข้าวตายก่อนที่
เราจะกลับมาถึงโรงครัวของบ้าน อาหารอยู่ริมทางมากมาย ส่วนอาหารก็มี
เยอะแยะ เวลาเราหิวแล้วเราก็เลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารสั่งอาหารมา
รับประทาน เราก็คลายจากทุกข์เวทนา คือคลายจากความทุกข์ที่เป็นความหิว
เราก็รู้สึกอิ่มและมีกำลังวังชาในการที่จะประกอบการงานต่อไปได้
     แต่หากว่าเราคิดและเจาะจงแต่ว่า เราจะปฏิบัติธรรมได้เราต้องนั่งสมาธิ
สมาทานศีล นุ่งขาวห่มขาวเท่านั้นจึงจะปฏิบัติธรรมได้ ถึงจะไปนิพพานได้
คิดดูเถิดว่เราจะทันต่อกิเลสที่มันเกิดขึ้นมาหรือไม่ จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่
เราต้องมาปฏิบัติที่ใจของตน เมื่อมีสิ่งใดมากระทบกับจิตใจของเรา เราเองต้อง
รู้ให้ทันกับอารมณ์ของตนเอง และให้ละอารมณ์เหล่านั้นออกไป อารมณ์ทั้ง
ที่ดีและไม่ดี เขาย่อมวางไว้ในส่วนของเขานั่นเอง โดยที่จิตไม่ไปยึดเอา
     เรียกว่า เมื่อกิเลสหรืออารมณ์เกิดขึ้นคราวใดนั้นแหละคือหน้าที่ของผู้
ปฏิบัติ จะต้องดำเนินการเฝ้าดูอารมณ์ คราวนี้อารมณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้
โดยไม่เลือกสถานที่วันเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะไปตามให้ทันอารมณ์นั้น ๆ
เมื่อเขามาแบบไม่มีเวลาและสถานที่ เราเองก็ต้องเตรียมพร้อมโดยไม่เกี่ยง
สถานที่ วันเวลา เรียกว่าเกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น ยึดตรงไหนก็วางตรงนั้น
โดยไม่ต้องรอให้เราเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ต้องรอให้เรานั่งสมาธิกำหนดเสีย
ก่อน หากเรามัวแต่เตรียมตัวแต่งตัวนานเกินไป กิเลสอารมณ์ย่อมกินเราไป
เรียบร้อยแล้ว
uy179 ยังไม่จบนะคะแล้วเรามาต่อกันตอนที่2 ในคราวหน้าจ้ะ

9/10/10

campaign รณรงค์ต่อต้านการฆ่าตัวตาย

ทุกชีวิตที่เกิดมามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า  ทุกข์ทางกาย   คือการเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย
ทุกข์ทางจิต   สาเหตุเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น   ความอยาก   ความโลภ   ความโกรธ   ความหลง   การดับทุกข์ที่แท้จริง  ต้องดับทุกข์ทางจิต  ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  กันเถอะค่ะ  ชีวิตของเรา ( จิต )  จึงจะพบความสงบสุขที่แท้จริง
 

♣ ฆ่าตัวตาย ♣ 

9/9/10

ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ

ที่มาของบทความ: ธรรมะใกล้ตัว
หมอพีร์
มกราคม ๒๕๕๐

ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ
วันนี้มีลูกค้าเก่าโทรมานัด บอกว่าจะพาคุณยายมาดูดวง
พอถึงเวลาที่นัดไว้ซึ่งเป็นคิวแรกพอดี ก็เดินเข้ามาในห้อง
ดูหน้าตาแล้ว ไม่เหมือนเป็นคุณยายอย่างที่บอกไว้
เหมือนเป็นคุณแม่มากกว่าคุณยายอีก หน้าตายังดูไม่แก่ ผิวพรรณก็ยังไม่เหี่ยวมาก
สวัสดีทักทายเสร็จก็เชิญนั่ง ถาม วันที่ เดือน พ.ศ. ที่เกิด
พอได้เห็น พ.ศ. เกิด และคำนวณออกมา ต้องเรียกว่าคุณยายจริง ๆ
เพราะปีนี้อายุแปดสิบแล้ว ซึ่งก็ถือว่าอายุยืนมากสำหรับคนสมัยนี้
โดยปรกติลูกค้าที่มาดูดวงส่วนใหญ่ อายุไม่ค่อยจะเกินหกสิบเท่าไหร่
ถ้าวันไหนที่มีลูกค้าอายุขึ้นเลขแปดมาดู จะทำให้ฉันได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ
มาช่วยลูกค้าที่ยังอายุน้อย ๆ ว่าจะทำอย่างไร จึงจะผ่านดวงเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ได้
โดยดวงคุณยายบอกอยู่แล้วว่า เป็นคนชอบทำบุญทำทาน
จึงทำให้ดวงเรื่องการเงินหายนะไม่เป็นไปตามดวง
และส่วนใหญ่คุณยายมักจะเก็บเงินเป็นทรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน
ไม่ค่อยได้เก็บเป็นเงินสดไว้
ซึ่งตอนต้นชีวิต คุณยายก็ไม่ได้เก็บเงินเป็นอสังหาริมทรัพย์
แต่เพราะเป็นคนใจอ่อน อดใจที่จะให้คนยืมเงินไม่ได้ และพอให้เงินคนอื่นยืม
ก็มักจะไม่เคยได้คืนสักครั้งเลย เลยตัดสินใจเก็บเป็นทรัพย์สินไว้
มนุษย์เราพอกรรมเล่นงานเรื่อย ๆ กรรมเบาลง ก็ทำให้เกิดปัญญาคิดได้
เช่น คุณยายโดนโกงไปหลายครั้ง จนกรรมเบาลง
พอถึงเวลาที่คิวของบุญให้ผล ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ว่า
ต้องเก็บเงินไว้ในรูปแบบอื่น
บวกผลของบุญที่ได้ทำตลอด ก็จะทำให้หาเงินสดมาผ่อนที่ดินได้หมด
การที่จะมีฐานะที่มั่นคงไม่เดือดร้อนทางด้านการเงินนั้น
ไม่ได้เกิดจากผลแห่งบุญแต่เพียงอย่างเดียว
ต้องอยู่ที่ความขยันที่จะทำให้ทรัพย์สินเพิ่ม
ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินรายได้ของตัวเอง ไม่ยุ่งกับการพนันทุกชนิด
ไม่ติดสุรา ไม่คบเพื่อนที่เที่ยวมากเกินไป
วันนี้คุณยายมาดูเรื่องของการขายที่ดิน ว่าจะขายได้ไหม
ซึ่งคุณยายคิดที่จะขายที่ดิน เพราะอยากจะได้เงินสดมาเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนอยากจะเก็บไว้ทำบุญตามที่อยากจะทำ
ดวงคุณยายมีดวงขายที่ดิน จึงบอกว่ามีเกณฑ์ขายได้
ส่วนเรื่องสุขภาพ ตามดวงตัวเลขในตำราหมอดู จะมีเกณฑ์อายุสั้น
แต่คุณยายเหนือดวงด้วยการทำกรรมดีมาตลอด
จึงทำให้ดวงไม่เดินตามดวงตัวเลข
คุณยายมักจะได้ทำบุญ กับผู้ป่วยโรงพยาบาลอยู่เสมอ
ปล่อยสัตว์อยู่เรื่อย ๆ และยังได้ทำบุญด้านอื่นที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย
ความเจ็บป่วยของมนุษย์ ตามกำลังที่จะทำได้
บวกกับการที่ คุณยายโชคดีมีบุญเก่าหนุน
ทำให้เกิดในครอบครัวที่สอนให้รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์เพิ่ม
ทำบุญสร้างกุศล และภาวนา
ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยพลอยทำให้ดูเป็นคนแก่ที่ไม่ขี้บ่น ไม่แก่เร็ว
กรรมที่จะหนัก ก็เลยกลายเป็นเบา หรือเวลาที่โดนกรรมเล่นงาน ก็หนีได้ทัน
แถมยังเป็นคนไม่ค่อยคิดมาก ไม่หลงไม่ลืมอะไรง่าย
ภาษาอังกฤษที่เคยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมา ยังพูดได้ดีอยู่เลย
ด้วยเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลที่คุณยายได้ทำไป
จึงทำให้คุณยายเป็นคนอายุยืนเหนือดวง ไม่มีราหูที่จะครอบดวงได้
ไม่จนไม่ตกอับเรื่องของการเงิน เพราะผลแห่งทานที่ได้ทำมาตลอด
ไม่เป็นคนแก่ที่หลงขี้ลืมอะไรง่าย มีความจำดี
มีเหตุและผลไม่ขี้บ่นจนทำให้ลูกหลานเบื่อหน่าย
เพราะปฏิบัติภาวนา ขัดเกลากิเลส แถมยังฉลาดทันโลกอีกด้วย
แต่ในใจลึก ๆ เหมือนยังมีห่วงอยู่ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นทุกข์มาก
ก็คิดว่าคงห่วงลูกห่วงหลาน ก็ได้ถามว่าคุณยายมีอะไรสงสัยถามได้นะคะ
คุณยายก็ถามว่าแล้วคุณแม่และคุณน้า จะอยู่ได้อีกนานไหมคะ
ฉันตกใจกับคำถามเล็กน้อย คิดในใจว่าคุณยายอายุแปดสิบแล้ว
คุณแม่และคุณน้า ของคุณยายจะอายุเท่าไหร่กัน
คุณยายให้ดวงมาคำนวณ คุณแม่อายุ ๑๐๒ ปี คุณน้าอายุ ๘๖ ปี
ปฏิทินร้อยปีเปิดง่ายมาก อยู่ตอนต้นเล่มพอดี
ตั้งแต่ดูดวงมานี่เป็นครั้งแรก ที่มีโอกาสได้ดูดวงคนอายุเป็นร้อย
ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกมากเหมือนกัน ที่ดวงทั้งสามคน
คุณยาย คุณแม่ คุณน้ามีดวงอายุสั้น แต่ไม่เห็นมีใครสั้นซักคนเลย
ทุกคนอายุเกินมาตรฐาน ๗๕ ปีหมดเลย
ก็เตือนไปว่าใครต้องระวังอะไร ตอนอายุเท่าไหร่
บอกกับคุณยายว่า บ้านคุณยายเหนือดวงกันทั้งบ้าน
ทั้ง ๆ ที่ดวงอายุสั้น แต่ไม่สั้นกันทั้งบ้าน
เป็นเพราะผลของกรรมดีที่ทำกันทั้งบ้าน ทำให้อายุยืน
คุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เคยเป็นมะเร็ง ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
คุณหมอที่รักษาให้ตอนนี้เกษียณกันหมดแล้ว หมอตายก่อนคุณยายก็มี
จนตอนนี้คุณแม่ของคุณยายอายุ ๑๐๒ ปีแล้ว มะเร็งหายแล้ว
และได้เล่าอีกว่าคุณแม่ชอบทำบุญมาก
ตอนสมัยที่มีสงครามโลก พระที่วัดไม่มีข้าวจะฉัน
คุณแม่เป็นแม่งานใหญ่ทำกับข้าวเลี้ยงพระทั้งวัด
และแจกคนแถวนั้น ตลอดระยะเวลาที่มีสงคราม
คุณแม่คิดจะบวชตลอดชีวิต ก็ได้ไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมแล้ว
แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องออกมาช่วยลูกสาวเลี้ยงหลาน เพราะไม่มีใครช่วยเลี้ยง
คุณน้ายังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วทำงานบ้านได้อยู่เลย
ถึงแม้จะมีโรคร้ายเบียดเบียน ผลแห่งกุศลที่ทำไป ก็จะทำให้เจอหมอที่เก่ง
ไม่สะเพร่า กินยาไม่ดื้อยา ไม่แพ้ยา สามารถรักษาให้หายได้
และที่สำคัญ ผลแห่งการภาวนาทำให้ไม่กลัวตายมากจนจิตใจหดหู่
และเป็นทุกข์เพราะความกลัว “ความตาย”
ความเป็นจริงมนุษย์เราเกิดมาก็ต้องตาย
แต่อยู่ที่ใครจะไปช้าหรือไปเร็วกว่ากันแค่นั้นเอง
หลายคนที่เคยไปดูหมอมักจะโดนทักว่าดวงกำลังจะถึงฆาต
หรือต้องตายอายุเท่านั้นเท่านี้ กำหนดอายุมาให้พร้อมเลย
คนที่จิตอ่อนคิดมากไปดูหมออาจจะอายุสั้น
เพราะคำทำนายของหมอดู ทำให้คิดมากนี่แหละค่ะ
การที่ดวงออกมาเป็นดวงอายุสั้น หรือดวงที่มีเคราะห์นั้น
เกิดจากกรรมเก่าที่เคยฆ่าสัตว์ ทำให้ต้องมาเกิดในฤกษ์เกิดที่มีเคราะห์
และอายุสั้น แต่ถ้าทำกรรมดีใหม่ ๆ ก็จะเป็นตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนดวงได้
หรือว่าใครมีโรคร้ายอยู่เพราะกรรมเก่าเป็นเหตุ
ทำให้มีอายุอยู่ได้อีกไม่นาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้
ลองมาเปลี่ยนเส้นทางออกจาก นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต
ไปสู่เส้นทางที่จะไปสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นมนุษย์ กันดีกว่า
เริ่มจากการสำรวจว่า ได้ทำกรรมหนักอะไรไหมในชีวิตที่ผ่านมา
โดยใช้ศีลห้าเป็นหลักในการตัดสิน
พอพบแล้วว่าได้ทำผิดไป ก็สำนึกผิดในกรรมที่ทำไป
ตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก และไม่ต้องสำนึกผิดบ่อยเกินไป
ถ้าเราสำนึกผิดบ่อยมากเกิน
มันจะเป็นตัวเชื่อมโยงกรรมเก่า ๆ ที่ทำมาเล่นงานตัวเราเร็วขึ้น
ถ้าเคยทำกรรมกับพ่อกับแม่ไว้ ก็ไปกราบขอให้ท่านอโหสิกรรมให้
และก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน ใช้บทสวดสั้น ๆ ก็ได้
เพื่อที่จะได้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เป็นพึ่งทางใจให้อบอุ่น
เพราะไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ในตอนนั้น และก็แผ่เมตตา
เวลาที่โกรธใครก็พยายามให้อภัย
ถ้าช่วงไหนใจมันไม่ยอมให้อภัยง่าย ๆ ก็ค่อยสอนบอกต่อว่า
ไหน ๆ ก็จะไม่อยู่แล้ว ให้อภัยไปเถอะ
เวลาดูข่าว ได้ยินเรื่องสะเทือนใจ ก็แผ่เมตตา
และก็บอกตัวเองว่า “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”
จิตใจจะได้ไม่ทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น
จิตที่เกิดความโกรธ
จะเป็นหนทางไปนรก

และพอร่างกายไม่สบายจิตใจก็จะหดหู่ คิดมาก
พยายามเดินจงกรม ให้มีสติ (ถ้าเดินไหว)
หรือไม่ไหวก็เคาะให้รู้สึกตัว ขยับไม้ขยับมือ
ง่ายสุด ดูลมหายใจตัวเองเพื่อดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันเรื่อย ๆ
จิตใจจะได้มีความสุขกับปัจจุบัน
จิตที่คิดมากฟุ้งซ่าน หดหู่
จะพาให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

พยายามสละทานเล็กน้อยอยู่เรื่อย ๆ
สมบัติอะไรที่รักมากหวงมาก ก็ลองพยายามสละออกให้คนที่เขาไม่มีโอกาส
เพื่อละความตระหนี่ จิตใจจะได้ไม่หวงสมบัติ
จิตที่มีแต่ความโลภ หวงสมบัติ
จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ภพภูมิของเปรต
อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้
อนาคตอยู่ที่ปัจจุบัน
การกระทำในปัจจุบัน เป็นเครื่องกำหนดอนาคตของเรา

9/8/10

INCARNATIONเกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน2)


ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!!
เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา
เพื่อไปส่องสว่างยังคำตอบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั่นเอง
     การดึงความคิดให้รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ความคิดมีพลังจดจ่ออยู่กับ
เป้าหมาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเขียนสิ่งที่ต้องการลงในกระดาษทุก ๆ สิบนาที จดจ้อง
มองสิ่งที่เขียน กลั้นลมหายใจระหว่างจับจ้องข้อความนั้น
     อาจมีคำถามว่า หากเป็นเช่นนั้น มิต้องเขียนทั้งวันหรอกหรือ คำตอบคือ ใช่!!!เพราะ
นีคือการสร้างความคิดที่จดจ่อ
     อย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า สาเหตุที่เราเป็นคนเดิมที่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชา
มิใช่ว่าเราไม่รู้จักเป้าหมาย อีกทั้งไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่ดี แต่เป็นเพราะเราไม่จดจ่อ
อยู่กับเป้าหมาย และเป้าหมายเราไม่ดึงดูดใจมากพอ
     มีคนเก่ง มีการศึกษาดี มีต้นทุนและเครื่องมือที่เพรียบพร้อมมากมายที่ไม่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่รู้จักควบคุมความคิดให้รวมศูนย์ ผลก็คือเขาทำหลาย ๆ
อย่าง คิดหลายอย่าง และสนใจหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน จนสับสนปนเปกันไปหมด
     อย่างเช่นคนที่มีความฝันสวยหรู กำลังมีความสุขกับการทำงานอยู่ดี ๆ ไปพบรักกับ
ผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอ จนเกิดความสุขสีชมพู วัน ๆ เอาแต่โทร
ศัพท์คุยกันวันละหลายชั่วโมง ต้องหาเวลาพาคนรักออกไปเที่ยว ไปรับประทานอาหาร
ดูหนัง ฟังเพลง ผลก็คือ ต้องเสียเวลาและพลังงานไป ไม่เหลืออะไรไว้สำหรับเป้าหมาย
ที่สดใสที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้น นี่คือเป็นเรื่องของการจดจ่อทางความคิด
     เมื่อความคิดของคุณแตกแยกเป็นหลายเรื่อง พลังดึงดูดจากจิตใต้สำนึกก็ซ่าน
กระเซ็น ทำให้สิ่งที่คุณต้องการก็จะมาถึงช้าลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจิตใต้สำนึก
ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆในเวลานั้น
     วิธีการรวมศูนย์ของความคิด ให้เริ่มต้นที่การถามตัวเองด้วย คำถามนี้ซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่ยืน
เดิน นั่งหรือนอน ว่า
“ขณะนี้ฉันกำลังทำสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงอยู่หรือเปล่า”
”ฉันกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหรือเปล่า”
”สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เวลานี้เร่งด่วนกว่าเป้าหมายหลักที่ฉันรักที่สุดหรือเปล่า”
”ฉันรอที่จะทำเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่กัน”
”ฉันกำลังเดินถอยหลังจากเป้าหมายหลักอยู่หรือเปล่า”
     ให้คุณถามคำถามทำนองนี้ซ้ำ ๆ เรื่อย ๆ ด้วยประโยคเดิมขณะนั่งหลับตาคนเดียว
ในสถานที่เงียบ ๆ หรือหากคุณยืนหรือเดิน ก็ให้ถามขณะยืนหรือเดิน ถามซ้ำ ๆ
     ถัดมาให้หาเวลาในแต่ละวัน ๆละ10นาที ถอดจิตตัวเองด้วยวิธีขยายร่างเสมือนจริง
(Doubling body & mind)ด้วยการหลับตามองเห็นตัวตนคนเดิมของคุณที่ล้มเหลว
ผิดหวัง เสียใจ เกียจคร้าน เฉื่อยชา ติดคอมพิวเตอร์ ติดทีวี หรือนิสัยแบบไหนก็ตาม
ที่คุณต้องการขจัดออกไป โดยจินตนาการว่าคุณกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกท่วม
ตรงกลางมองเห็นตัวเองร้อนเหงื่อไหลเปียกโชกทั้งตัว แล้วค่อย ๆ เห็นเปลวไฟลุกโชนขยายขอบเขตใหญ่ขึ้นครอบคลุมร่างคุณผ่านไปสัก 2-3 นาที ให้จินตนาการมองเห็นตัวเองมีร่างกายสีทองสดใส ลุกขึ้นจากกองเพลิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ดวงตาเป็นประกายมั่นใจ ทรงพลัง แล้วเห็นตัวเองมีรูปร่างขยายใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็มองเห็นเปลวเพลิงค่อย ๆมอดดับลงช้าๆ สวนทางกับร่างกายของคุณที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเห็นสีผิวตัวเองจากสีทองเปล่งประกายค่อย ๆเปลี่ยนสภาพเป็นสีเนื้อตามปกติแต่มีประกายสดใสมีชีวิตชีวา มองเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสดใหม่ มั่นใจเหลือล้นอยู่เช่นเดิม ให้ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบสิบนาที แล้วบอกตัวเองว่า
“อา…ในที่สุดเราก็เป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เวลานี้เรารู้สึกดีเหลือเกิน มีพลังเหลือเกิน มีความกระตือรือร้นเหลือเกิน เราพร้อมแล้วที่จะลงมือทำและอยู่กับเป้าหมายทันทีเดี๋ยวนี้และจดจ่ออยู่กับมันเท่านั้น จะไม่ยอมเสียเวลากับอะไรอื่น นอกจากนี้”
     โดยให้คิดถึงข้อความนี้ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
     วิธีการข้างต้นผมขอรับประกันว่ามันจะทำให้คุณสร้างตัวตนคนใหม่ให้เกิดขึ้นภายในได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อข้างในใหม่ผลลัพธ์ที่งดงามย่อมเปล่งประกายออกสู่ภายนอกโดยอัตโนมัติ
     ที่ผมพูดถึงภายนอก หมายถึงในส่วนของร่างกายครับ อย่างที่บอก การเฝ้าร่างกายอย่างถูกวิธีจะทำให้เราไม่หลงทางทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์
     เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไร้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องไม่ยากก็คือหากสิ่งที่ท่านทำไม่ส่งผลลัพธ์โดยตรงให้ท่านบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ให้รีบสรุปได้ทันทีว่านั่นแหละคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์
     การที่ใครสักคนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อรอให้เวลาผ่านไป แม้ว่าคน ๆนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่ในระยะยาวไม่มีอะไรรับประกันว่า สิ่งนั้นจะเกิดประโยชน์ต่อคนทำ
     ดูตัวอย่างคนเสพยา ซึ่งไม่ต่างจากคนเสพคอมพิวเตอร์ เสพโทรทัศน์ เสพการคุยโทรศัพท์ เสพวงสนทนา เสพสุรา เสพการติฉินนินทา เสพการวิพากษ์วิจารณ์ เสพการพักผ่อนนอนหลับ หรือเสพกามพวกเขาทำเพราะรู้สึกดี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป
     ร่างกายคนโดยลำพังไม่สามารถทำอะไรได้ หากไร้ซึ่งอำนาจบงการของจิตใจ เมื่อไหร่ที่จิตใจขาดพลัง ความคิดขาดการรวมศูนย์ร่างกายก็จะไร้ซึ่งการควบคุม ทำให้เซลส์ของร่างกายขาดการชี้นำที่ถูกต้องเหมาะสม มันถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจและต่างเซลล์ก็ต่างเจตจำสง ผลก็คือร่างกายแต่ละส่วนจะทำผิดหน้าที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลการเจ็บป่วย ความแก่ชรา และบาดเจ็บล้มตายให้เห็นในที่สุด ความจริงแท้ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหย่ละเลย แต่มักจะไปโทษเวรกรรม บาปเคราะห์ อะไรทำนองนั้น
     การเฝ้าสังเกตร่างกายอย่างถูกวิธี จะทำให้คุณประสานพลังเจตนารมณ์ให้เข้ากับร่างกายได้อย่างสอดคล้อง จะทำให้ร่างกายคุณอยู่ยืนยงและมีกำลังวังชาทำงานตามที่คุณสั่งได้อย่างไม่เกียจคร้านเหน็ดเหนือย
     วิธีการง่าย ๆ คือให้เฝ้าสังเกตุพฤติกรรมในแต่ละวันว่า “ช่วงนี้ ฉันกำลังเสพติดอะไรอยู่” “สิ่งที่ฉันเสพอยู่นี้ให้อะไรแก่ตัวฉันอย่างถาวรบ้าง” “กิจกรรมที่เสพติดนี้ส่งผลให้ฉันคืบหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วหรือไม่” จงถามคำถามแบบนี้ให้บ่อยที่สุด
     จากนั้นให้เฝ้าสังเกตุว่าทุกครั้งที่คุณนั่ง ยืน เดิน อ่าน ฟัง ดู สนทนา หรือตอบสนองกิจกรรมต่าง ๆ ทุก ๆขณะจิต ให้ถามตัวเองว่า “กิจกรรมที่กำลังเสพอยู่นี้ ใช่หนทางไปสู่เป้าหมายหรือ” ถ้าคำตอบว่าไม่ใช่ ให้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนสิ่งที่กำลังทำอยู่เวลานั้นทันทีให้ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ คุณจะพิชิตชัยชนะเหนือร่างกายและจิตใจแล้วกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน ผมรับประกัน
     ก่อนจากกันชั่วคราว ให้อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างจดจ่อและมีสมาธิ ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
                  “นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะเป็นคนใหม่ที่มีพลังและมีศักยภาพมากกว่าเก่าอย่างสิ้นชิง ฉันจะลงมือทำสิ่งที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไม่เสพสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ฉันจะเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ฉันเชื่อว่าฉันสามารถมีทุกอย่างที่อยากมี สามารถครอบครองทุกสรรพสิ่งที่อยากได้ ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันเป็นคนใหม่แล้ว ฉันคิดการใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันมั่นใจ ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันนับจากนี้มันช่างยอดเยียมเหลือเกิน”
                        ขอให้โชคดีและมีชีวิตที่เหลือเชื่อครับ !!!
ที่มา : หนังสือเกิดใหม่ในชาตินี้ / ผู้แต่ง : วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์
uy159

INCARNATION เกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน1)

เป็นหนังสือจากนักเขียนที่ชื่นชอบอีกท่านนึงที่ติดตามผลงานมาก็หลายเล่มแล้ว
ผู้เขียนคือคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ ลองมาอ่านบางตอนที่น่าสนใจดูค่ะ
Book-Magazine-46375ขั้นตอนที่10   จงเป็นนกฟินิกซ์ (Phoenix)
     ในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภทเท่านั้น คือคนที่ประสบความสำเร็จและคนล้มเหลว
ไม่มีคนประเภทระหว่างกลางที่ก้ำกึ่งให้คุณเลือกเป็น หากคุณไม่อยู่ในเส้นทางที่มุ่ง
ไปหาความสุขและความสำเร็จ นั่นหมายความว่าคุณกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ตรงกันข้าม
ผลก็คือเมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า คุณจะวนกลับมาที่เดิมแล้วนั่งถามตัวเองว่าทำไม
เป้าหมายที่ใฝ่ฝันมันช่างห่างไกลเหลือเกิน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่เคยตัดสินใจที่จะ
เลือกเป็นคนใหม่และไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
เลยสักครั้ง
     ทันทีที่คุณใช้วงจรชีวิตแบบเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม
และยังคบคนกลุ่มเดิม ๆ คุณจะไม่มีวันเป็นคนใหม่ได้เลย
     หากคุณใช้เวลานอนเท่าเดิม กินอาหารแบบเดิม อ่านหนังสือแนวเดิม และไม่เคยลง
มือทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ต่างออกไป โอกาสที่จะเกิดเป็นคนใหม่ในชาตินี้ก็จะยังมาไม่ถึง
     แต่การพบกับหนทางใหม่ที่สดใสอย่างฉับพลันก็มิใช่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป
เพียงแค่คุณทำตัวเป็นนกฟินิกซ์
     นกฟินิกซ์เป็นสัตว์ในตำนานตามเทพนิยายอียิปต์โบราณและเชื่อต่อกันมาจนถึงสมัย
กรีก ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ของการจุติใหม่เป็นนกที่มีวงจรชีวิตยาวนานถึง 500 ปี
และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นกฟินิกซ์จะก่อกองไฟขึ้นเผาตนเองเพื่อกำเนิดเป็น
นกฟินิกซ์ตัวใหม่ที่เยาว์วัยจากกองถ่านขี้เถ้าและจากนั้นก็จะมีชีวิตต่อไปอีก 500ปี
วนเวียนตลอดไปอยู่อย่างนี้จนเป็นอมตะ
     นกฟินิกซ์มีลักษณะคล้ายนกอินทรี นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าราวประกาย
แสงอาทิตย์ มีจงอยปากแหลมกว่านกอินทรีย์ ขนสีทองทั้งตัว บริเวณคอมีสีแดงสลับ
ม่วง มีเกล็ดสีทองวับวาวตามหน้าแข้งเล็บสีแดงบานคล้ายกลีบกุหลาบ
     การมีชีวิตยืนยาวเยี่ยงนกฟินิกซ์รวมถึงการเผาตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ทำให้ชาวกรีก
และชาวโรมันนำภาพนกฟินิกซ์มาเป็นสัญลักษ์ของความเป็นอมตะและชัยชนะเหนือ
ความตาย
     นี่เองเป็นที่มาของวิธีการหลอมละลายตัวตนคนเดิมแล้วหล่อรูปกายสร้างจิตวิญญาณ
ใหม่ที่ศาสตร์เอ็นแอลพีทำกันมาจนโด่งดัง
     หลักการง่าย ๆ มีอยู่ว่า การที่คนเราไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็น
เพราะเราไม่เฝ้าสังเกตจิตใจและร่างกายอย่างถูกวิธี
     การกระทำของคนมีความคิดเป็นตัวนำ แต่ความคิดมีเกิดดับตลอดเวลา ขอย้ำอีกครั้ง
ว่า ในแต่ละวันเรามีความคิดหลักผุดขึ้นมาประมาณ 500 เรื่องที่ทำให้เราใช้เวลาคิดในแต่
ละเรื่องมากกว่า 2 วินาที ยกเว้นบางเรื่องที่เราเสียเวลากับมันทั้งวัน แต่แม้กระนั้น เรื่องที่
เราคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ยังมีความคิดปลีกย่อยแทรกขึ้นมาอีก นี่ยังไม่นับความคิดเบ็ดเตล็ด
ผุดดับ ๆ อีกนับไม่ถ้วน ด้วยสภาพจิตใจแบบนี้ ทำให้คนเราขาดสมาธิ ไม่มีการจดจ่อ
และสิ่งที่ทำตรงหน้าก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ในที่สุดทำให้พลังดึงดูดของเราก็ทำงานไม่เต็มที่
     ด้วยความคิดจำนวนมากที่เกิด ๆ ดับ ๆ เช่นนี้ ทำให้พลังแห้งการคิดของเราขาดการ
รวมศูนย์ ผลก็คือเราไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงพอ หมายความว่า
เราไม่สามารถรวมจิตให้มีพลังเหมือนลำแสงเลเซอร์
     ต้องไม่ลืมว่าลำแสงเลเซอร์คือกลุ่มพลังงานที่มีเครื่องมือชนิดพิเศษนำพลังแสงมา
รวมไว้ในที่เดียวกันจนบังคับทิศทางได้ ทำให้เกิดพลังงานเข้มข้น สามารถทะลุทะลวงโลหะ
ได้อย่างง่ายดาย   
 
        ตามอ่านตอนที่2 ด้วยนะจ๊ะ

9/2/10

จะป้องกันความหึงหวงได้อย่างไร

ที่มา : เรื่อง วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์/Secret

1. การเลี้ยงดูที่เหมาะสม
    สำหรับการป้องกันการหึงหวงในระยะยาวนั้นต้องเริ่มจากการเลี้ยงดู โดย
ให้เด็กมีพัฒนาการที่ถูกต้อง เหมาะสม เติบโตด้วยความรัก ความอบอุ่น 
สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้ได้ ไม่ลงโทษอย่างรุนแรงจนทำให้เด็ก
เกิดความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัว หรือหวาดผวา เช่น ข่มขู่ว่าจะไม่รัก จะเอา
ไปปล่อย หรือกักขังในห้องมืดหรือห้องแคบ ๆ เป็นต้น เพราะความรู้สึกดังกล่า
จะทำให้เด็กเติบโตอย่างขาดความภาคภูมิใจและขาดความมั่นคงทางจิตใจ
เมื่อมีคนรัก คู่ครอง อาจทำให้เป็นคนขี้หึงหวงได้

2. สร้างคุณค่าและพัฒนาตนเอง
    ควรสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการคิดดี ทำดี ขยันทำหน้าที่ที่รับผิดชอบให้
สำเร็จสมบูรณ์ มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พูดจาไพเราะสุภาพ พัฒนาบุคลิกภาพด้วย
การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม นั่ง เดิน ยืน ให้สง่างาม รักษาความสะอาด
ของร่างกายให้ดูดี ไม่มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ตลอดจนพยายามรู้จักคนรัก
หรือคู่ครองของเราให้ดีทุกด้าน เพื่อที่จะได้ปรับตัวอยู่ด้วยกัน รวมทั้งอาจ
ต้องเรียนรู้และปรับตัวต่อคู่ครองในเรื่องความชอบ รูปแบบ และวิธีการมี
เพศสัมพันธ์ที่ลงตัวต่อกันทั้งสองฝ่าย
    หากพัฒนาและสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้ดังกล่าวแล้วก็จะนำไปสู่ความเชื่อ
มั่นว่าตัวเองมีคุณค่าพอที่จะครองใจคนรักคู่ครองได้ ส่งผลให้ลดความรู้สึก
หึงหวงได้เป็นอย่างดี

3. ปรับวิธีคิดและมองคู่รักคู่ครองแต่ด้านดี
    การปรับพฤติกรรมผู้อื่นนั้นอาจไม่ง่ายนัก เพราะเป็นสิ่งภายนอกและอยู่เหนือ
อำนาจการควบคุมของตัวเองแต่การปรับวิธีคิดและมุมมองของตัวเองนั้นเป็น
เรื่องภายใน แม้จะทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็สามารถทำได้ เพราะอยู่ภายในตัวตน
ของเราเอง
    การมองคนรักคู่ครองในด้านดี คือ มองเห็นคุณค่า เห็นโอกาสเห็นความหวัง
เห็นความหมาย ในคนรักคู่ครองของเรา เช่นมองว่าคนรักคู่ครองของเราช่วยให้
เรามีสถานภาพทางสังคมดีขึ้น คนรักคู่ครองมีความหมายต่อชีวิตเราและลูก
ดังนั้นหากสงสัยว่าคนรักนอกใจ แต่ไม่มีหลักญานชัดเจนจับไม่ได้ ก็ให้มองใน
ด้านดีของเขาให้เจอ ค้นหาคุณค่าคุณงามความดีต่าง ๆที่เขามีต่อเราให้มาก ๆ
เพราะการมองเช่นนี้จะช่วยลดทอนความหึงหวงลงและรักษาความสัมพันธ์
ให้ยืนยาวได้

4. ลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักหึงหวงได้
    การลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักคู่ครองหึงหวงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ
คนที่มีคนรักขี้หึง กล่าวคือ จะต้องลดพฤติกรรมที่อาจทำให้ชวนสงสัย เช่น
กลับบ้านไม่ตรงเวลา หายไปโดยไม่บอกกล่าว ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่
สามารถติดต่อได้ เวลาคุยโทรศัพท์แสดงท่าทีวิตกกังวลและเดินเลี่ยงไปพูด
ที่อื่น ไม่อาบน้ำก่อนเข้านอน โดยอ้างว่าอาบมาแล้วจากที่อื่น เป็นต้น เหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้คนรักคู่ครองแสดงความหึงหวงมากขึ้น
ทั้ง ๆ ที่ความจริงตัวเองอาจมิได้นอกใจคนรักคู่ครองเลย
    ความสม่ำเสมอและพฤติกรรมที่โปร่งใสจริงใจจะช่วยลดอาการหึงหวง
ของคนรักคู่ครองได้ไม่มากก็น้อย

5. คุยกับจิตแพทย์
    สาเหตุที่จะทำให้คนเราก็สึกหึงหวงมากคือ มีอาการป่วยด้วยโรคจิตเวช
ชนิดหวาดระแวง หรือโรคประสาทชนิดวิตกกังวล ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่
หึงหวงมากจนนอนไม่หลับ วิตกกังวล ขาดสมาธิในการทำงาน ลุกลี้ลุกลน
หวาดระแวงมากถึงขนาดต้องออกติดตามสอดแนมดูพฤติกรรมคนรักคู่ครอง
อย่างใกล้ชิด จนบางทีอาจถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน
    ใครที่มีอาการหึงหวงถึงขึ้นนี้ควรจะไปพบจิตแพทย์หรือเริ่มปรึกษา
นักวิชาการด้านสุขภาพจิต เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ อาจทำด้วยพฤติกรรม
บำบัด จิตบำบัดหรืออาจถึงขึ้นต้องใช้ยาเพื่อการรักษา ส่วนใหญ่เจ้าตัว
มักไม่คิดว่าอาการหึงหวงที่ตนเป็นอยู่เป็นปัญหา แต่คนที่เป็นคู่รักคู่ครอง
จะรับรู้และอาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญมาก ขอให้เข้าใจว่าอาการมากขนาด
นั้นน่าจะมีการป่วยด้านจิตใจร่วมด้วยจึงควรพาไปพบจิตแพทย์
    หากคู่รักคู่ครองที่มีอาการหึงหวง ไม่ยอมรับ ไม่ยอมมาพบจิตแพทย์
ก็ขอให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบมาปรึกษาจิตแพทย์
ด้วยตนเอง เพื่อจิตแพทย์จะได้จัดยาให้เขารับประทาน ซึ่งเป็นยาน้ำใช้
สำหรับหยดลงในน้ำให้ดื่ม ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส คนที่มีความหึงหวงมาก ๆ
เมื่อได้รับยานี้อาจโดยการที่แฟนแอบเอาหยดใส่น้ำให้ดื่มทุกวัน อาการ
หึงหวงจะลดลงจนปรับตัวได้ และสงบสุขทั้งตัวเองและผู้ที่อยู่ร่วมด้วย
      โดยทั่วไปเมื่อได้รับยาติดต่อกันประมาณ 1 เดือน จะเริ่มเห็นผลอย่าง
ชัดเจน ดังนั้นก็ขอให้มาปรึกษาจิตแพทย์เพื่อการช่วยเหลือ แล้วจะเกิด
ความสงบสุขได้จริง

      6. ฝึกปฏิบัติกรรมฐาน
          วิธีแก้ไขในข้อนี้เป็นข้อแนะนำโดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน
การฝึกกรรมฐาน ทั้งสมถกรรมฐาน และวิปัสนากรรมฐาน หรือที่สาธารณชน
ส่วนมากมักจะเรียกง่าย ๆว่าปฏิบัติธรรมนั่นเอง ควรไปปฏิบัติกรรมฐานที่จัดขึ้น
ในวัดหรือในสำนักปฏิบัติธรรมที่มีพระสงฆ์และึึครูบาอาจารย์ที่รู้จริงคอยแนะนำ
จะช่วยทำให้เข้าใจชีวิต เข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของกายและจิต
ซึ่งจะส่งผลให้คลายความกำหนัดยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ลดความยึดมั่นถือมั่นและความเป็นตัวเป็นตนของตนเอง จนพบความสงบ
สุขทางใจได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ความอดทนและเพียรพยายามร่วมด้วย
         อย่างไรก็ตาม วิธีการป้องกันแก้ไขอาการหึงหวงทั้งหกวิธี ควรได้รับ
การปรึกษาจากนักสุขภาพจิตและได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ร่วมด้วย
         การฝึกปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพุทธศาสนานั้น ควรจะทำควบคู่กัน
ไปทุก ๆวิธีเพื่อจะได้ผลดีทั้งต่อตัวเองและคนที่คุณรัก แม้้ในชีวิตของความ
เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ยังวนเวียนอยู่กับความรัก โลภ โกรธ หลง
จะทำให้มิอาจละกิเลสได้ทั้งหมด แต่การมีความรักที่มีพื้นฐานของจิตใจ
ที่มั่นคง มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีจิตใจที่มีความเมตตา
กรุณา และรู้จักชื่นชมในคุณงามความดีของผู้อื่น ก็จะช่วยลดละความรู้สึก
หึงหวงที่ทำให้จิตไม่สงบลงได้ แล้วพัฒนาความคิดมาเป็นความห่วงหาอาทร
อย่างสมเหตุผลและปฏิบัติต่อคนรักคู่ครองด้วยความรักที่เหมาะสมในที่สุด
..................................................................................................
เป็นอย่างไรกันบ้างวิธีป้องกันความหึงหวงคงช่วยได้เยอะเลย
ก็อ่านมาจากSecretแล้วก็เลยเอามาเล่าต่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน
แต่ก็ดีเหมือนกันนะคะถ้าเผื่อการที่เราไม่ได้ตัวติดอยู่กับคนรักตลอดเวลา
แทนที่เราจะคิดฟุ้งซ่านเราควรคิดถึงเขาแต่ในแง่ดีก็เขาเป็นคนที่เราเลือก
มาแล้วนี่นา เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีในระดับนึงแหละใช่มั้ยและก็เป็นการ
ให้เกียริตคนที่เรารักด้วยไม่แน่นะเวลาที่เขาคิดนอกลู่นอกทางขึ้นมา
เขาอาจจะคิดถึงข้อดีของเราและเกิดละอายใจว่าเรารักและไว้ใจให้
เกียริตเขามาำกคงไม่มีใครอยากทำลายความเชื่อมั่นและความภาคภูมิ
ใจที่คนรักมีให้ได้ลงคอหรอก
     แต่หากว่ามันเกิดขึ้นจริงเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ให้ถือซะว่าเค้ากับเรามันคงไม่ใช่ อย่าไปฝืนมันจะยิ่งทำร้ายตัวเราและ
ความมั่นคงในจิตใจของเรา ให้เราปล่อยเค้าไปตามทางของเค้า(ทางที่
ชอบๆ) ส่วนเราก็ไปตามทางของเรา ทางเส้นใหม่ที่สดใสกำลังรอเรา
อยู่ที่เราได้เป็นอิสระจากคนที่หลอกลวงเรา มันก็เป็นแค่วาระๆนึงเท่านั้นเอง
แล้ววันนึงเราจะพบคนที่ใช่คนนั้น ที่เกิดมาเพื่อเดินไปพร้อม ๆกับเราจริงๆ
หรือลองมองถึงคนที่เค้าลำบากกว่าเรา เด็กที่ขาดความรัก คนที่อดอยาก
ขาดแคลนอาหาร ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าห่มกายในยามหนาว ต้องเดินเท้าเปล่า
คนที่ต้องเก็บเศษอาหารมาเพื่อประทังชีวิต คนเหล่านี้มีอยู่จริง
ถ้าเราลองคิดถึงปัญหาของเราให้น้อยลง ในเมื่อเรามีข้าวกิน มีบ้านอยู่
และยังมีโอกาสได้พูดคุยกับเค้าคนนั้นอยู่ทุกวันแค่นี้เราควรพอใจ
และควรหาทางทำความดีกับคนรักของเราหรือคุณพ่อคุณแม่หรือ
 คนที่ด้อยโอกาสกว่าเราบ้าง
คงทำให้เราลืมเรื่องการหวาดระแวงไปได้เยอะทีเดียวค่ะ 
เพื่อนๆคงเคยได้ยินมาบ้างว่า เมื่อประตูบานนึงปิดลง จะมีประตูบานใหม่
เสมอที่เปิดรอเราอยู่เสมอ ลองหาแสงสว่างจากประตูบานนั้นนะคะ
แล้วเดินออกไปพบโลกที่กว้างไกล ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอเราอยู่
ไม่ใช่แค่ความรักจากคนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นหรอกคะ

9/1/10

ทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญพิษรักแรงหึง!

ที่มาของเรื่อง : วุณิพงศ์ ถายะพิงค์,Secret

มะลิเป็นภรรยาที่ขึ้หึงมาก
เธอจะคอยติดตามดูตลอดเวลาว่า ในวันหนึ่ง ๆ หลักจากเลิกงานแล้วสามี
ไปไหนกับใคร และเมื่อกลับบ้านผิดเวลา เธอจะซักไซ้สามีโดยละเอียด พร้อม
อารมณ์ที่หงุดหงิด ซึ่งเป็นเหตุนำมาสู่การทะเลาะกันเสมอ บางครั้งรุนแรงมาก
ถึงขั้นตบตีกัน ทำให้สามีรู้สึกเบื่อและรำคาญกับอารมณ์ขี้หึง และกริยาท่าที
ที่คอยสอดแนมสามีตลอดเวลา จนเกือบจะหย่าร้างกันหลายครั้ง

มานพก็เป็นสามีที่ขี้หึงมากเช่นกัน
เขาคอยเฝ้าดูภรรยาไม่ให้คลาดสายตา และกำชับให้กลับบ้านตรงเวลา
เสมอ และมักจะโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ร่วมงานและ้เพื่อน ๆของภรรยาว่า ภรรยา
ไปไหน ไปกับใคร อยู่อย่างไร หากวันไหนภรรยากลับบ้านค่ำ เช่น ไปงานเลี้ยง
กับเพื่อน มานพก็จะโทรศัพท์ตามและสอบถามดูว่า ไปกับใครบ้าง นั่งใกล้ใคร
และเมื่อกลับถึงบ้านก็จะบังคับให้ภรรยาถอดชุดชั้นในให้ดู เพราะต้องการดูว่า
รอยคราบน้ำอสุจิของชายอื่นหรือเปล่า ภรรยาทนไม่ไหวกับความหึงหวงและ
หวาดระแวงของสามีจึงเกิดการทะเลาะกันบ่อยครั้งจนเกือบจะหย่าร้างกัน
ในที่สุดเธอตัดสินใจปรึกษาจิตแพทย์เรื่องสามีขี้หึง จิตแพทย์ได้แนะนำวิธี
การอยู่ร่วมกับสามีขี้หึงและจัดยาชนิดน้ำ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ให้เํธอ
แอบเอาไปหยดใส่น้ำให้สามีดื่มประมาณ 1 เดือน อาการหึงหวงของสามีก็ดีขึ้น
อย่างมาก ทุกวันนี้ทั้งคู่อยู่กันอย่างสงบสุขขึ้น

ตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่เขียนเล่ามานี้เป็นเรื่องจริงและ้เหตุการ์์ณจริงเกี่ยวกับ
คนขึ้หึง ซึ่งสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ระดับง่าย ๆ จนถึงขั้นต้องใช้ยาบำบัดรักษา

รู้จักความหึงหวง
       หึงหวงหมายถึงภาวะที่บุคคลมีอารมณ์ ความรู้สึกหวาดระแวงบุคคลที่ตนเอง
รัก ว่าจะนอกใจหรือไปรักผู้อื่นที่มิใช่ตนเอง ความหึงหวงเกิดขึ้นได้ในสัมพันธ์รัก
ทุกรูปแบบ แต่จะปรากฏชัดเจนและมากในรูปแบบความรักเชิงชู้สาว ความรู้สึกหึงหวง
นำมาซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความหวาดระแวงได้มากมาย อาทิเช่น ติดตาม
สืบเสาะและสอดแนมด้วยรูปแบบต่าง ๆ มีการกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย
ไปจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
        ส่วนหวงแหนนั้น หมายถึง กันไว้สำหรับตน ในด้านพุทธปรัชญา ความรู้สึก
หึงหวงคือกิเลสตัณหาอย่่างหนึ่ง กล่าวคือ อยากให้เขารักเราคนเดียว อยากให้เขา
เป็นของเราคนเดียว และเป็นอุปาทานยึดมั่นว่าเป็นของตน เข้าใจผิดคิดว่า
ควบคุมได้แบบเบ็ดเสร็จ
        แต่ไม่ว่าใครจะมีมุมมองหรือนิยามคำว่าหึงหวงไว้อย่างไร ที่แน่ ๆ ความรู้สึกหึงหวง
ที่มากมายเกินกว่าคำว่าห่วงหานั้นจะนำมาซึ่งความคิดหวาดระแวงและไร้ความสงบสุข
ภายในจิตใจของตนเอง และยังส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะคนรักคู่ครอง
ที่ถูกหึงหวงก็จะพลอยไร้ความสงบสุขไปด้วย ความหึงหวงอาจเป็นความรู้สึกควบคู่หรือ
ใกล้ชิดกับความรู้สึกรักในเชิงชู้สาวมาก แต่การมีความรู้สึกหึงหวงและแสดงออกต่อกัน
แต่พอดีอาจส่งผลต่อความรัก ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในกันและกันได้ แต่ความ
หึงหวงที่มากจนเกินไปจะกัดกร่อนอารมณ์ความรู้สึกของตนจนไร้ความสงบสุข ถึงขั้น
ไม่สบายใจมาก นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ จนไม่สามารถปรับตัวในการดำรงชีวิตได้
ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนี้สามารถเยียวยาได้
...................................................................................................................
บทความนี้อ่านมาจากหนังสือSecretค่ะ เห็นว่าน่าสนใจดีมีใครมีอาการดังนี้บ้างเอ่ย
คงทรมานพิลึกเลยแต่ทุกปัญหาก็ย่อมมีทางแก้ เพื่อชีวิตคู่ที่มีความสุขอะไรที่มันมาก
เกินพอดีก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละค่ะ บทความนี้ยังไม่จบนะมีทางแก้ให้ด้วย ติดตามตอนต่อ
ไปด้วยนะคะ เรื่อง จะป้องกันความหึงหวงได้อย่างไร