12/26/10

ไม่มีกำลังใจ... ทำอย่างไรดี

ไม่มีกำลังใจ... ทำอย่างไรดี  ท่านคงจะเคยได้ยินได้ฟังคนอื่นพูดหรือบ่นอยู่เสมอว่า 
ไม่ค่อยมีกำลังใจจะทำอะไรเลย โดยความเป็นจริงแล้ว
มนุษย์เราทุกคนเมื่อเกิดมาย่อมต้องการความรัก ความอบอุ่น ความสุขสมหวัง ความสำเร็จ ความร่ำรวย ตลอดจน ร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็มิใช่ว่าจะประสบกับความสุขสมหวังเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องประสบกับความผิดหวัง ในสิ่งที่พึ่งปรารถนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม บางคนก็สามารถ แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ แต่ก็มีหลายรายที่ไม่สามารถปัญหาได้ตามที่คาดหวังไว้

ผู้ที่ขาดกำลังใจนั้น มักจะมีความรู้สึก เบื่อหน่าย ท้อแท้ หดหู่ เซื่องซึม ไม่กระตือรือร้นที่จะกระทำกิจกรรมใดๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านมีความรู้สึกขาดกำลังใจเช่นว่านี้ก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จงพยายามค้นหา ใคร่ครวญ ตรึกตรอง พินิจพิจารณาถึงสาเหตุแห่งความผิดหวังหรือความล้มเหลวนั้นซึ่งสาเหตุของการหมดกำลังใจ มีได้หลายสาเหตุ ได้แก่
1. ด้านร่างกาย อาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายไม่สมประกอบ มีโรคประจำตัว เจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถทำงานได้เหมือนผู้อื่น สิ่งเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่ายหมดกำลังใจได้
2. ด้านจิตใจ อาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัว คือรู้ตัวว่ามีปัญหาและรู้ว่าปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ไม่สามารถขจัดหรือแก้ปัญหานั้นได้ จึงเกิดความไม่สบายใจเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่พึงปรารถนา หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่มีกำลังใจ เงินทองก็มีใช้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี แต่ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองดู ก็จะรู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร สาเหตุอาจจะอยู่ลึกๆ หรือฝังใจมาตั้งแต่เด็กจนเราอาจนึกไม่ถึงก็เป็นได้ เช่น  มีความน้อยเนื้อต่ำใจในรูปร่างของตัวเอง ความไม่ยุติธรรมของพ่อแม่หรืออาจจะรู้สาเหตุแต่ไม่ยอมรับ จึงเกิดอาการท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติกิจกรรมใดๆ ให้เป็นผลดีได้เท่าที่ควร
3. ด้านสังคม คือ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ เมื่อตนทำดีแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นความดี เช่น ทำงานมาหลายปี แต่เจ้านายไม่เคยเห็นความดี หรือความสำคัญของตนเลย 
วิธีที่จะทำให้เกิดกำลังใจ  มีดังนี้
1 ก่อนอื่นต้องพยายามหาสาเหตุเสียก่อนว่า การที่เราไม่มีกำลังใจนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วพยายามหาทางปรับปรุงแก้ไขและยอมรับเสีย
2 อย่าคิดหรือมองว่าตนเองเป็นคนมีปัญหา ไร้ความสามารถ คนอื่นที่เขามีปัญหา ไร้ความสามารถมากกว่าเราก็ยังมีอีกมาก เราต้องมาตั้งใจกระทำใหม่
3 อย่ามัวหมกตัวอยู่คนเดียว ลองพูดคุยกับผู้ที่เราไว้ใจ หรือเชื่อถือ อย่างน้อยก็เป็นการระบาย ความอัดอั้นตันใจของเราได้และเราอาจจะได้รับคำแนะนำ ชี้แนะจากเขาผู้นั้นก็เป็นได้
4 มองโลกในแง่ดี พยายามทำจิตใจให้สดชื่น อะไรต่างๆ ก็จะดูดีขึ้น
5 อ่านหนังสือดีๆ อาจจะได้รับความรู้ สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้น และยังทำให้เราเกิดความเพลิดเพลินอีกด้วย
6 ออกกำลังกายตามที่ท่านชอบและถนัด ซึ่งอาจจะทำให้สุขภาพแข็งแรงได้อีกด้วย
7 พยายามอย่าปล่อยให้มีเวลาว่างมากเกินไป ควรหางานอดิเรกทำ เช่น หัดทำกับข้าว เย็บปักถักร้อย ทำสวนครัว ฯลฯ เพราะอาจจะสนุกไปกับงานเหล่านั้น
8 เมื่อตื่นนอน ควรรีบลุกจากที่นอนทันที ควรมีแผนการทำงานของแต่ละวันและทำงาน ด้วยความกระฉับกระเฉง ตั้งใจที่จะกระทำกิจกรรมต่างๆ อย่างจริงจัง 
จากวิธีที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะทำให้ท่านที่ขาดกำลังใจกลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะส่งผลทำให้ชีวิต ของคุณมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณบทความจาก http://www.love4home.com/
ขอขอบคุณบทความคุณธาริณี มาลัยมาตร์ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
 

12/14/10

คุณต้องหาสิ่งที่รักให้เจอ

หนังสือทำสิ่งที่รัก…ยังไงก็รุ่ง

         เขียนถึงหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งที่สองแล้วเนื่องจากว่ามีความจริงดี อีกหลายอย่างที่เรามองข้ามและเราไม่ทันสังเกตุกับมันจนมาได้อ่านหนังสือของคุณบัณฑิต จึงรู้สึกว่าจริงสิทำไมเราไม่รีบทำสิ่งที่เรารักเสียแต่วันนี้ เรามัวแต่ทำตามคนอื่นว่าดี นั้นเราลองคิดตามที่หนังสือบอกว่าให้คิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆนั้นคืออะไร ลองมาอ่านหนังสือเล่มนี้กันต่อเลยดีกว่าคะ

ตอนผมอายุ 17 ผมได้อ่านคำคมบทหนึ่งที่กล่าวทำนองว่า
“ถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ ในที่สุด คุณก็จะมีวันหนึ่งที่เป็นวันสุดท้ายของคุณจริงๆ”
คำพูดนี้ฝังใจผมมาตลอด และตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลา 33 ปี ผมจะมองกระจกทุกเช้าและถามตนเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตผมผมจะอยากทำสิ่งที่กำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า?” และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาเป็นไม่ใช่ หลายวันติดต่อกัน ผมก็รู้ทันทีว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ในชีวิตแล้ว
การนึกได้ว่าผมอาจจะตายเร็ว ๆนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยผมได้ดีที่สุดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของชีวิต เพราะแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากภายนอก ศักดิ์ศรี ความกลัวการขายหน้าหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะหายไปจากความคิดทันที เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เหลือเพียงแต่สิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริงการตระหนักได้ว่าเราจะต้องตาย เป็นทางที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะพ้นจากกับดักของความคิดที่ว่าคุณมีอะไรต้องเสีย เพราะในความเป็นจริงชีวิตคุณนั้นเปลือยเปล่าอยู่แล้ว
                                ฉะนั้น
มันไม่มีเหตุผลใด ๆที่จะไม่ทำตามหัวใจของคุณเอง
เวลาของคุณนั้นมีจำกัด ฉะนั้นอย่าเสียมันไปกับการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่างติดอยู่ในกรอบความคิดคนอื่น อย่าให้เสียงของความเห็นคนอื่นดังกลบเสียงข้างในตัวคุณเอง และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าทำตามที่หัวใจและเสียงภายใน เพราะหัวใจของคุณมันรู้อยู่แล้วว่าจริง ๆ คุณต้องการจะเป็นอะไร สิ่งอื่นใดเป็นเรื่องรองลงมา
photo by hugmagazine

ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง

บัณฑิต อึ้งรังษี
ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
จากหนังสือทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
เป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจอีกเล่มหนึ่งของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี เขียนเกี่ยวกับการทำความฝันหรืองานที่เรารักโดยไม่ต้องกลัวกังวล โดยใช้เทคนิคต่าง ๆในเล่มและข้อเสียของการอยู่กับงานที่เราไม่ได้รักมันจะดูดชีวิตชีวาของเราให้หายไปและทำให้เรากลายเป็นคนซังกะตายหมดความฝันเลยทีเดียว วันนี้จะขอนำบางส่วนในหนังสือเล่มนี้มาเขียนให้อ่านกันนะคะ
เปรียบเทียบกระบวนการแบบเก่า&กระบวนการแบบใหม่
กระบวนการแบบเก่า(สร้างคนธรรมดา)
1   หาว่าทำอะไรแล้วรวย หรือมั่นคง(เอาเงินเป็นโจทย์ตั้ง)
2   พยายามจะทำงานนั้น ไม่คำนึงว่าตนชอบหรือไม่
3   กระโดดไป กระโดดมาจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งเห็นคนอื่นทำบางอย่างแล้วรวย ก็ทำตาม
4   ไม่เก่งสักอย่าง
5   ไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่รัก แล้วสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่แรกก็ทำได้ไม่รุ่งเพราะสู้คนที่ทำงานนั้นเพราะรักไม่ได้
6   อายุมากขึ้นถูกlay offจากงาน เพราะบริษัทสามารถหาคนใหม่ที่ถูกกว่าได้ หรือไม่ก็ทนทำงานไปวันๆ(ราชการไล่ออกไม่ได้)รอวันเกษียณ
7   มีชีวิตอยู่แบบซังกะตาย
8   ไม่ได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่ากับสังคมเท่าไรนัก เพราะตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลยจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
9    จากโลกนี้ไปแบบไม่ได้ทิ้งอะไรที่มีค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง
กระบวนการแบบใหม่(สร้างคน พิเศษ ที่ใช้ชีวิตเต็มศักยภาพ)
1    หาให้เจอว่าอะไร คือ งานแห่งชีวิต ที่รักและถนัด
2    คิดถึงตอนจบ ว่าตนต้องการไปถึงตรงไหน ( เช่น เป็นcloth designer อยู่เมืองนอกมีแบรนด์เป็นของตนเอง หรือทำงานอยู่เมืองไทย มีธุรกิจใหญ่เป็นของตนเอง)
3   ใช้เวลาฝึกฝนสิ่งนั้นจนเก่งมาก ๆ
4    มีความสุข สนุกตลอดเวลาในการเดินทาง
5    หาวิธีรุ่งจากสิ่งนั้น ถ้ายากที่จะเห็นในตอนแรก
6    ทุกอย่างตามมา เงินทอง ชื่อเสียง ความสุขในการทำงาน
7    สร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้สังคม และคนรุ่นต่อไป(เพราะตนเองมีเหลือเฟือ สามารถให้เวลา เงินทอง คำแนะนำ บริการที่ดี สิ่งของผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ฯลฯกับคนอื่น)อย่างสตีฟ จ๊อบส์ เฉินหลง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เจ.เค. โรว์ลิ่ง
8   จากโลกนี้ไปแบบ เปลี่ยนโลกเป็นที่จดจำของคนรุ่นหลัง เช่น คานธี เบโอเฟ่น จอห์น เลนนอน

12/13/10

อานิสงส์ของความกตัญญู

1   ทำให้รักษาคุณงามความดี เดิมไว้ได้
2   ทำให้สร้างคุณงามความดี ใหม่ได้อีก
3   ทำให้เกิดสติไม่ประมาท
4   ทำให้เกิดหิริโอตตัปปะ
5   ทำให้เกิดขันติ
ุ6   ทำให้จิตผ่องใส มองโลกในแง่ดี
7   ทำให้เป็นที่สรรเสริญ
8   ทำให้คนอยากคบหาสมาคม
9   ทำให้มนุษย์และเทวดา อยากช่วยเหลือ
10  ทำให้ไม่มีเวรไม่มีภัย
11  ทำให้ลาภยศทั้งหลายเกิดขึ้นโดยง่าย
12  ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

พระธรรมสิงหบุราจารย์

11/25/10

โรคเสียดายหนังสือกำเริบ

DSCF8499
เพื่อน ๆเคยบ้างไหมคะหนังสือที่เราไม่ได้หยิบมาอ่านเราก็ไม่เคยจะคิดถึงมันแต่พอนึกขึ้นมาได้ว่ามันหายไปก็แทบจะพลิกบ้านหาเลย มีใครเป็นเหมือนกันบ้างเอ่ย
วันนี้ขายหนังสือได้ 2 เล่ม แต่ก็เป็นอาการเดิมคือ กลัวคิดถึงมันทั้ง ๆที่เวลามันวางอยู่ที่บ้านก็ไม่เคยจะนึกถึงว่าวางอยู่ตรงไหน แต่พอมันจะไปอยู่กับคนอื่นก็กลับเสียดาย แต่เราก็รู้สึกดีตรงที่มันจะได้ไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่ที่ต้องการมันอย่างแท้จริง เห็นคุณค่าของมันเหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่เราอยากจะได้มันมามากมาย แล้วสุดท้ายก็นอนแอ้งแม้งให้ฝุ่นเกาะอยู่มุมหนึ่งของบ้าน
งั้นวันนี้จะเล่าบางส่วนของหนังสือที่กำลังจะขายให้ฟังแล้วกัน เอาที่ดูน่าสนใจดีกว่า
อ้อ ลืมไปหนังสือชื่อ คู่มือโน้มน้าวใจคน
เรื่อง กฏแห่งความมีศักยภาพและความเป็นเลิศ (Law of Power)
       คนเรานั้นอาจมีศักยภาพหรือมีความสามารถพิเศษที่มากกว่าคนอื่นจนถึงระดับที่พวกเขาถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือ มีความแข็งแกร่ง หรือมีความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
           คนที่มีศักยภาพในตัวเองสูงนั้นมาพร้อมด้วยความน่าเชื่อถือและมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจผู้อื่นได้ ความมีศักยภาพคือความสามารถในการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นไปตามการรับรู้ ลูกค้าจะรับรู้ว่าคุณมีศักยภาพในตัวเองมากขึ้น ถ้าคุณแสดงพฤติกรรมด้วยความเชื่อมั่นแต่ไม่ใช่ความหยิ่งทะนง การมีท่าทีสบาย ๆ แต่ไม่ใช่การไม่เอาใจใส่ การมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่ใช่การแสดงตัวว่ารู้ไปเสียทุกอย่างความมีศักยภาพเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวคุณ และคุณจะต้องปลดปล่อยมันออกมา เมื่อใดก็ตามที่คนรับรู้ว่าคุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรอบรู้ และมีความมั่นใจในตัวเอง แน่นอนว่าระดับความเชื่อมั่นของเขาที่มีต่อตัวคุณก็จะสูงขึ้น
       ถ้าคุณพยายามใช้ศักยภาพ หรือความสามาถพิเศษที่คุณมีเหนือคนอื่น แทนที่จะใช้มันเพื่อพวกเขา คุณก็จะสูญเสียกายขาย รวมทั้งเพื่อนของคุณด้วย ศักยภาพหรือความสามารถพิเศษในตัวคุณนั้นจะถูกรับรู้โดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นพลังบางอย่างที่มีอยู่ในตัว และมักจะเรียกกันว่า ผู้ที่มีความเป็นเลิศ หรือมีพรสวรรค์ ซึ่งก็คือ คนที่มีความสามารถและมีคุณลักษณะหรือมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถดึงดูดใจและทำให้ผู้อื่นเลื่อมใส ศรัทธา และยอมรับได้ ศักยภาพ หรือพรสวรรค์ที่คุณมีนั้นโดยปกติมักจะไม่ได้รับการยอมรับและคนมักไม่ค่อยจะยอมปฏิบัติตาม ถ้าพวกเขาคิดว่าคุณกำลังพยายามที่จะข่มพวกเขาอยู่
        ในงานวิจัยงานหนึ่งเมื่อเร็ว ๆนี้ ที่พูดถึงเรื่องความมีศักยภาพและความน่าเชื่อถือนั้น ได้เปิดเผยว่า 95% ของพยาบาลทั้งหมดเต็มใจที่จะจ่ายยาให้กับคนไข้หลังจากที่ได้รับการสั่งจากหมอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ยานั้นอาจจะทำให้คนไข้ตาย นั่นแหละคือ การมีศักยภาพ และความน่าเชื่อถือ
         เมื่อคุณขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง คนจะทึกทักว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ถ้าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้าของคุณ คุณก็จะเป็นคนที่ใคร ๆก็จะมาหา ขอใหทำให้ลูกค้าของคุณรู้โดยนัยว่า คุณเป็นสุดยอด หรือเป็นหนึ่งในสุดยอดบริษัทชั้นนำ คนโดยทั่วไปชอบที่จะติดต่อกับบริษัทชั้นนำเสมอ
         ช่างซ่อมรถยนต์อาจจะดูเหมือนคนที่ไม่มีศักยภาพ และมีความน่าเชื่อถือมากสักเท่าไหร่นัก แต่เวลาที่รถคุณเสีย พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก พวกเขามีทางแก้ปัญหาให้คุณ ถ้าพวกเขาทำให้การแก้ปัญหาดูเป็นเรื่องง่าย พวกเขาก็จะดูไม่มีศักยภาพและความน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงง่าย ๆ ที่ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยได้ใส่ใจกับวิธีการใช้ศักยภาพและความเป็นเลิศ หรือใช้พรสวรรค์ที่ตนเองมี นั่นก็คือ เหตุผลเดียวกับที่ทำให้พวกเขาหลายคนถูกมองว่าเป้นพวกทีชอบสร้างปัญหานั่นเอง
                             จบแล้วจ้า
จริง ๆ อยากจะเขียนเรื่องอื่นต่อนะแต่กลัวหนังสือยับน่ะ เพราะเดี๋ยวต้องส่งให้เขาแล้ว
คราวหน้าจะเอารูปกองหนังสือที่บ้านมาให้เพื่อนดูกันนะคะ ว่ามันแยะจนอ่านไม่ไหวเลยจริง ๆ

11/22/10

กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน

     คือ การรู้สภาพของกายในขณะนั้นว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่ากายจะยืน กายจะเดิน กายจะนั่ง กายจะนอน จะพักผ่อนอันใดมีสติควบคุม จิตต้องกำหนด กำหนดกายยืน กำหนดกายนั่ง กำหนดกายนอน กำหนดกายที่จะเอนลงไปต้องกำหนดทุกอิริยาบถ จะก้าวเยื้องซ้ายและขวาไปที่ไหนกำหนดตั้งสติไว้ให้เป็นปัจจุบัน

     กำหนด  แปลว่า ความรู้ของชีวิตอันมีสติควบคุมเช่น ก่อนจะเดินให้สำรวมจิตอยู่ที่เท้าขวา ตั้งสติปักลงไป แล้วกำหนดในใจคำว่าขวา ให้ยกส้นเท้าขวาขึ้น ตั้งสติระลึกรู้พร้อมกับส้นเท้าขวาที่ยกขึ้นก้าวท้าวขวาไปข้างหน้า สติระลึกรู้พร้อมกับส้นเท้าขวาที่เคลื่อนไปข้างหน้า หนอวางเท้าลงถึงพื้น ปลายเท้าและส้นเท้าลงพร้อมกัน สติระลึกรู้พร้อมกับเท้าที่ลงสัมผัสพื้น หรือจะหยิบสิ่งของอะไร ก็ให้สำรวมจิตอยู่ที่มือข้างที่จะหยิบ ตั้งสติปักลงไปที่มือข้างที่จะหยิบสิ่งของอะไร ก็ให้สำรวมจิตอยู่ที่มือข้างที่จะหยิบ ตั้งสติปักลงไปที่มือข้างที่จะหยิบนั้นแล้วกำหนดในใจว่า หยิบหนอ หยิบหนอ สติระลึกพร้อมกับมือข้างที่กำลังหยิบของสิ่งนั้น เป็นต้น
จากหนังสือ: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม

สติปัฎฐานสี่

คือ ความระลึกอยู่เสมอว่าขณะนี้เราทำอะไร มีสติตั้งมั่นอยู่กับการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จะยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดสติพิจารณาทุกอิริยาบถ
              วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น
การยืน
               ให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตรง หน้าตรง หลับตา ให้สติอยู่ที่กลางกระหม่อม สำรวมจิต เอาสติตาม วาดมโนภาพร่างกาย คำว่า ยืน จากศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ คำว่าหนอ จากสะดือลงไปปลายเท้านับเ้ป็น 1 ครั้ง ครั้งที่สอง กำหนดขึ้นคำว่า ยืน จากปลายเท้ามาหยุดที่สะดือ คำว่าหนอ จากสะดือไปกลางกระหม่อม กำหนดกลับไปกลับมา จนครบ 5 ครั้ง ขณะนั้นสำรวมจิตอยู่ที่ร่างกาย อย่าให้ออกนอกกาย แล้วลืมตา ค่อย ๆ ก้มหน้ามองดูปลายเท้า ให้สติจับอยู่ที่เท้าเพื่อเตรียมเดินจงกรมต่อไป

การเดิน
              กำหนดว่า ขวาย่างหนอ ในใจคำว่า ขวา ยกส้นเท้าขวาขึ้นประมาณ 2นิ้ว เท้ากับใจนึกต้องพร้อมกัน ย่าง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เท้ายังไม่เหยียบ  คำว่า หนอ เท้าลงถึงพื้นพร้อมกัน จากนั้น สำรวมจิตไว้ที่เท้าซ้ายตั้งสติปักลงไป กำหนดว่า ซ้ายย่างหนอสลับกันเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ระยะก้าวในการเดินห่างกันประมาณ 1 คืบ เพื่อการทรงตัวขณะก้าวได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่แล้ว ให้นำเท้ามาเคียงกัน หน้าตรง หลับตา กำหนดยืนหนอช้าๆ อีก 5 ครั้ง จากนั้นลืมตา ก้มหน้า มองดูปลายเท้า

การกลับ
             กำหนดว่า กลับ...หนอ 4 ครั้ง คำว่า กลับหนอครั้งที่หนึ่งยกปลายเท้าขวา ใช้ส้นเท้าขวาหมุนตัวไปทางขวา 90 องศา ครั้งที่สอง เคลื่อนเท้าซ้ายมาชิดกับเท้าขวา ครั้งที่สามทำเหมือนครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สี่ทำเหมือนครั้งที่ 2 เมื่อครบสี่ครั้งแล้วจะอยู่ในท่ากลับหลัง ต่อไปกำหนด ยืนหนอช้า ๆ อีก 5 ครั้ง ลืมตาก้มหน้า แล้วกำหนดเดินต่อไปจนหมดเวลาที่ต้องการ

การนั่ง
            ให้ทำต่อจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอนเมื่อเดินจงกรมถึงที่จะนั่ง ให้กำหนดยืนหนออีก 5 ครั้ง แล้วกำหนดปล่อยมือลงข้างตัวว่า ปล่อยมือหนอ ๆๆ ช้า ๆ จนกว่าจะลงสุด เวลานั่งค่อย ๆ ย่อลงตัวลง พร้อมกำหนดตามอารมณ์ที่ทำไป จริง ๆ เช่น ย่อตัวหนอ ๆๆ เท้าพื้นหนอๆๆ คุกเข่าหนอ ๆๆ นั่งหนอๆๆ เป็นต้น

วิธีนั่ง
           ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรงหลับตาเอาสติจับอยู่ที่ท้องพอง ยุบ เวลา หายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหรอ ใจนึกกับท้อง ที่พอง ยุบต้องให้ทันกัน ให้สติจับอยู่ที่การพองยุบของท้องเท่านั้น อย่าดูลมที่จมูกอย่าตะเบ็งท้อง ให้รู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้าท้องยุบมาข้างหลัง กำหนดเช่นนี้ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

การนอน
           เวลานอนค่อย ๆ เอนตัวนอน พร้อมกับกำหนดตามไปว่านอนหนอ ๆๆ จนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้ว ให้ตั้งสติจับอยู่ที่ท้องหายใจเข้าออกยาว ๆ สบาย ๆ ภาวนาพองหนอ ยุบหนอ ได้ยินอะไรก็กำหนดไปเรื่อย ๆ อย่าไปเพ่งที่ท้องมาก ไม่หลับ ให้ตั้งสติไว้ หายใจเรื่อยไปว่า พองหนอ ยุบหรอ จนกว่าจะหลับ เมื่อตื่นก่อนลืมตาให้กำหนดว่า ตื่นหนอ กำหนดที่ท้องว่าพอหนอ ยุบหนอ จนกว่าจะหลับ เมื่อตื่นก่อนลืมตาให้กำหนดว่า ตื่นหนอ กำหนดที่ท้องว่าพองหนอ ยุบหนอ ครู่หนึ่ง แล้วกำหนดลืมตา และการลุกขึ้นนั่งต่อไป  

จากหนังสือ:หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม

11/20/10

mybook


ดูแล้วประทับใจมากเลยค่ะ
ทำให้คิดถึงกองหนังสือที่บ้านที่ถูกทอดทิ้งไว้บนชั้นหนังสือ
ไม่ได้รับการเหลียวแล ทั้ง ๆที่ตอนแรกอยากจะอ่านมันมากมาย
จะทยอยหยิบมาอ่านให้หมดให้ได้เลย สัญญาจ้ะ

อ่านหนังสือดีดี

11/13/10

Brainวิธีลับสมอง

art_239925
1  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ด้านความคิด การวางแผนจัดการ
2  เคี้ยวอาหารให้ละเอียด  ผลการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยืนยันว่า การเคี้ยวช่วยกระตุ้นสมองส่วนความจำที่เรียกว่า ฮิพโพแคมปัส ควรเคี้ยวคำละ 30 ครั้งขึ้นไปหรือจะเคี้ยวหมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลเสริมด้วยก็ได้
3  ฟังเพลงคลาสสิค ทั้งของบาค (Bach) บีโทเฟน (Beetoven) โมสาร์ท (Mozart) เวลาที่เหมาะคือก่อนนอนหรือช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายเพื่อช่วยปรับคลื่นความคิด
4  รับประทานอาหารเช้า ร่างกายและสมองต้องการสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงานหลังจากว่างเว้นมาเกือบ 12 ชั่วโมง การรับประทานมื้อเช้าจะทำให้สมองกระปรี้กระเปร่า มีสมาธิ ความคิดแล่นฉิว
5  อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์  พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ๆ อาจมีมุมมองบางด้านที่เรามองข้ามหรือคิดไม่ถึง การเรียนรู้ความคิดเห็นของผู้อื่นผ่าน 3 วิธีข้างต้น จะช่วยเปิดโลกทัศน์ มองสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างไกลและรอบด้าน อีกทั้งรู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย
6  วาดรูป  คุณอาจจะอุทธรณ์ว่าฝีมือวาดรูปไม่เป็นสับปะรด แต่การวาดรูปที่ช่วยลับสมองนี้ไม่จำเป็นจะต้องออกมาเหมือนผลงานจิตรกรมือเอก เมื่อคุณจดบันทึกเรื่องอะไร ก็ให้มองทุกอย่างในภาพรวมแล้วประมวลความคิดออกมาเป็นรูปประกอบเรื่องนั้น ๆ จะช่วยคุณจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องจาก หนังสือalternative medicine,ภาพจาก beauty2healthy4u.com

11/11/10

ผู้หญิงกับไมเกรน

10378_20_2[1]
       มีผลการศึกษาออกมาว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นไมเกรนมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะสตรีในช่วงอายุ 25-34 ปี กล่าวคือพบในผู้หญิง 17% ส่วนผู้ชาย 6% ทั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือน การอดอาหารเพื่อรักษารูปร่าง การรับประทานอาหารที่มีผงชูรสหรือประทานไม่เป็นเวลา
            แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าไมเกรนเกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อกันว่าส่วนหนึ่งเป็นไมเกรนไวในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ อากาศ แสง สี เสียง กลิ่นฯลฯ ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการกำเริบคุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นไมเกรน ไม่ว่าจะเป็น อากาศร้อนจัด หนาวจัด การอยู่กลางแดด ความเครียด ความวิตกกังวล การอดนอน การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (แต่ต้องไม่มากเกินไป การนอนหลับที่เกินพอดีก็เป็นปัจจัยกระตุ้นไมเกรนเช่นกัน) ออกกำลังกาย รู้จักปล่อยวาง หางานอดิเรกที่โปรดปราน เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หากต้องการใช้ยาในการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
เรื่องจากหนังสือ alternative medicine

มาทานอาหารเช้ากันเถอะ

ที่มา หนังสือalternative medicine

 2007-10-31_124913_re_อาหารเช้า_1

        ด้วยภารกิจที่รัดตัว ด้วยเวลาที่เร่งรีบ ด้วยความต้องการลดความอ้วนและอื่น ๆ อีกมากมายที่หลายคนยกมาเป็นเหตุผลในการละเลยอาหารม้อเช้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคือมื้อที่สำคัญที่สุด จากมื้อเย็นจนถึงมื้อเช้าเป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร หากคุณข้ามมื้อเช้าไปก็จะกลายเป็น 18 ชั่วโมงกว่าที่จะมีสารอาหารตกถึงร่างกายอีกครั้งในมื้อเที่ยง

          ยามตื่นนอนระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำร่างกายจำเป็นต้องได้รับพลังงานเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาล แต่ถ้าคุณไม่ทานอาหารเช้า ร่างกายจะต้องไปดึงเอาคาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทน แต่คาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทนพลังงานจากอาหารได้อย่างเต็มที่ คนที่พลาดอาหารเช้าจึงขาดความกระฉับกระเฉงหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย หัวสมองไม่ค่อยแล่นเมื่อเทียบกับคนที่ทาน นอกจากนี้คนที่ไม่ทานมื้อเช้ามีแนวโน้มที่จะทานหนักในมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่ควรทานน้อยที่สุดเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการพลังงานน้อยและอาหารถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้ง่าย

         กินมื้อเช้าอย่างราชา กินมื้อเย็นอย่างยาจก แล้วคุณจะมีกำลังวังชา สมองแจ่มใสไปตลอดวัน

ขอบคุณ เรื่องจากหนังสือalternative medicine,photo:webboard sanook.com

11/9/10

Would you like some chocolate?สดใส งดงาม ก็ชีวิตนี่หวานมันเช่นช็อกโกแลต

เรื่อง หนังสือwellfit
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น แต่นอกหน้าต่างยังมืดอยู่เลย ใครล่ะจะอยากตื่นจากฝันหวานบนที่นอนนุ่มๆ สปริงเบาๆ ขี้เกียจอย่างนี้จะทำอย่างไรให้เช้าของคุณเป็นเช้าที่สดใสทุกวัน

อย่ากังวลไปเดี๋ยวแก่นะเออ ไม่เป็นไรมีวิธีไล่ตัวซึมเซา
 1 นาที ดีดตัว ปลุกประสามให้ตื่นตัว ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น (ฮอร์โมนเมลาโทนินที่ทำให้เรารู้สึกง่วงจะหยุดทำงาน)กระพริบตาไล่ความง่วงสัก 1 นาที การกระพริบตาเร็ว ๆ จะทำให้ดวงตาชุ่มชื่นขึ้น เพราะมีน้ำตามาหล่อเลี้ยง ช่วยให้คุณมองเห็นโลกยามเช้าของคุณสว่างสดใส
3 นาที กระตุ้นระบบประสาทด้วยการกดจุด ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่นิ้วก้อยของมืออีกข้างค้างไว้ 30 วินาที ทำเช่นนี้สลับกันทั้งสองข้าง จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้นวดคลึงที่หูเบาๆ เพื่อปลุกประสาทการรับรู้ให้ตื่นตัว สุดท้ายให้ถูฝ่ามือทั้งสองข้างจนกระทั่งฝ่ามืออุ่นขึ้น จะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายทั้งร่างกาย
5 นาที ขยับแขนขยับขากันสักนิดก่อนลุกจากเตียง การยืดเส้นยืดสายจะเป็นการกระตุ้นและคลายกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็นที่ยังนอนขึ้เกียจอยู่ให้ตื่นมารับเช้าวันใหม่พร้อมกับเหยียดแขนเหยียดขาและสะบัดขึ้นบนอากาศแรง ๆ จากนั้นไขว้สลับกันไปมาประมาณ 2-3 นาที ขึ้นต่อไป นอนหงาย ยกหัวเข่าซ้ายพร้อมทั้งยกตัวขึ้นจนกระทั่งข้อศอกขวาแตะหัวเข่า ทำเช่นนี้สลับกันไปมาทั้งสองข้าง ข้างละ 6 ครั้ง การไขว้ขวาสลับไปมาจะปลุกการทำงานของสมองทั้งสองส่วน
10 นาที คู่หูคู่เด็ดสูตรสำเร็จของน้ำกับออกซิเจน ทุกวันหลังตื่นนอนคุณควรดื่มน้ำอุ่นๆ ทันที 1 แก้วใหญ่ เพื่อเป็นการชะล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในให้สะอาด จากนั้นสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ 10 ครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างออกซิเจนภายในเซลล์ร่างกาย ร่างกายจะได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน จากนั้นลุกขึ้นยืนตรง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูง ๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ลดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกับหายใจออกช้า ๆ ทำเช่นนี้ 10 ครั้ง
15 นาที อาบน้ำเพิ่มพลัง เลือกเจลอาบน้ำกลิ่นหอม ๆ อย่างกลิ่นส้มโอเทศ (Grapefruit)กลิ่นโสมขิง หรือกลิ่นโปรดอื่นใด กลิ่นหอมที่สูดผ่านจมูกในยามเช้าจะปลุกความกระปรี้กระเปร่าคล้ายๆ กับเราเติมพลังงานให้ร่างกายพร้อมรับวันใหม่อย่างสดใสเต็มเปี่ยม ถ้าชอบอาบน้ำอุ่นจะต้องอาบน้ำเย็นตบท้าย เพื่อเป็นการกระชับรูขุมขน หลังอาบน้ำอย่าลืมชโลมผิวอ่อนโยนของคุณด้วยโลชั่นให้ทั่วเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นผิวและถนอมผิวให้คงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
30 นาที เริ่มต้นอาหารเช้าด้วยธัญพืชเคลือบช็อกโกแลต หรือข้าวต้มชีวจิตกับเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ ช็อกโกแลตจะช่วยสร้างฮอร์โมนแห่งความสุข แทนที่จะดื่มกาแฟลองดื่มชากลิ่นโรสแมรี่สักถ้วย  แล้วคุณจะได้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่า แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาสำหรับอาหารเช้า ลองเคี้ยวเมล็ดยี่หร่าฝรั่ง (Caraway) 2-3 เม็ด น้ำมันหอมจากเมล็ดนั้นจะช่วยให้ร่างกายคุณตื่นตัวมากขึ้น

11/8/10

Happinessเติมความรวยด้วยความสุข

เรื่อง หนังสือwellfit

เรามีเงินไว้ซื้อความสุข หรือซื้ออะไรก็ได้เพื่อให้รู้สึกดี ๆ ราคาที่เราจ่ายไปเพื่อความสุขและความภูมิใจนั้นแพงกว่าที่ต้องจ่ายเพื่อปัจจัยสี่จริง ๆ เยอะมาก อาหารจานหนึ่งที่กินเพื่ออิ่มท้อง คุณควักเหรียญสิบจ่ายไปกี่เหรียญ แต่อาหารมื้อหนึ่งที่คุณจ่ายเพื่อความสุข ความยังไม่พอจ่าย
คิดในมุมกลับกัน ถ้าพื้นอารมณ์เราเป็นคนมีความสุข เราจะสุขของเราได้เรื่อย ๆ เรารวยแล้วนะ เราทำงานเราก็สุข เรากินอะไรเราก็สุข เราเล่นเราก็สุข เรารวยกว่าเงินในกระเป๋าเราเยอะเลย เราไม่ต้องใช้เงินเยอะแยะคอยซื้อความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว งั้นทำยังไงล่ะเราจะรวยทางลัดเช่นนี้ ก่อนอื่นเราต้องตั้งใจว่าจะมีความสุขกับชีวิต ตั้งใจว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็จะทำด้วยความสุข
คนเรายิ่งโตก็ยิ่งหลงลืมความสุข เริ่มสุขไม่เป็น อุ๊ย! ความรับผิดชอบเยอะมาก ใครมาชวนคุยสนุก ๆ ต้องบอกเบา ๆ คล้ายกับว่าเกรงใจว่าไม่มีเวลาไม่มีสาระ บางคนใช้ความเครียดบีบตัวเองให้ทำอะไรได้มากกว่าที่คิดว่าจะทำได้จนเป็นนิสัย เห็นความเครียดเป็นแรงผลักดันสู่ที่สูง เลยเพาะความเครียดไว้ในเรือนนิสัย บางคนใช้ความโชคร้ายของตนเองเรียกร้องความรักความใส่ใจจนเป็นนิสัย สังเกตดูคนกลุ่มนี้จะมองเห็นแต่ความทุกข์ของตนเอง เรื่องดี ๆ ของตนเองมองไม่เห็น ยกแต่แง่ร้ายขึ้นมาบ่นเรียกคะแนนสงสาร ถ้าได้คบเพื่อนคอเดียวกัน เป็นตั้งวงคุยประชันความทุกข์เพื่อแย่งกันรับโล่ห์สงสาร ใครโชคร้ายน้อยกว่ากลายเป็นผู้แพ้ที่ต้องปลอบผู้ชนะ
ภาวะปัจจุบันผลักเราให้ทุกข์ง่าย ต้องหมั่นตั้งใจจะมีความสุขกับชีวิต ลองถามตัวเอง คุณอยากจะทำอะไรบ้าง คุณตั้งใจจะทำอะไรบ้าง เขียนออกมาทีละอย่าง ก่อนถามตนเองอีกครั้งว่าที่เขียนออกมานั้นอยากจะทำแน่หรือ ถ้ายังตอบว่าใช่ ก็ให้เขียนต่อลงไปว่า คุณตั้งใจจะทำสิ่งนั้นด้วยความสุข ทบทวนความตั้งใจนี้บ่อย ๆ ทุกวันได้ยิ่งดี และลองนึกภาพให้ออกว่าตนเองจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร (ถ้าให้นึกเห็นเป็นภาพได้ ก็จะมีพลังมาก) …แล้วความตั้งใจจะค่อย ๆ ผลักดันพฤติกรรมของคุณให้หันหาความสุขเอง
แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

11/7/10

ทบทวนเหตุการณ์

ทุกๆ เย็นลองให้เวลาตนเองทบทวนเหตุการณ์ในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง9dcc420aมากขึ้น
เริ่มจากทบทวนความฝันที่พอจะจำได้ในตอนเช้าค่อย ๆ ระลึกถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นทีละอย่างว่าเกิดอะไรบ้าง คุณทำอะไรไปบ้างในแต่ละสถานการณ์ มีจุดมุ่งหมายหรือคิดและรู้สึกอย่างไรในแต่ละสิ่งที่ทำลงไป และเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้างจากสิ่งที่คุณทำ เมื่อฝึกคิดเช่นนี้บ่อย ๆ คุณจะเริ่มใส่ใจในทุกการกระทำของคุณเอง
พอครบ 7 วัน ก็ให้ทบทวนเหตุการณ์ในรอบ 7 วันนั้นด้วยโดยการบันทึกความสำเร็จ ข้อบกพร่อง พื้นอารมณ์ในรอบอาทิตย์
ย้อนกลับไปมองว่าตั้งแต่ต้นจนสุดสัปดาห์คุณได้พัฒนาอะไรในตัวเองบ้าง และคุณได้เติมสิ่ง ๆดี ให้กับชีวิตอย่างไรบ้างในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
หรือคุณอาจเปลี่ยนวิธีทบทวนเหตุการณ์บ้างก็ได้โดยทบทวนในลักษณะย้อนเหตุการณ์จากช่วงเย็นไปหาช่วงเช้า จากปลายสัปดาห์กลับขึ้นไปหาต้นสัปดาห์ วิธีนี้จะช่วยเปลี่ยนแนวทัศนะในเรื่องเวลาของตัวคุณเอง

Diaryเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่

เรื่อง  หนังสือwellfit
original_diaries
เพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านไดอารี่  การเขียนเล่าประสบการณ์ทางอารมณ์ที่แย่ ๆ จะเอื้อผลดีต่อสุขภาพ และการวิจัยล่าสุดยังบ่งชี้ว่า  การบันทึกประสบการณ์แห่งความสุขก็ส่งผลดีเช่นกัน Chad M.Burton และ Laura A.King นักจิตวิทยาของUniversity of Missouriได้ให้คนจำนวน 90 คน เขียนไดอารี่ 20 นาทีเป็นเวลา 3 วัน และติดตามผล 3 เดือนหลังจากนั้น บุคคลที่เขียนไดอารี่ในหัวข้อซึ่งไม่พาดพิงถึงอารมณ์ความรู้สึกเลย จะเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพมากกว่าบุคคลที่บันทึกไดอารี่ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสุขประมาณ 5 ครั้ง นักวิจัย Laura A.King แสดงความเห็นว่า การหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์แย่ ๆ อาจก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่ แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่การจดจ่ออยู่กับสิ่งดี ๆจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

11/5/10

ข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปัน






1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด 

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

ที่มา : fwdmail

11/1/10

jealous หึง จัดการได้ถ้า…

p13(2)
เรื่องจากหนังสือคลีโอ:BY GUTTJING
             วันนี้อาการแพ้ท้องดีขึ้นนิดนึงแล้ว ก็เลยมีแรงลุกขึ้นเก็บหนังสือเก่าเอามาจัดให้เรียบร้อยก็อดเปิดอ่านไม่ได้ จัดไปอ่านไปก็ไม่เสร็จสักที เจอบทความนึงในหนังสือคลีโออ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยแต่เอ๊ะ เราเปิดข้ามไปได้ยังไงไม่รู้ ยังไม่เคยได้อ่านเลย  ลองเอามาให้เพื่อน ๆได้อ่านกันบ้างสำหรับวิธีจัดการกับความหึงได้เป็นอย่างดี ดูมีเหตุมีผล ใครทำตามได้น่าจะเอาชนะความหึงได้ เราเองก็ทำตามอยู่หลายข้อในนี้เหมือนกัน แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
เมื่อไหร่ที่เรารักใครสักคน ความหึงมักจะมาเยือนโดยที่เราไม่ตั้งตัว อารมณ์หึง หวง หรือห่วงนั้น เราสามารถควบคุมได้ถ้าเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน เพียงแค่เข้าใจธรรมชาติของมันและเรียนรู้หนทางที่จะปลดปล่อย เพียงเท่านี้ใจคุณก็จะไม่ร้อนรุ่มด้วยการอยากครอบครองอีกต่อไป
              เราจะรักใครสักคนโดยไม่ต้องหึงได้ไหม? ได้และอาจจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกรักใครขึ้นมา เราก็อยากให้เขารักเราคนเดียว นี่ล่ะ ความหึงก็เกิดขึ้นตอนนี้นี่เอง
              “ หึง” เป็นความรู้สึกว่าคนที่เรารัก เขาคือสมบัติของเราเป็นของเราคนเดียว ไม่อยากให้เขาสนใจใคร ไม่อยากให้เขามองใครที่ไหน และถึงเขาจะเป็นสมบัติ  เราลืมไปรึเปล่าว่า เขาก็ต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่ พี่น้องของเขาด้วย ท่าน ว.วชิรเมธี เคยเล่าเรื่องอารมณ์หึงหวงไว้ว่า “เมื่อความอยากครอบครองที่แฝงมาในนามของความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความรักก็กลายร่างเป็นความร้ายได้ทุกเมื่อ”
              ทำไมเราถึงหึง?
“หึง” เป็นส่วนหนึ่งของความกลัว ในทางจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของความหึงไว้ว่า มันคือ ความกลัวความสูญเสีย เพราะเมื่อถึงจุดที่ความสัมพันธ์เริ่มจะไปในทางที่ดีแล้ว คุณจะเริ่มกลัวว่าจะสูญเสียมันไปแทบจะทันที ที่สำคัญความหึงมีหลายระดับความรุนแรง แต่ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นความหึงหวงที่ควบคุมไม่ได้ แบบที่เราเคยเห็นในข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาแล้วเกือบทุกฉบับ ความหึงแบบนี้เป็นอาการแบบที่ว่า ถ้าฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ ซึ่งอันตรายมาก และเป็นกิเลสที่ทำให้คนนั้นกลายเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นความจริงว่า ไม่มีใครและไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
            ทันตแพทย์สม สุจิรา กล่าวไว้ว่า ความกลัวนั้นมีแรงดึงดูด ยิ่งกลัวมากเท่าไหร่ จิตของเราจะดึงดูดให้สิ่งที่เรากลัวนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ บ่อยครั้งที่เราเห็นคู่รักที่หึงหวงกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับลงเอยด้วยความบาดหมางและความไม่ไว้ใจติดใจอยู่เสมอ รอวันที่จะระเบิดออกมา จะเรียกว่า ความหึงเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ไม่พอดี คงไม่ผิดนัก จากหนังสือธรรมะทำไม ของท่าน ว.วชิรเมธี บอกในเรื่องของความรักไว้ว่า ความรักที่สมดุลนั้นต้องเกิดจาก สมอง+หัวใจ สมอง:เหตุผลและสติสัมปชัญญะ   หัวใจ:อารมณ์หรือความรู้สึก สมองและหัวใจควรวางอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลบนตาชั่ง
          แต่มนุษย์ส่วนใหญ่เหมื่อตกหลุมรักใครสักคน หัวสมองมักจะด้านชา แต่หัวใจมักคึกคะนอง ซึ่งทำให้เรามองความรักในแง่ของความสนุกการครอบครอง และนำมาซึ่งความหึงหวงในที่สุด บางครั้งเมื่อความหึงหวงนำพาความรักไปสู่จุดจบ บางคนลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองหรือไม่ก็ป่วยด้วยโรคทุกข์ซ้ำซากอย่างยาวนาน   หัวสมองเหมือนกับแจกัน หัวใจเหมือนกับดอกไม้ ทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าทั้งสองอย่างนี้มาอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลเมือไหร่ แจกันและดอกไม้ก็ก่อให้เกิดความงามได้อย่างลงตัว ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าว
       ความหึงของคุณvs ความหึงของเขา
ความหึงของคุณ เกิดขึ้นแทบจะทันทีเมื่อคุณรักใครสักคน แต่สำหรับผู้หญิงแล้วบางครั้งความหึงหวงมาพร้อมกับความอิจฉาริษยา ซึ่งสองคำนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความหึงเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายคนรักของคุณทำอะไรที่เข้าข่ายของการไม่ซื่อสัตย์ แต่ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นเมื่อคุณหวังและต้องการในการที่จะทำแบบเดียวกันด้วย ทั้งสองอย่างนี้เป็นตัวร้ายในการทำลายความสัมพันธ์ของคุณได้พอๆ กัน ความหึงของผู้หญิงนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายและจางหายยาก เพียงแค่หลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ระยะหลัง ๆ นี้เขาคุยโทรศัพท์บ่อยกว่าปกติและเกือบทุกครั้งจะต้องเดินออกไปคุยห่าง ๆ คุณ มันอาจจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรก็ได้ แต่หัวคุณนั้นได้วาดภาพเรื่องราวไว้เป็นฉาก ๆ แล้ว และคุณพร้อมที่จะทำทุกวิธีทางเพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวคุณคิดถูก
ความหึงของเขา มีเส้นบาง ๆ แบ่งคำว่า  ผู้ชายเอาใจใส่ กับผู้ชายหวงของ  สองบุคลิกนี้แยกกันไม่ยาก ผู้ชายเอาใจใส่จะไม่หึงพร่ำเพรื่อ  และคุณคุณสามารถพูดกับเขาด้วยเหตุและผลได้ แต่ผู้ชายหวงของนั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คุณจะมาเปลี่ยนความคิดเขาได้ ผู้ชายหวงของมาพร้อมกับอารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งถ้าควบคุมไม่อยู่จะกลายเป็นอันธพาลไปเขาสามารถบุกบ้านคุณและค้นข้าวของตู้เสื้อผ้ากระจุยกระจายได้เพียงเพราะว่า เขาคิดว่าคุณซ่อนใครไว้ในบ้าน  ถ้าในชีวิตจริงคุณต้องเจอผู้ชายแบบนี้ ต้องอดทนและบอกเขาว่า ไม่มีอะไรจริง ๆ เขาคิดไปเอง ยิ่งคุณย้ำเขามากเท่าไหร่ เขาจะคิดตรงกันข้ามมากขึ้นเท่านั้น
ความหึงของเรา เมื่อความหึงของหญิงและชายนั้นสวนทางกัน  ทางรับมือที่ดีและยั่งยื่นที่สุดคือ  ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย กลยุทธ์สำคัญที่คุณควรลองใช้คือ ศาสตร์แห่งหยินและหยาง เมื่อฝ่ายใดร้อนมา เราเย็นใส่ ฝ่ายหนึ่งดำ เราต้องขาว มันคือกฏแห่งความสมดุลและจริงแท้ของธรรมชาติ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดจะร้อนหรือดำ ให้เริ่มจากตัวคุณก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงอารมณ์หึงหวงที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ให้ลองทำตาม 6 ข้อต่อไปนี้ดู

10/20/10

ใครเป็นโรคเกลียด วันจันทร์ อ่านตรงนี้


เรื่องจาก:หนังสือcleo
อยากให้ทุกวันเป็นคืนวันศุกร์จะได้หยุดบ่อย ๆ อย่างงั้นเหรอ? ถ้ารู้สึกแบบนี้ทั้งอาทิตย์ละก็ คุณแย่แน่ พกคู่มือคิดบวกต่อไปนี้ติดตัวไปออฟฟิศด้วยดีกว่านะ

เรื่องบางเรื่องในชีวิตก็ไม่ได้ยุติธรรมไปซะทุกอย่างหรอก ผู้หญิงบางคนก็งั้น ๆ ทำไมได้แฟนหล่อ นิสัยดี วันทำงานทำไมมีตั้ง 5วัน ส่วนวันหยุดมีแค่ 2วันเอง ถึงเราจะแก้ไขให้เราหน้าตาดี หรือมีแฟนหน้าตาดีไม่ได้ แต่เราสร้างสถานการณ์ให้สนุกได้เหมือนวันหยุดทุก ๆ วัน แม้วันทำงาน โดยที่คุณเริ่มได้ ที่ตัวคุณเอง
     เริ่มแรก  ให้จำไว้ว่าทำไมคุณถึงเลือกทำงานนี้ในตอนแรก และคุณตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนี้ หรือได้ทำงานกับคนเหล่านี้ นอกจากนี้ แทนที่จะปล่อยให้บรรยากาศการทำงานควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก็ให้ตั้งใจแน่วแน่ก่อนเริ่มทำงานว่าคุณจะสดชื่นร่าเริง และทำงานงานอย่างกระตือรือล้นแบบเดียวกับเวลาที่คุณช๊อปปิ้ง สรุปง่าย ๆ คือเราเปลี่ยนงานไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนวิธีทำงานของเราได้นั่นเอง
     โรบิน เซียเกอร์ ผู้เขียน You Can Change Your Life Any Time You Want บอกว่า ทัศนะของเรามีผลต่อวิธีคิด และวิธีคิดก็มีผลต่อพฤติกรรม ซึ่งพฤติกรรมนั้นก็จะกำหนดสมรรถนะการทำงานของเราเองผลก็คือสมรรถนะการทำงานนั้นจะกำหนดความสำเร็จของเราในที่สุด เมื่อความสำเร็จหมายถึง การมีความรู้สึกคึกคักเหมือนคืนวันศุกร์ตลอดทั้งสัปดาห์ ก็คุ้มนะกับการพยายามคิดบวกมากขึ้นเล็กน้อย เซียเกอร์ว่า 80% ของทักษะที่เราต้องการเพื่อประสบความสำเร็จนั้นคือ ทัศนะคติ เพราะทัศนคติคือ สติที่เราเลือกจะมีได้ เราจึงสามารถควบคุมมันเอง เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่คุณต้องการให้เกิด ขึ้นอยู่กับตัวคุณ
             ถ้า…อยากสนุก
สาเหตุสำคัญที่สุดทีทำให้คุณหมดสนุกทันทีที่ตื่นนอนเช่าวันจันทร์ คือ ความเชื่อที่ว่างานเป็นเรื่องเคร่งเครียด จริง ๆ แล้ว ถ้าคุณคิดว่างานเป็นเรื่องสนุก คุณจะมีความสุข สนุกสนาน คุณก็จะหาวิธีทำให้งานสนุกเองนั่นล่ะ
          ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไงให้ดูหลานวัยอนุบาลเป็นตัวอย่างทุกวันไปโรงเรียนของเด็กวัยอนุบาลคือ วันไปเล่นกับเพื่อนสนุกสนาน ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ทุกวัน ลองเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกเมื่อนึกถึงการทำงาน แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นและประสบความสำเร็จกว่าเดิมในที่คุณ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับทัศนคติเท่านั้นเอง ทันทีที่คุณเริ่มรู้สึกแย่เกี่ยวกับงาน ให้รีบปัดออกจากความคิด และพยายามคิดถึงสิ่งดี ๆ เช่น ครั้งล่าสุด ที่คุณหัวเราะเต็มที่ในที่ทำงาน ถ้าทำได้แบบนี้ รับรองว่าคุณจะเพลิดเพลินกับงานที่ทำอยู่
             ถ้า…อยากเจอเพื่อน
เช่นเดียวกับครอบครัว เราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะได้ทำงานกับใคร และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสนิทสนมกับทุกคนในที่ทำงาน แต่ถ้าคุณอยากมีความสุขกับงานที่ทำก็ต้องผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานบางคน ทำไมไม่ลองเริ่มที่กินมื้อเที่ยงด้วยกันล่ะ? เท่าทีต้องทำก็แค่โทรนัดรวมกลุ่มสักสี่ห้าคน โทร จองโต๊ะที่ร้านอาหารคุณจะได้คะแนนในสายตาเจ้านานอีกด้วยนะ เพราะเขาจะรู้สึกว่าคุณมีมนุษยสัมพันธุ์ที่ดี และเขาเห็นว่าคุณเป็นคนสร้างไมตรีกับคนอื่น
              ถ้า…อยากขี้เกียจสักวัน
แย่ที่สุดที่จะดึงให้ขยันทำงาน ในวันที่คุณรู้สึกขี้เกียจที่สุด แต่จะง่ายขึ้นถ้าคุณมีแรงจูงใจ งานวิจัยพบว่า เราจะมีแรงจูงใจทำงานมากขึ้นถ้าอยากได้รับคำชม ไม่ใช่เพราะเงิน เซียเกอร์แนะนำว่า ถ้าไม่มีใครเคยให้เครคิตคุณหรือชื่นชมคุณเลยก็ทำซะเอง ให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณทำงานเสร็จสักชิ้น เช่นหลังจากคุยโทรศัพท์เรื่องน่าปวดหัวจบไปสองสาย คุณก็ให้รางวัลตัวเองด้วยการโทร หาเพื่อนเพื่อเมาส์กันสั้น ๆ การคิดถึงภาพรวมก็ช่วยได้ เมื่อคุณรู้แล้วว่างานกระจุกกระจิกเหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของการได้เลื่อนตำแหน่งคุณก็จะมีแรงจูงใจกว่าเดิม แล้วงานถ่ายเอกสารก็จะไม่เลวร้ายซะทีเดียว
               1192388720                1192388720                1192388720
                 ถ้า…อยากแต่งตัวสวย
ก็ใส่ไปเลยสิ อย่าได้แคร์! กรอบระเบียบหรือยูนิฟอร์ม ทำให้ติดนิสัยใส่ เครื่องแบบไปทำงาน หรือ ถ้าคุณมีเครื่องแบบจริง ๆ ที่ต้องใส่ก็หาวิธีสร้างสีสันให้กับตัวเอง เช่น เตรียมรองเท้าคู่สวยไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือแต่งผมเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย การเติมแต่งง่าย ๆ อาจทำให้ความรู้สึกแตกต่างได้มาก และไม่ทำให้เจ้านายขวางหูขวางตาด้วย ลองใส่ตุ้มหูแปลก ๆ หรือใช้ผ้าพันคอสวย ๆ เพื่อทำให้เชิ้ตเรียบ ๆ สดใสขึ้นมา
                   ถ้า…คุณอยากได้ความรักและเอาใจใส่
เวลาที่คุณเจอปัญหา คุณต้องการคำปลอบใจจากใครสักคน แต่น่าเสียดายที่คุณพาแม่และเพื่อนสนิทไปนั่งทำงานด้วยไม่ได้ แต่คุณสามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผู้คนใส่ใจและเข้าใจกันและกันได้ คุณจะได้รับสิ่งที่คุณมอบให้ ดังนั้นถามตัวเองว่าคุณช่างนินทาหรือเปล่า ร่าเริงหรือเปล่า หรือเป็นคนไม่ใส่ใจใคร แล้วค่อยตัดสินใจว่าคุณอยากเป็นแบบไหนถึงจะสร้างบรรยากาศที่เหมือนบ้านได้มากขึ้น ปฏิบัติกับคนอื่นแบบที่คุณอยากให้เขาปฏิบัติกับคุณ แล้วคุณจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น และพยายามเป็นมิตรกับคนอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้คิดว่าเพื่อนร่วมงานคือเพื่อนมาก่อน
                 ถ้า…อยากกำหนดตารางเวลาเอง
หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของวันหยุดสุดสัปดาห์คืออิสระที่จะทำสิ่งที่เราต้องการในเวลาที่เราต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าเราวางแผนวันทำงานแบบเดียวกับวันหยุดไม่ได้ แต่เราสามารถควบคุมวันทำงานได้หลายวิธี ปรึกษาเจ้านานเพื่อหาวิธีกำหนดจังหวะการทำงาน และลำดับงานของคุณเอง ด้วยการเข้าใจตรงกันว่าคุณจะทำงานสำเร็จต่อวัน ด้วยวิธีนี้ คุณจะทำงานจริงจังได้มากขึ้นในช่วงครึ่งวันแรก และผ่อนคลายกับงานที่สนุกกว่าเดิมในช่วงครึ่งวันหลัง
               ถ้า…อยากอยู่กับแฟนมากขึ้น
ในกรณีนี้ คุณก็ต้องตั้งนาฬิกาปลุกแล้วล่ะ เพราะคุณอยากได้เวลา 4 ชั่วโมงเหมือนเช้าวันเสาร์ มันก็มีเรื่องของการได้นอนน้อยลงล่ะนะ แต่เซ็กส์แบบรวบรัดระหว่างวันและอาหารเช้าบนเตียงก็น่าจะคุ้มถึงคุณจะห่วงเรื่องงานอย่างที่สุด แต่ก็จะสบายใจเป็นปลิดทิ้งเมื่อมีช่วงเช้าแสนสดชื่นด้วยกัน ส่งข้อความ โทรศัพท์ และอีเมล์คือ วิธีง่ายๆ ที่คุณจะติดต่อเขาได้ระหว่างวัน ขอแนะนำว่ากลับถึงบ้านอาบน้ำทันที จะได้หลุดจากบรรยากาศการทำงานเป็นชีวิตสบาย ๆในบ้านทันที

10/14/10

นำผู้ป่วยโคม่า สู่ความสงบ


เรื่องจาก Secret:Joyful Life&Peaceful Death
เราควรปฏิบัติอย่างไรกับผู้ป่วยโคม่า ผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าผู้ป่วยโคม่า
นั้นไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เพราะไม่มีอาการตอบสนองใดๆ เลยจึงมักปฏิบัติ
กับเขาเหมือนกับคนที่สลบไสลไร้สมปฤดี
แต่การรับรู้ของคนเรานั้นซับซ้อนกว่าที่เข้าใจกัน มีตัวอย่างมากมายที่ชี้ว่า
ผู้ป่วยโคม่าซึ่งดูเหมือนหมดสตินั้นยังสามารถได้ยินเสียงจากญาติหรือผู้ที่
อยู่รอบเตียงได้ แม้จะไม่ตลอดเวลาก็ตาม
คุณยายวัยเจ็บสิบหัวใจหยุดเต้น แต่หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจนหัวใจ
เต้นใหม่ ก็นอนแน่นิ่งไม่ตอบสนองใด ๆนานนับเดือน ระหว่างนั้นมีญาติมิตร
มาเยี่ยมมากมาย ใครต่อใครก็บอกคุณยายว่า หายไว ๆ แล้วกลับบ้านนะ
แต่คุณยายไม่แสดงอาการรับรู้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ลูกชายที่เฝ้าไข้
สังเกตว่า เวลาพลิกตัวแม่ จะมีน้ำตาไหลออกมาเหมือนกับว่าแม่รู้สึกเจ็บ
วันหนึ่งจึงพูดกับแม่ว่า แม่เหนื่อยไหม ทรมานไหม ถ้าแม่เหนื่อย แม่ทรมาน
จะไปก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นก็ชวนแม่สวดมนต์ทำสมาธิ พอทำไปได้
แค่ 5นาที ความดันของคุณยายก็ตกจนเหลือศูนย์ แล้วก็จากไปอย่างสงบ
     กรณีนี้ไม่เพียงชี้ว่าผู้ป่วยโคม่าสามารถได้ยินเสียงคนรอบข้างเท่านั้น
หากยังย้ำให้เราพึงตระหนักว่า คำพูดของญาติพี่น้องหรือหมอพยาบาลมีความ
สำคัญมากต่อผู้ป่วย ยิ่งผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งหมดหวังที่จะรักษาแล้ว การพูด
ให้เขาปล่อยวางเพื่อจากไปอย่างสงบ น่าจะดีกว่าการพูดเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ เพราะการพูดอย่างหลังนั้นอาจทำให้เขาพยายามยื้อสู้กับความตายด้วยความรู้สึกห่วงใยผู้ที่ยังอยู่หรือรู้สึกผิดที่จะต้องตาย ซึ่งมีแต่จะทำให้เขาทุกข์มากขึ้น
      หมอผู้หนึ่งบินกลับจากอเมริกาทันทีที่รู้ว่าแม่ป่วยหนัก  แต่มาเยี่ยมแม่ได้
แค่ 2 วัน แม่ก็หัวใจหยุดเต้นจึงถูกปั๊มหัวใจอย่างเต็มที่ ผู้เป็นลูกทำใจไม่ได้ที่แม่จากไปกะทันหัน ถึงกับร่ำไห้ขณะเขย่าตัวแม่ แล้วพูดกับแม่ว่า แม่อย่าเพิ่งไป
แม่ทิ้งผมไปทำไม ผมอุตสาห์รีบกลับมาหาแม่ ทำไมแม่อยู่กับผมแค่สองวัน ผ่านไปสักพักแม่ก็ฟื้น เมื่อรู้สึกตัวก็พูดกับลูกว่า ทีหลังอย่าเรียกแม่กลับมาอีกนะ  แล้วแม่ก็เล่าว่า ตอนที่หัวใจหยุดเต้นนั้น รอบตัวมีแต่ความมืดมิด สักครู่ก็เห็นแสงสว่างอยู่ไกล ๆ ขณะที่กำลังลอยไปยังแสงสว่างจนเกือบจะถึงแล้ว ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ รู้สึกเป็นห่วงลูกมาก จึงตัดสินใจกลับมาเพื่อบอกลูกให้ปล่อยแม่ไปเถิด
          ไม่เพียงได้ยินเท่านั้น  ผู้ป่วยโคม่ายังสามารถเห็นสิ่งรอบตัวได้ด้วยแม้ดูเหมือนสลบไสลอยู่ก็ตาม มีชายผู้หนึ่งหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ทันทีที่ถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ทำการกระตุ้นหัวใจอย่างเร่งด่วนพร้อมกับใส่ท่อช่วยหายใจ แต่เนื่องจากผู้ป่วยสวมฟันปลอม จึงต้องถอดก่อนที่จะใส่ท่อ หลังจากช่วยชีวิตไว้ได้ ผู้ป่วยได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล หลายวันต่อมาชายผู้นี้เห็นพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาจึงทักและถามว่า คุณใช่ไหมที่ถอดฟันปลอมผม พยาบาลประหลาดมากว่าเขารู้ได้อย่างไร เพราะตอนนั้นเขาหมดสติอยู่
     มิใช่แต่ผู้ป่วยโคม่าเท่านั้น กระทั่งผู้ป่วยที่หมอวินิจฉัยว่ามีสภาพคล้ายผักก็มีหลักฐานว่าเขาสามารถรับรู้ได้ และไม่เพียงเขาจะได้ยินและสามารถคิดตามได้เท่านั้น หากยังรับรู้สัมผัสและความเจ็บปวดได้ด้วย
    ผู้ป่วยรายหนึ่งเส้นเลือดในสมองแตกทั้งสองข้างและหมดสติไปจากนั้นก็ไม่แสดงอาการตอบสนองอีกเลย หมอวินิจฉัยว่าเป็นผัก คือแน่นิ่งเหมือนเจ้าชายนิทรา แต่ต่อมาเขาได้รับการเยียวยารักษาจนสามารถฟื้นขึ้นมาได้ รวมทั้งได้รับการบำบัดจนมีชีวิตเหมือนคนปกติเขาเล่าถึงเหตุการ์ณตอนที่หมอพยายามวินิจฉัยว่าเขาเป็นผักหรือไม่ หมอบีบหัวแม่โป้งของเขาอย่างแรง ตอนนั้นเขาปวดมาก อยากตะโกน ให้หมอหยุดบีบแต่ก็พูดไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินหมอพูดกันเองว่า คนไข้คนนี้เป็นผักถาวร
        แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ผู้ป่วยโคม่าหรือผู้ที่มีสภาพคล้ายผักทุกคนสามารถได้ยิน เห็น หรือรับรู้สัมผัสทางกายได้ แต่ย่อมเป็นการดีกว่า หากเราปฏบัติต่อผู้ป่วยดังกล่าวเสมือนคนปกติที่สามารถรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวหรือกับตัวเอง นั่นคือ ปฏิบัติกับเขาด้วยความอ่อนโยน เวลาจะใส่ท่อ ฉีดยา ขยับตัวเขา ก็ควรบอกให้เขารู้ก่อน
     นอกจากการดูแลทางกายแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือการบรรเทาความทุกข์ทางใจ ลูกหลานหรือฐาติมิตรควรพูดกับเขาด้วยความใส่ใจ แสดงความรักต่อเขาด้วยสัมผัสหรือน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่านหนังสือธรรมะหรือหนังสือเล่มโปรดให้เขาฟัง ชวนเขาสวดมนต์พร้อมกับเราหรือสวดมนต์ให้เขาฟัง ชวนเขาสวดมนต์พร้อมกับเราหรือสวดมนต์ให้เขาฟัง จะชวนเขาทำสมาธิด้วยการรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก โดยบริกรรมว่า พุท-โธ ด้วยก็ได้
       หากผู้ป่วยอาการทรุดหนักจนมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ลูกหลานญาติมิตรควรน้อมใจให้เขานึกถึงสิ่งศักดิสิทธิ์หรือสิ่งดีงามที่เขานับถือพูดถึงความรักและความภาคภูมิใจที่เรามีต่อเขา ชวนเขาย้อนระลึกถึงความดีที่เขาเคยทำ ให้ความมั่นใจแก่เขาว่าทุกคนที่อยู่ข้างหลังจะอยู่ได้แม้ไม่มีเขา รวมทั้งแนะนำให้เขาปล่อยวางสิ่งทั้งปวง รวมทั้งสังขารร่างกายนี้
       มีผู้ป่วยอาการโคม่าหลายคนถึงกับพนมมือเมื่อได้ยินเรื่องการทำบุญใส่บาตร บางคนหายกระสับกระส่าย มีอาการนิ่งสงบ แต่ถึงแม้เขาจะไม่แสดงอาการตอบสนองใด ๆ ก็มิได้พึงคิดว่าเขาไม่รับรู้ ในยามนั้นเขาอาจมีปีติ อิ่มเอิบ ปล่องวาง และพร้อมจะจากไปได้
      การปฏิบัติกับผู้ป่วยโคม่าด้วยการมอบสิ่งดีที่สุดทางจิตใจให้แก่เขานอกจากจะดีกับผู้ป่วยแล้ว ยังดีต่อผู้ปฏิบัติด้วยเพราะช่วยให้ใจสงบ เป็นบุญ และคลายจากความเศร้าโศกเสียใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งลูกหลานหรือญาติมิตรก็ได้รับการเยียวยาทางจิตใจด้วย

10/3/10

The Dogs 10 Commandments กฏทองของน้องหมา


DSCF7339 อยากให้คนที่คิดว่าจะเลี้ยงหมา หรือมีหมาอยู่แล้วแต่อาจจะหลงลืม
ไปบ้างว่าหมาก็มีหัวใจดวงน้อย ๆ ที่มีความคิด มีความรู้สึก
มีความรักให้แก่คนที่เป็นเจ้าของประดุจเจ้าชีวิตของมัน
อ่านก่อนที่จะตัดสินใจทอดทิ้งมันหรือตัดสินใจนำมันมาเลี้ยง
เพราะว่ามันจะฝากชีวิตเอาไว้กับเราจนชั่วชีวิตของมัน

“กฎทองของหมา" ( The Dogs 10 Commandments )
โดย... Fitzsimmons Army Medical Center
( 1 ) ชีวิตของฉันอย่างมาก
ก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น
การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ
นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน
จึงโปรดสังวรให้จงหนัก..ก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต
( 2 ) ให้เวลากับฉันสักหน่อย
เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจน
ว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน
( 3 ) จงเชื่อมั่นในตัวฉัน
เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
สำหรับความเป็นอยู่ของฉัน
( 4 ) อย่าโกรธฉันให้นานนัก
และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง
เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิง
และมิตรสหาย แต่ฉันนั้น...มีเพียงเธอ
( 5 ) พูดกับฉันบ้าง
แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูด
แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง
( 6 ) พึงระลึกอยู่เสมอว่า...
ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน
ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย
( 7 ) โปรดอย่าทุบตีฉัน
เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้
แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย
( 8 ) ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง
ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเธอเองก่อนว่า
เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่
บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร
หรือถูกทิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป
หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว
( 9 ) ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย
เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น
( 10 ) อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง
ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า "ฉันทนดูไม่ได้
ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย"
เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหาก...เธออยู่ด้วย
สุดท้ายที่สุด...โปรดรำลึกเสมอว่า "ฉันรักเธอ"

รู้ว่าควรทำ แต่ก็ทำไม่ได้


ภาพจาก:seclub.com
เคยบ้างไหมเวลาเกิดปัญหาในชีวิต  มันจะมีเสียงของเหตุผลบอกเราว่า
เราต้องแก้ปัญหาอย่างนี้สิ ทำอย่างนี้สิ แต่สิ่งที่เราทำลงไปจริง ๆ
กลับกลายเป็นทำตามกำลังของอารมณ์ในขณะนั้น ซึ่งเราก็รู้ว่า
มันไม่ได้ช่วยให้เหตุการ์ณดีขึ้นซ้ำอาจเลวร้ายลงไป หรือมากที่สุด
คือไม่สามารถแก้ไขให้กลับไปดีดังเดิมได้อีกเลย แต่เราก็ยังทำไม่ได้
และกับคนที่เราร่วมชีวิตด้วยที่เขาก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนเรา
และถ้าเขาจะทำไม่ได้เหมือนกัน มันก็คงไม่แปลก แต่สิ่งที่ได้รับผล
กระทบแห่งอารมณ์นั้นบางครั้งมันเป็นเพียงสิ่งของที่มีเงินก็ซื้อใหม่ได้
แต่ถ้าสิ่งนั้นมันมีชีวิตจิตใจ การกระทำนั้นมันคงยากที่จะลบเลือนไปจากใจ
ดวงนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นเราต้องหยุดที่ตรงไหนล่ะเหตุการ์ณมันถึงจะ
ไม่ทำร้ายความรู้สึกของทุกฝ่าย เราพูดว่าเราไม่อยากเจอเหตุการ์ณ
นั้นอีกแล้ว แต่เราห้ามเขาได้หรือ ในเมื่อเรายังห้ามตัวเองไม่ได้ หรือจริง ๆ
แล้วเราต้องหยุดไว้ที่ตัวเราเองก่อน 

9/26/10

นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน






อุตสาห์สัญญาว่าจะอัพบล็อคให้ต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่ค่อยสบาย
แต่ก็ทำไม่ได้จริง ๆเพราะทั้งเพลียและก็ไม่มีเรี่ยวแรงเลย
วันนี้ก็ได้ลุกมานั่งเขียนแล้วก็อยากจะเขียนเกี่ยวกับวรรณกรรม
ที่น่ารัก ดีกว่า เพราะผู้เขียนบอกว่า วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้
เหมาะสำหรับผู้อ่านอายุ 8-88 ปี เลยทีเดียว


เป็นหนังสือที่น่ารักมาก ๆ เล่าถึงเจ้านกนางนวลสีเงินที่บินมาพร้อมกับฝูงตัวนึงแต่โชคร้ายที่พลัดตกไปที่ทะเลและถูกคราบน้ำมันเกาะจับติดขนปีกจนหมดแรงขยับปีกบินสุดท้ายร่อนลงมาได้พบกับเจ้าแมวอ้วนใจดีชื่อ ซอบาส
นกนางนวลขอให้เจ้าแมวสัญญาว่าหากนางใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่เบ่งไข่นกนางนวลออกมา เจ้าแมวซอบาสจะช่วยรักษา
สัญญาว่าจะดูแลไข่ของมันให้ปลอดภัยจนกว่าจะฟักและสอนให้ลูกนกบินได้ ได้หรือไม่ ซอบาสรู้ว่าเป็นคำสัญญาที่ยากยิ่ง
แต่ด้วยใจที่มีเมตตามันได้รับคำมั่นสัญญากับนกนางนวลเมื่อแม่นกสิ้นใจมันพร้อมกับพลพรรคมวลแมวท่าเรือทั้งหลายจึงเฝ้าอุ้มชูฟูมฟักเจ้านกน้อยจนออกมาจากไข่และคิดว่าตัวเองเป็นลูกแมว แต่สุดท้ายด้วยสัญชาติญาณของมันทำให้นกน้อย
อยากบินไปบนฟ้ากว้างเหมือนแม่นกผู้กล้าหาญของมันเหล่ามวลแมวจึงสรรหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะให้ลูกนกบินได้ตามที่ได้ให้คำสัญญาไว้แก่แม่ของมันทั้งที่มันเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับแมว
สุดท้ายก็ได้มนุษย์ศิลปินใจดีช่วยเหลือพร้อมกับซอบาสและกำลังใจจากมวลแมวทั้งหลายลูกนกโผบินได้เป็นครั้งแรกเจ้านกร้องบอกแมวอ้วนซอบาสว่า “ฉันรักแม่จ้ะ แม่เป็นแมวดีที่สุด”
“ฉันจะไม่มีวันลืมแม่เลยจ้ะ แมวอื่น ๆ ด้วย”  ซอบาสเฝ้ามองนกนางนวลอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมันไม่รู้ว่า เพราะหยดน้ำฝนหรือหยดน้ำตาที่เอ่อท้นดวงตาสีเหลืองของมัน  แมวดำตัวใหญ่และอ้วนพี แมวทรงคุณธรรมแมวประเสริฐ แมวท่าเรือ




9/18/10

จิตขณะแรกในชีวิต

  เนื่องด้วยพักนี้จะสนใจในเรื่องการปฏิสนธิจิตมาก ๆ
แล้วก็เรื่องกฏแห่งกรรม ทำกรรมใดจะไปเกิดในภพภูมิใด
ขณะสุดท้ายของชีวิตคิดดีจะไปเกิดในภพภูมิดี ก็พอดีไปเจอ
บทความจิตขณะแรกในชีวิตเลยคัดลอกมาให้ได้อ่านกันค่ะ
ที่มาบทความ :  http://buddhiststudy.tripod.com/ch10.htm
รั้งแล้วครั้งเล่าที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 เป็นจิตเห็นบ้าง   จิตได้ยินบ้าง   จิตที่พอใจในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินบ้าง   จิตเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ   เราอาจสงสัยว่าจิตเหล่านี้มีหน้าที่ต่างกันหรือไม่   จิตเห็นและจิตที่พอใจในรูปารมณ์นั้นเกิดไม่พร้อมกัน   จิตสองดวงนี้ต่างกันและทำกิจต่างกัน   เราจะเข้าใจจิตดีถ้าเรารู้ลำดับการเกิดของจิตและรู้กิจของจิต    จิตเกิดขึ้นโดยไม่ทำกิจไม่ได้ จิตแต่ละดวงต่างทำ กิจ ของตน   กิจของจิตทั้งหมดมี 14 กิจ
จิตที่เกิดขณะแรกในชีวิตก็ต้องทำกิจด้วย    การเกิดคืออะไร  และ อะไร   ล่ะเกิด    เราพูดเรื่องเด็กเกิด แต่ความจริงแล้วมีแต่ นามธรรมและรูปธรรม เท่านั้นเกิด  คำว่า "เกิด" เป็นบัญญัติ   เราควรพิจารณาว่าการเกิดจริงๆนั้นเป็นอย่างไร   นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับทุกขณะ   ฉะนั้น   การเกิดและการตายของนามรูปก็มีทุกขณะ    เพื่อจะได้เข้าใจว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิด   เราควรรู้ปัจจัยที่ทำให้นามรูปเกิดขึ้นในขณะแรกของชาติหนึ่งๆ
ในชีวิตของเราอะไรเกิดก่อน   นามหรือรูป?   ทุกๆขณะในชีวิตของเราต้องมีทั้งนามและรูป   ในภูมิที่มีขันธ์ 5 (นามขันธ์ 4 และรูปขันธ์ 1)    นามธรรมเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีรูป   จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่อาศัยรูป    ขณะหนึ่งๆในชีวิตเป็นจริงอย่างไร   ขณะแรกของชีวิตก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้นด้วย   ในขณะแรกของชีวิตนั้น   นามและรูปต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน   จิตที่เกิดขณะแรกนั้นเรียกว่า ปฏิสนธิจิต    เมื่อไม่มีจิตดวงใดเกิดได้โดยไม่อาศัยปัจจัย   ปฏิสนธิจิตก็ต้องเกิดเพราะปัจจัยด้วย   ปฏิสนธิจิตเป็นจิตขณะแรกในชาติหนึ่งๆ   เพราะฉะนั้นจึงต้องมีเหตุในอดีตเป็นปัจจัยด้วย    บางคนอาจสงสัยเรื่องชาติก่อนๆ   แต่คนเราจะต่างกันอย่างไรได้ถ้าไม่มีชาติก่อนๆ   เราเห็นได้ว่าคนเราเกิดมาต่างกันตามการสะสม
เราจะบอกอุปนิสัยของเด็กโดยดูจากพ่อแม่ได้ไหม   ที่เราใช้คำว่า "อุปนิสัย" นั้น  ความจริงก็คือ  นามธรรม    พ่อแม่จะส่งนามธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไปทันทีนั้นให้กับอีกคนหนึ่งได้หรือ?   จะต้องมีเหตุปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เด็กมีอุปนิสัยอย่างนั้น   จิตเกิดดับสืบต่อกัน   ฉะนั้นจิตทุกดวงจึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น    จิตขณะแรกของชาตินี้เกิดต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน (จุติจิต)   ด้วยเหตุนี้เอง   อุปนิสัยในอดีตจึงสืบต่อมาโดยสะสมในจิตดวงหนึ่งสู่จิตดวงต่อไปและจากชาติก่อนสู่ชาตินี้
เพราะเหตุที่ว่าเราทุกคนสะสมอุปนิสัยต่างๆกันในชาติก่อนๆ   ทุกคนจึงเกิดมามีจริตอัธยาศัยต่างๆกัน
คนเรามิได้เกิดมามีอุปนิสัยต่างกันเท่านั้น   แต่ยังเกิดในสิ่งแวดล้อมต่างกันอีกด้วย   บางคนเกิดในสิ่งแวดล้อมที่สุขสบาย   บางคนเกิดในสิ่งแวดล้อมที่ทุกข์ยาก    การที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น   เราต้องไม่ติดคำสมมุติบัญญัติว่า   "บุคคล"  หรือ  "สิ่งแวดล้อม"    ถ้าเราพิจารณาโดยปรมัตถธรรมก็จะเห็นว่า การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สุขสบายหรือทุกข์ยากนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากการรู้อารมณ์ที่ดีบ้าง   ไม่ดีบ้าง  ทางตา  หู  จมูก   ลิ้น  กาย  เป็น กุศลวิบาก   หรือ อกุศลวิบาก   นั่นเอง    วิบากจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้   วิบากเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม   ทุกคนทำกรรมต่างกันจึงได้รับผลต่างกัน   การที่คนเราเกิดในสิ่งแวดล้อมต่างกันนั้นต้องมีเหตุคือ   กรรมในชาติก่อนเป็นปัจจัย   กรรมทำให้เกิด ปฏิสนธิจิต เป็น วิบาก คือ  เป็น ผลของกรรม
ในโลกนี้เราเห็นมนุษย์และสัตว์เกิดมาต่างๆกัน   เมื่อเปรียบเทียบชีวิตของสัตว์และชีวิตของมนุษย์   จะเห็นว่าการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นทุกข์   เป็นอกุศลวิบาก    การเกิดเป็นมนุษย์เป็นกุศลวิบาก   แม้ว่าจะเกิดเป็นคนยากจนหรือต้องประสบความทุกข์ยากต่างๆนานาตลอดชีวิต   ปฏิสนธิจิตของแต่ละคนเป็นกุศลวิบากต่างระดับ   เพราะกุศลกรรมซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากนั้นมีหลายระดับ
ในขณะแรกของชีวิต   กรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตและรูปเกิดขึ้นพร้อมกัน   บางคนอาจสงสัยว่าอะไรทำให้รูปเกิดในขณะแรกของชีวิต    เราเห็นแต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาต่างกัน   บางคนแข็งแรง  บางคนอ่อนแอ   บางคนก็พิการแต่กำเนิด    ต้องมีเหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้น   กรรมนั่นเองที่เป็นปัจจัยให้นามและรูปเกิดขึ้น
กรรมทำให้รูปที่ไม่ใช่ร่างกาย   และรูปที่เป็น  "พืชพันธุ์ไม้ต่างๆ" เกิดได้ไหม?   พืชไม่ได้ "เกิด" เพราะพืชทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมไม่ได้   พืชไม่มีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด   อุตุ (อุณหภูมิ) เป็นปัจจัยให้เกิดพืช    สำหรับมนุษย์นั้น  กรรมเป็นปัจจัยให้รูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต   ถ้ากรรมไม่ทำให้นามและรูปเกิดตั้งแต่ปฏิสนธิขณะ   ก็ไม่มีชีวิต  อุตุ ก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิด   ถ้าอุณหภูมิไม่เหมาะสม   ชีวิตที่เกิดมานั้นก็เจริญเติบโตไม่ได้   ทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับไป จิต ดวงต่อไปก็เกิดขึ้น   และเริ่มเป็นปัจจัยให้เกิดรูป    นอกจากนั้น อาหาร ก็ทำให้รูปเกิดด้วย ร่างกายจึงเจริญเติบโตได้    ดังนั้นจะเห็นว่า   นอกจากกรรมแล้วก็มีปัจจัยอื่นๆอีกที่ทำให้รูปเกิด   คือ  จิต  อุตุ  และ อาหาร
กรรมเป็นปัจจัยให้รูปเกิดไม่เฉพาะในขณะปฏิสนธิเท่านั้นแต่ตลอดชีวิตทีเดียว   กรรมไม่แต่จะเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ดีบ้าง   ไม่ดีบ้างทางทวารต่างๆเท่านั้น   แต่ยังเป็นปัจจัยให้เกิดรูปซึ่งทำกิจเป็นทวารรับอารมณ์ต่างๆตลอดชีวิต   มีใครสร้างจักขุปสาทของตนเองได้บ้างไหม?    อุตุก็ทำให้จักขุปสาทเกิดไม่ได้   กรรมเท่านั้นที่ทำได้   การเปลี่ยนดวงตาใหม่จะไม่เป็นผลเลยถ้ากรรมไม่ทำให้จักขุปสาทของผู้รับดวงตาเกิดขึ้น
ครรภ์มารดาก็มิใช่เป็นที่เกิดที่เดียวเท่านั้น   จากคำสอนของพระผู้มีพระภาค   เรารู้ว่าการเกิดมี 4 อย่าง คือ   เกิดในครรภ์ 1   เกิดในไข่ 1    เกิดในที่ชื้น 1 และเกิดเป็นโอปปาติกะ 1
บางคนอยากรู้ว่าชีวิตในครรภ์มารดานั้นเริ่มต้น เมื่อใด    ชีวิตเริ่มต้นขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมกับ
กัมมชรูป   ชีวิตสิ้นสุดลงเมื่อจิตดวงสุดท้าย (จุติจิต) ดับ    ตราบใดที่จุติจิตยังไม่ดับ   ชีวิตก็ยังดำรงอยู่   ไม่มีใครรู้ขณะที่จุติจิตของผู้อื่นเกิดขึ้นและดับไป   นอกจากผู้ที่ได้เจโตปริยญาณ    พระผู้มีพระภาคและผู้ที่ได้เจโตปริยญาณสามารถรู้ขณะจุติของผู้อื่นได้
เราอาจสงสัยว่ากรรมใดในชีวิตของเราจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดชาติหน้า    บางคนเชื่อว่าชาตินี้ทำกุศลมากๆชาติหน้าก็ต้องเกิดดีแน่   แต่กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมในชาตินี้    ในอดีตชาติ   เราก็ได้ทำอกุศลกรรมและกุศลกรรมมาแล้วเช่นเดียวกับในชาตินี้ซึ่งเป็นกรรมหนักเบาต่างๆ    กรรมบางอย่างก็ให้ผลในชาติที่ทำกรรมนั้น กรรมบางอย่างก็ให้ผลโดยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในชาติหน้าหรือในชาติต่อๆไป   เราได้ทำกรรมต่างๆในอดีตชาติซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดอีก   แต่กรรมเหล่านั้นยังไม่สุกงอมที่จะให้ผล   เราไม่รู้ว่ากรรมใดจะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติหน้า
ถ้าอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ (ปฏิสนธิ) เกิด  ชาติหน้าก็เป็นทุคติ   ซึ่งจิตที่จะเกิดก่อนจุติจิตเป็นอกุศลจิตที่มีอนิฏฐารมณ์โดยกรรมเป็นปัจจัย    ปฏิสนธิจิตของชาติหน้าซึ่งเกิดต่อจากจุติจิตนั้นมีอนิฏฐารมณ์เดียวกับอกุศลจิตก่อนจุติจิต   ถ้ากุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิด   ชาติหน้าเป็นสุคติ   ซึ่งกุศลจิตจะเกิดก่อนจุติจิตและมีอิฏฐารมณ์โดยกรรมเป็นปัจจัย    ปฏิสนธิจิตของชาติหน้ามีอิฏฐารมณ์เดียวกับกุศลจิตก่อนจุติ
บางคนอยากรู้ว่า   เขาจะทำให้ชาติหน้าเป็นสุคติโดยบังคับจิตที่เกิดก่อนจุติจิตให้เป็นกุศลได้ไหม   บางคนก็นิมนต์พระมาสวดเพื่อให้ผู้ที่กำลังจะตายเกิดกุศลจิต    อย่างไรก็ตาม   ไม่มีใครรู้แน่ว่าผู้นั้นจะเกิดในสุคติ   นอกเสียจากว่าผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว    ไม่มีใครบังคับจิตได้ เราบังคับความคิดของเราขณะนี้ได้ไหม   เมื่อบังคับไม่ได้   เราจะบังคับความคิดก่อนตายได้อย่างไร   ไม่มีตัวตนที่ตัดสินให้ชาติหน้าเกิดที่ไหนได้   แม้ว่าจะได้ทำกรรมดีมามาก   ก็อาจมีอกุศลกรรมในชาติก่อนๆเป็นปัจจัยให้เกิดในทุคติภูมิในชาติต่อไปได้   เมื่ออกุศลจิตหรือกุศลจิตขณะสุดท้ายดับไปแล้ว   จุติจิตก็เกิดแล้วดับไป    แล้วปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปก็เกิดสืบต่อเริ่มเป็นชาติใหม่ทันที   ตราบใดที่ยังมีกรรม   ตราบนั้นก็ยังมีชาติต่อๆไปอีก
เพราะเหตุที่ปฏิสนธิจิตทำกิจเกิดขึ้นเป็นขณะแรกในภพใหม่   ชาติหนึ่งๆจึงมีปฏิสนธิจิตเพียงดวงเดียวเท่านั้น   ไม่มีตัวตนที่ย้ายจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง   มีแต่นามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป   ชาตินี้ต่างจากชาติก่อน   แต่สืบเนื่องกันโดยชาติก่อนเป็นปัจจัยให้ชาตินี้เกิดขึ้น    เพราะเหตุที่ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน อุปนิสัยที่สะสมมาในชาติก่อนๆจึงสืบต่อในปฏิสนธิจิต   ฉะนั้น   อุปนิสัยความโน้มเอียงต่างๆในชาตินี้จึงมีชาติก่อนๆเป็นปัจจัย
เราอาจจะดีใจที่ได้เกิดมาถ้าไม่รู้ว่าการเกิดเป็นผลของกรรม   ทั้งยังจะต้องเกิดต้องตายอีกตราบเท่าที่ยังมีกรรม   การไม่เห็นภัยของการเกิดนั้นเป็นอวิชชา ขณะนี้เราอยู่ในโลกมนุษย์   แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง   ก็ไม่แน่ว่าเราจะไม่เกิดในทุคติภูมิในชาติต่อๆไป   เราได้ทำทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรมในอดีตอนันตชาติ    ใครจะรู้ได้ว่ากรรมใดจะทำให้เกิดปฏิสนธิจิตในชาติต่อไปแม้ว่าเราจะทำกุศลอยู่เนืองๆ    บางคนคิดว่าการเกิดในสวรรค์นั้นเป็นที่น่าปราถนา   แต่เขาหารู้ไม่ว่าชีวิตในสวรรค์นั้นไม่ยั่งยืน   เมื่อชีวิตในสวรรค์สิ้นสุดลง   อกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วนั้นอาจเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดในทุคติภูมิได้
ในมัชฌิมนิกาย  อุปริปัณณาสก์   สุญญตวรรค
พาลบัณฑิตสูตร   ข้อความมีว่า   สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ   ณ  พระวิหารเชตวัน   อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี    พระองค์ตรัสกะพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายถึงความทุกข์ทรมานในนรก   ความทุกข์ในเดรัจฉานภูมิว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เรากล่าวเรื่องกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน   แม้โดยเอนกปริยายแล   เพียงเท่านี้   จะกล่าวให้ถึงกระทั่งกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานเป็นทุกข์   ไม่ใช่ทำได้โดยง่ายๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปในมหาสมุทร   ทุ่นนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก     ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวันออก   ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้   ถูกลมใต้พัดไปทางทิศเหนือ    มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น   ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุดขึ้นครั้งหนึ่ง    ดูกรภิกษุทั้งหลาย   พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน    เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ"
"ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย   พระพุทธเจ้าข้า   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ถ้าจะเป็นไปได้บ้างในบางครั้งบางคราว   ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอนฯ"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ยังจะเร็วกว่า   เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตคราวหนึ่งแล้วจะพึงได้   ยังยากกว่านี้   นั่นเพราะเหตุไร   ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เพราะในตัวคนพาลนี้ไม่มีความประพฤติธรรม   ความประพฤติสงบ  การทำกุศล   การทำบุญ  มีแต่การกินกันเอง   การเบียดเบียนคนอ่อนแอฯ    ดูกรภิกษุทั้งหลาย   คนพาลนั้นนั่นแล   ถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราวไม่ว่ากาลไหนๆ   โดยล่วงระยะกาลนาน   ก็ย่อมเกิดในสกุลตํ่า  คือ   สกุลคนจัณฑาล หรือสกุลพรานล่าเนื้อ   หรือสกุลคนจักสาน   หรือสกุลช่างรถ   หรือสกุลคนเทขยะ   เห็นปานนั้นในบั้นปลาย   อันเป็นสกุลคนจน   มีข้าวนํ้าและโภชนาหารน้อย   มีชีวิตเป็นไปลำบาก   ซึ่งเป็นสกุลที่จะได้ของกินและเครื่องนุ่งห่มโดยฝืดเคือง   และเขาจะมีผิวพรรณทราม   น่าเกลียดชัง  ร่างม่อต้อ มีโรคมาก  เป็นคนตาบอดบ้าง   เป็นคนง่อยบ้าง   เป็นคนกระจอกบ้าง   เป็นคนเปลี้ยบ้าง   ไม่ได้ข้าว  นํ้า  ผ้า  ยาน   ดอกไม้  ของหอม   เครื่องลูบไล้  ที่นอน
ที่อยู่อาศัย   และเครื่องตามประทีป   เขาจะประพฤติกายทุจริต   วจีทุจริต  มโนทุจริต   ครั้นแล้วเมื่อตายไป   จะเข้าถึงอบาย  ทุคติ   วินิบาต  นรกฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย   นี้ภูมิของคนพาลครบถ้วนบริบูรณ์"
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโทษของการเกิดโดยนานาประการ    พระองค์ตรัสว่า   การเกิดเป็นทุกข์ซึ่งติดตามด้วย   ชรา  พยาธิ  และมรณะ    พระองค์ทรงแสดงความปฏิกูลของร่างกาย   และทรงเตือนว่า   ขณะนี้เองร่างกายก็เป็นทุกข์   ไม่เที่ยง  และไม่ใช่ตัวตน   ถ้าเรายังคงยึดถือจิตและร่างกายว่า   เป็นตัวตน    สังสารวัฏฏ์ของการเกิดการตายก็ไม่มีวันสิ้นสุด
ในสังยุตตนิกาย  นิทานวรรค   อนมตัคคสังยุตต์  ปฐมวรรคที่ 1  ปุคคลสูตร   มีข้อความว่า   สมัยหนึ่ง   พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ   เขตพระนครราชคฤห์   พระองค์ตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย   สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปป์หนึ่ง   พึงมีโครงกระดูก  ร่างกระดูก กองกระดูก   ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้    ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้   และกระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้วก็ไม่พึงหมดไป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร   เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้   ฯลฯ   พอเพื่อจะหลุดพ้น   ดังนี้ฯ"
พระผู้มีพระภาค  ผู้สุคตศาสดา   ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว   จึงตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
"เราผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่   ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า
กระดูกของบุคคลหนึ่งที่สะสมไว้กัปป์หนึ่ง
พึงเป็นกองเท่าภูเขา   ก็ภูเขาที่เรากล่าวนั้น
คือภูเขาใหญ่ชื่อเวปุลละ   อยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ
ใกล้เมืองราชคฤห์   อันมีภูเขาล้อมรอบ
เมื่อใดบุคคลเห็นอริยสัจจ์   คือทุกข์
เหตุเกิดแห่งทุกข์   ความล่วงพ้นทุกข์
และอริยมรรคมีองค์ 8   อันยังสัตว์
ให้ถึงความสงบทุกข์ด้วยปัญญาอันชอบ
เมื่อนั้นเขาท่องเที่ยว 7 ครั้งเป็นอย่างมาก
ก็เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้
เพราะสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง   ดังนี้แลฯ"
เป็นบุญแล้วที่เกิดเป็นมนุษย์   เพราะเราจะเจริญอบรมปัญญาได้   เมื่อบรรลุอริยสัจจธรรมขั้นแรก (ขั้นโสดาบัน)   ประจักษ์แจ้งอริยสัจจ์ 4 แล้ว   จะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ   และจะรู้แน่ว่าในที่สุดก็จะพ้นจากการเกิด

9/17/10

นิพพานนอกวัด(ตอน2)

ที่มาหนังสือ: นิพพานนอกวัด/ผู้แต่ง:พระอาจารย์วิเชียร วชิรปัญโญ
Tyrol,_Austria_-_Misty_Mountain_Village ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
              หากเรามีสติกำหนดรู้ทุกขณะแห่งความคิดหรือจิตเรา และมี
สติสัมปชัญญะรู้ตัวเองตื่นตัวเองอยู่เสมอ เรานั้นย่อมรู้เท่าทันอย่างไม่
ต้องอาศัย ปัจจัยมาจากภายนอกเพียงเราตื่นตัวรู้เองอยู่ตลอด นั้นแหละ
คือการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้แล้วว่าเราเกิดอารมณื
ทั้งดีและไม่ดีขึ้นมา เรากล้าที่จะปล่อยวางกับอารมณ์เหล่านั้นขนาดไหน
เพราะบางคนก็รู้ทั้งรู้ว่าอารมณ์ไม่ดี อารมณ์กำลังขุ่นมัว ก็อดไม่ได้ทนไม่ไหว
ก็เกิดการทะเลาะโต้เถียงกันไป
     เมื่อเรารู้แล้วว่า อารมณ์นั้นไม่ดีทั้ง 2ฝ่าย เราก็ควรเพียงรู้และเห็นโทษ
ของอารมณ์ทั้งคู่ ว่าเป็นอย่างไรเมื่อเราไหลไปตามอารมณ์นั้น สุดท้าย
เราเองก็ต้องทุกข์เมื่อเรารู้แล้วว่า หากเราปล่อยจิตให้ตามอารมณ์นั้นไป
ผลสุดท้ายที่เราจะได้รับก็คือความทุกข์ อารมณ์ดีเกิดขึ้น ก็อยากให้อารมณ์
นั้นอยู่กับเรานาน ๆ พยายามรักษาอารมณ์แห่งความสุขและพอใจนั้นให้อยู่
กับตนเองให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่สุดท้ายก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป
จากอารมณ์ดี เปลี่ยนมาเป็นอารมณ์ไม่ดี เพราะต้องหลุดจากจิตที่มีอารมณ์ดี
ครอบงำ มาเป็นจิตที่อารมณ์ไม่ดีมาครอบงำไว้แทน
     การนั่งสมาธิก็เป็นเพียงการฝึกให้เรามีสติเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะฝึกให้เรา
เราเจริญด้วยปัญญาได้ อย่างที่กล่าวไว้ว่า ก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดี รู้ตื่นตัวอยู่เสมอว่า
สิ่งนั้นมันไม่ดี แต่ก็อยากจะทำในสิ่งนั้น ก็เลยกระทำสิ่งนั้นลงไป เพราะขาดปัญญา
มาคอยยับยั้งหาเหตุและผล ให้เราละและวางอารมณ์นั้นให้ได้ ดังนั้นคราวใดที่ใจ
เราถูกกระทบจากสภาพอารมณ์ภายนอก หน้าที่ของเราก็คือตามดูตามรู้ กำหนด
รู้ให้เห็นว่าอารมณ์เราเป็นเช่นไร เมื่อเรารู้ว่าเป็นเช่นไรแล้วเราก็วางสิ่งนั้นเสีย
เราก็หลุดพ้นไปได้โดยอัตโนมัติ
     จึงได้เห็นว่า ถึงแม้เราจะไม่มีเวลามานั่งสมาธิเดินจงกรม หรือเข้าวัดฟังเทศน์ก็
ตาม แต่เราก็สามารถที่จะสร้างพระนิพพานให้เกิดกับตัวเราได้ โดยที่ไม่ต้องมีรูป
แบบที่ลำบากอย่างนั้น ขอเพียงให้เรามีจิตที่รู้ว่าในขณะที่กายเราถูกกระทบ
แล้วจิตรู้สึกเช่นไร แล้วก็นำปัญญามาแก้ไขและวางอารมณ์นั้นให้ได้เร็วที่สุด
ไม่ว่าอารมณ์ดีหรือไม่ก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วต้องวางอารมณ์ให้เขาอยู่ในส่วนของเขาไป
ไม่ต้องนำอารมณ์นั้นมาเข้าฝังในจิตของเรา ปล่อยจิตของเราให้อยู่อย่างเอกเทศ
โดยมีความนิ่งและว่างอย่างเดียว อารมณ์ความสุขเกิดขึ้นรู้อยู่แต่ไม่ไปตาม
อารมณ์ทุกข์เกิดขึ้นรู้อยู่แล้วก็หาวิธีแก้ไขคลายความทุกนั้นให้ได้ไป แล้วก็วาง
ให้เขาอยู่อย่างอิสระ
     การกระทำเช่นนี้ กล่าวแล้วรู้สึกว่าง่าย แต่เวลาลงมือทำรู้สึกว่ายากการที่จะปล่อย
และละอารมณ์ในแต่ละอย่างไม่ใช่ของง่าย อารมณ์แห่งความทุกข์ก็พอหาทางออก
ให้ได้ แต่อารมณ์แห่งความสุข ที่ไม่ต้องให้เก็บไว้นี้น่าจะวางยากอยู่ไม่น้อย แต่ให้
เราทั้งหลายพึงรู้ได้เลยว่า ตราบใดที่จิตของเรายังมีความรู้สึกว่ามีความสุขในอารมณ์
อยู่ แล้วต้อไปเราก็ต้องมีทุกข์ในอารมณ์เช่นเดียวกัน เรียกว่า สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็
อยู่ที่นั้นตามกันมาเหมือนกับเงาตามตัว เหมือนกับหน้ามือและหลังมือ ก็มาจากมือ
ข้างเดียวนี้เอง หากเราคว่ำมือหลังมือก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเราหงายมือขึ้น ฝ่ามือก็ปรากฏ
อยู่อย่างนั้น ทำให้เราเห็นว่าเราควรที่จะวางใจของเราให้พ้นไปเสียจากสิ่งทั้งสองนี้
1192388720 จบแล้วค่ะ จริง ๆแล้วหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าอ่านนะคะ
ถ้ามีโอกาสลองไปหาอ่านกันดูค่ะ
ช่วงนี้อาจจะอัพบล็อคช้าไปนิดเนื่องจากอิทธิฤทธิ์เจ้าตัวน้อยในท้อง
ทำให้ไม่ค่อยมีแรงเลย แต่สัญญาจะมาเขียนสม่ำเสมอแน่นอนค่ะ

9/16/10

WAIT FORคนที่ฉันเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ…แล้วเค้าก็มา


ฉันเฝ้ารอคอยเค้ามานานหนึ่งปีเต็ม ถึงวันนี้หัวใจมันท้อจนคิดว่าคงไม่มีวันนั้น
ฉันทำเป็นลืม ๆ ไปบ้าง ไม่อยากจะนึกถึงอีกแล้ว
แต่จู่ ๆ วันที่รอคอยก็มาถึง ไม่ได้นึกฝัน
หลังจากออกจากห้องน้ำเช้าวันนั้น ผลการตรวจจากตัวtestที่ซื้อมาจากร้านขายยา
หน้าหมู่บ้านผลมันเป็น บวก หรือแปลว่า ฉันตั้งครรถ์แล้ว
ยังงัวเงียอยู่ ตาฝาดหรือเปล่านี่ ก็รอตั้งนานจนไม่คิดว่าจะได้เค้ามา
แต่จู่ ๆเค้าก็มาอยู่ในท้องเรา ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตน้อย ๆอยู่เป็นเพื่อนกันตลอดเวลา
อย่างน้อย ๆ 9 เดือน เราจะอยู่ด้วยกันตลอด24ชม กินด้วยกัน นอนด้วยกัน
อ่านหนังสือด้วยกัน แล้วก็ดูทีวีด้วยกันและตอนกลางวันพ่อไปทำงานแม่ก็จะได้
คุยกับหนู บ้านของเราจะไม่เหงาอีกต่อไป
พ่อกับแม่จะรอคอยวันที่จะได้เห็นหน้าหนูนะจ้ะ
uy179
หลังจากที่รอคอยมานานวันนี้แคทก็มีน้องอยู่ในท้องจริง ๆ แล้ว
ดีใจก็เลยอยากบอกใครสักคน

9/13/10

นิพพานนอกวัด (ตอน1)

ที่มาหนังสือ: นิพพานนอกวัด/ผู้แต่ง:พระอาจารย์วิเชียร วชิรปัญโญ
       วันนี้มีหนังสือมาแนะนำอีกเช่นเคย คิดว่าสำหรับผู้ที่ยังทำงาน มีครอบครัวที่
ยังต้องดูแล ก็สามารถรักษาจิตใจหรือบวชใจอยู่ที่บ้านได้ อ่านแล้วเป็นอะไรที่
รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันไม่ได้ยุ่งยาก ต้องเข้าไปนั่งสมาธิหรือสวดมนต์
ที่วัดอย่างเดียวสามารถทำได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้เพราะเราทำมาจากใจ
จะยกตัวอย่างการปฏิบัติอยู่ที่บ้านตามในหนังสือมาให้อ่านกันสักหนึ่งเรื่องค่ะ
 icon_mini1137
ไม่ได้นั่งสมาธิเดินจงกรมแล้วจะไปนิพพานได้หรือไม่
     รูปแบบแห่งการปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่จุดแห่งการหมดจากกรรมนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยรูปแบบมากนัก เพราะในสมัยนี้คนเราก็จะยึดติด
ยึดถือกับรูปแบบของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดิน
จงกรม อยู่เป็นกิจประจำทุกวัน เรียกว่าทำเป็นกิจของตน บางคนก็ทำ
ตามหน้าที่ บางคนทำเพราะถูกบังคับ เช่นกลัวว่าหากไม่สวดมนต์แล้ว
เดี๋ยวบารมีจะไม่เต็ม ไม่นั่งสมาธิแล้วจิตจะไม่สงบ นี้คือรูปแบบที่เราได้
เห็นกันชัดเจน และเป็นตัวแบ่งให้ผู้ที่ปฏิบัติตามที่กิจวางไว้สมบูรณ์มีใจ
ที่มุ่งหวังได้
     แต่สำหรับท่านที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์ได้ ก็จะมา
กล่าวโทษตนเองและกดตนเองให้ต่ำลง บางท่านก็อ้างว่าไม่มีเวลา
ที่จะสวดมนต์ ไม่มีเวลาที่จะนั่งสมาธิ ไม่มีเวลาเดินจงกรม เราก็คง
ไปสู่นิพพานไม่ได้ กำลังใจก็พลอยหมดถดถอยลงไป ก็ไปกล่าวโทษว่า
เราคงไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ปฏิบัติ เรามีกรรมมากก็เลยทำความดีได้
ลำบาก บางท่านมีสามีภรรยา สามีบางท่านชอบการปฏิบัติสวดมนต์
ไหว้พระ แต่ภรรยาไม่ชอบการปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระ
     ก็เลยรู้สึกว่าจะมีการขัดกันในความรู้สึกของผู้ที่จะปฏิบัติ เช่นบางวัน
สามีเอาแต่สวดมนต์ ภรรยาก็เอาแต่ดูละคร ไม่สนใจในการปฏิบัติ
หรือบางท่านอาจจะหนักถึงขนาดทำประชดประชันกัน บางท่านก็ว่า
ถ้าชอบปฏิบัติธรรมนัก ก็ไปบวชเสียเถอะ หรือภรรยาบางท่านสามีก็จะ
พูดในเชิงประชดประชันว่า แล้วเมื่อไหร่แม่ชีจะไปวัด เรียกว่ามีการ
ขัดขวางในการทำความดี บางท่านก็เลยท้อใจว่าตนเองก็หมั่นทำความ
ดีและปฏิบัติตามระเบียบแล้ว แต่ทำไมคนใกล้ตัวถึงกลับมีอคติกับเราด้วย
     บางท่านก็เลยเลิกการปฏิบัติ เพราะไม่สามารถที่จะปรับสภาพเข้ากับ
สถานะความเป็นอยู่ปัจจุบัน ดังที่เราจะได้ยินผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
กล่าวว่า โลกกับธรรมนั้น ไม่สามารถที่จะไปด้วยกันได้ เราต้องเลือก
อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเราจะไปสู่ธรรม เราต้องละความเป็นโลก เรา
ถึงจะไปในทางธรรมได้ ต้องละจากการเป็นอยู่อย่างโลก ต้องเลิก
การพบปะสังสรรค์ ต้องเลิกการมีครอบครัว ต้องเลิกการดำเนินกิจการ
ฝ่ายของโลกให้หมด เรียกว่าต้องกำจัดบ่วงทางโลกให้หมดเสียก่อน
ต้องสละสิ่งนั่นสิ่งนี้ให้ตนเองเป็นผู้ไม่มีภาระทางโลกแล้ว เราก็จะไป
สู่นิพพานได้ง่าย
     ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมมีมาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสมัยปัจจุบัน
นี้ก็ตาม เพราะว่าคนเราทั้งหลายไปติดในรูปแบบแห่งกายมากเกินไป
จะทำอะไรก็กลัวศีลจะขาด กลัวจะเป็นบาป กลัวจะไปนิพพานไม่ได้
หากศีลเราไม่ครบ บางคนก็เลยไม่กล้าที่จะเดินตามทางมรรคผลนิพพาน
ได้ เพราะไม่สามารถที่จะรักษาศีลให้ครบอยู่ได้ เมื่อศีลไม่ครบไม่บริสุทธิ์
การไปนิพพานนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน นี้คือความหลงผิดและเข้าในฝ่าย
ที่เป็นความเข้าใจตามตำราและการว่ากล่าวสืบทอดต่อๆกันมา
     การเข้าใจที่ถูกต้องตามแบบแห่งการเข้าถึงซึ่งหนทางแห่งอริยชน
นั้นดังที่กล่าวมาแล้วว่าต้องสละและละกิเลสเครื่องมัวเมาทั้ง 3 ข้อให้ได้
ซึ่งในคุณธรรม 3 ข้อนั่น ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราจะต้องรักษาศีลของเรา
ให้สมบูรณ์บริสุทธิ์ หรือท่านก็ไม่บอกว่าเราต้องนั่งสมาธิทุกวัน เราต้อง
สวดมนต์ทุกวันหรือเราต้องเดินจงกรมให้ครบเป็นประจำทุกวัน เรียกว่า
ท่านก็ไม่ได้กล่าวว่าเราต้องประกอบกิจเหล่านี้ให้ครบสมบูรณ์ถึงจะไปสู่
นิพพานได้
     หรือท่านก็ไม่ได้กล่าวว่า หากเธอจะไปสู่อริยชน เบื้องต้นนั้น เธอ
ต้องบวชเป็นพระสงฆ์เป็นภิกษุณี หรือจะต้องมาอยู่วัดถึงจะได้ไป ในการ
ละกิเลสทั้ง 3 ข้อนั้น ท่านกล่าวเพียงให้เราทั้งหลาย ฝึกลดละความยึดติด
ยึดถือในเรื่องของสภาวะจิตเท่านั้น เช่นการไม่ยึดติดในกายของตน
ไม่ลังเลสงสัยในความเป็นอริยชน และไม่ยึดติดในความดีที่เราได้กระทำ
ซึ่งในคุณธรรมทั้ง 3 ข้อจะเห็นได้ชัดว่าท่านเน้นให้เราปฏิบัติที่จิต
ของเรา ไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งใดก็ตาม ให้เรามีสติและปัญญาตามดู
ตามรู้ความเป็นไปแห่งอารมณ์ของตนเอง
     คนเรานั้นหากสามารถที่จะยับยั้งอารมณ์ของตนได้ กายวาจาก็ไม่มี
ความสำคัญแต่อย่างใด เพราะเหตุว่าเราได้ไปดับต้นก่อให้เกิดกิเลส
ได้แล้ว เมื่อจิตเราหยุดกิเลสและทำลายความยึดติดในใจของเราแล้ว
การปฏิบัติทางกายก็ถือว่าเป็นเรื่องรองลงไป บางท่านเอาแต่นั่งสมาธิ
จิตก็แน่แน่วในอารมณ์แห่งความสงบในขณะที่นั่งสมาธิ มีความสงบ
เยือกเย็น สบายและมีความสุขมาก ๆ แต่พอออกจากนั่งสมาธิแล้วก็กลับ
มาสู่สภาวะเดิม ๆ จากที่ก่อนหน้านี้เป็นคนขี้โมโห ก็ยังคงโมโหเหมือนเดิม
     การปฏิบัติเช่นนี้ ถือว่าเป็นเหมือนเอาหินไปทับหญ้าเอาไว้ พอเรายก
หินออกมา เดี๋ยวหญ้าก็กลับมางอกงามเหมือนเดิม พอเวลามีความโกรธ
ความเห็นยึดถือในตัวตนว่าเป็นของเรา ก็จะมานั่งหลับตากำหนดสมาธิ
ถึงจะระงับอารมณ์ได้ คิดดูเถิดหากว่าเราจะเอาแต่นั่งสมาธิเพื่อระงับ
อารมณ์ของตน แล้วจะทันต่อเหตุการ์ณหรือไม่ จึงเห็นได้ว่า การนั่งสมาธิ
ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติแต่ไม่ใช่แนวทางทั้งหมด แนวทางที่จริง
ก็คือรู้ทันจิตของตนเอง ให้เรารู้เท่าทันจิตตนเอง แล้วเราจะควบคุมใจของ
เราได้ เมื่อเราคุมใจเราได้ ร่างกายและวาจาก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักสำคัญอีกต่อไป
     เหมือนกับเราหิวข้าว อยากรับประทานอาหาร หากเราคิดและมั่นหมาย
เข้าใจแต่ว่าที่ ๆ เราจะรับประทานอาหารได้ ก็คือที่โรงครัวของบ้านเราเท่านั้น
ที่อื่นรับประทานไม่ได้ มันไม่ถูกที่ ประเภทอย่างนี้เราก็คงจะหิวข้าวตายก่อนที่
เราจะกลับมาถึงโรงครัวของบ้าน อาหารอยู่ริมทางมากมาย ส่วนอาหารก็มี
เยอะแยะ เวลาเราหิวแล้วเราก็เลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารสั่งอาหารมา
รับประทาน เราก็คลายจากทุกข์เวทนา คือคลายจากความทุกข์ที่เป็นความหิว
เราก็รู้สึกอิ่มและมีกำลังวังชาในการที่จะประกอบการงานต่อไปได้
     แต่หากว่าเราคิดและเจาะจงแต่ว่า เราจะปฏิบัติธรรมได้เราต้องนั่งสมาธิ
สมาทานศีล นุ่งขาวห่มขาวเท่านั้นจึงจะปฏิบัติธรรมได้ ถึงจะไปนิพพานได้
คิดดูเถิดว่เราจะทันต่อกิเลสที่มันเกิดขึ้นมาหรือไม่ จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่
เราต้องมาปฏิบัติที่ใจของตน เมื่อมีสิ่งใดมากระทบกับจิตใจของเรา เราเองต้อง
รู้ให้ทันกับอารมณ์ของตนเอง และให้ละอารมณ์เหล่านั้นออกไป อารมณ์ทั้ง
ที่ดีและไม่ดี เขาย่อมวางไว้ในส่วนของเขานั่นเอง โดยที่จิตไม่ไปยึดเอา
     เรียกว่า เมื่อกิเลสหรืออารมณ์เกิดขึ้นคราวใดนั้นแหละคือหน้าที่ของผู้
ปฏิบัติ จะต้องดำเนินการเฝ้าดูอารมณ์ คราวนี้อารมณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้
โดยไม่เลือกสถานที่วันเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะไปตามให้ทันอารมณ์นั้น ๆ
เมื่อเขามาแบบไม่มีเวลาและสถานที่ เราเองก็ต้องเตรียมพร้อมโดยไม่เกี่ยง
สถานที่ วันเวลา เรียกว่าเกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น ยึดตรงไหนก็วางตรงนั้น
โดยไม่ต้องรอให้เราเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ต้องรอให้เรานั่งสมาธิกำหนดเสีย
ก่อน หากเรามัวแต่เตรียมตัวแต่งตัวนานเกินไป กิเลสอารมณ์ย่อมกินเราไป
เรียบร้อยแล้ว
uy179 ยังไม่จบนะคะแล้วเรามาต่อกันตอนที่2 ในคราวหน้าจ้ะ