8/26/10

สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)

  สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและ
อารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ
1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้างสัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์
การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง
1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต
2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลกของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก
3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)
นับเป็นเวลาหลายพันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลกและระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี



ชาวมายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยนหินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำสถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลกเมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี

    
 

พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้
เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม
เสาหินวงกลาง หมายถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี
เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีกครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่างสมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี
ฉะนั้นในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไปทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวันออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การมีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูดมายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม
ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา
 ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรากำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิตเพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง
ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่
สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

ระบบวงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมากยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแลคซี่อันโดรเมดา แต่เนื่องจากกาแลคซี่อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที จากนั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคยประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่ โดยมีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมี
โอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

ภาพแสดงถึงกาแลคซี่ทั้ง 3 ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ เป็นภาพที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้ “จิต” ศึกษา

6 วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย

ที่มา : หนังสือยุทธศาสตร์พัฒนาจิต
ความเดิมต่อจากตอนที่แล้วจ้ะ

             ตามหลักของความเป็นจริง บุคคลใดคิดอย่างใดก็จะเป็นคนเช่นนัั้น
มาดูหลักการสร้างพลังจิตให้คิดรวยดังนี้

6 วิํธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย

1     คนรวยมีความคิดที่เชื่อว่า ฉันสามารถสร้างสรรค์ชีวิตของฉันได้
       คนจนมีความคิดที่เชื่อว่า  ชีวิตของฉันปล่อยไปตามยถากรรม
ถ้าคุณต้องการชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย คุณจะต้องคิดอยากรวยก่อนเป็นประการแรก
โดยที่คุณถือพวกมาลัยรถยนต์แห่งชีวิตคุณเอง คิดถึงการที่จะมีเงินได้
อย่างไร วิธีใด โดยมีความเชื่อว่า การเงินที่คุณปรารถนานั้น จะต้องมี
ได้ดังที่คุณปรารถนา
         ต่อไปนี้เป็นการบ้านที่คุณต้องทำ ผมขอสัญญาว่า จะสามารถเปลี่ยน
ชีวิตของคุณได้ใน 7 วันข้างหน้า  ลงมือปฏิบัติ
         -อย่างคิดถึงความยากจนอีกต่อไป
         -อย่าบ่นว่า ฉันจะมีเงินได้อย่างไร มีความรู้น้อย การศึกษาต่ำ รูปร่าง
ไม่สง่างามเหมือนเขา
         -แต่จงคิดแง่บวก คิดดีในด้านสร้างสรรค์ พัฒนาในด้านที่เป็นไปได้ คือ
ไม่ว่าคุณทำอาชีพอะไร ต้องคิดว่า คุณต้องทำได้ คุณต้องได้เงิน และมีเงินได้
คุณต้องประสบความสำเร็จได้

         2 คนรวยคิดรวย คิดได้อย่างมีเ้ป้าหมาย ว่าต้องการอะไร
คุณต้องรู้สิ่งที่คุณต้องการก่อน แล้วจึงคิั้ดที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา โดยกำหนด
เป้าหมายที่จะให้ได้สิ่งนั้นเมื่อไรในอนาคต  และต้องการจะได้มากน้อย
แค่ไหน ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะได้สิ่งนั้นมาภายในเวลาที่กำหนด
           เมื่อคุณต้องการ โดยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่
การมีเงิน มีฐานะดี มีความเป็นอยู่ดี  เป้าหมายของคุณก็คือ ต้องการมีเงิน
มีฐานะ และความเป็นอยู่ดี โดยคิดมุ่งหวังอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา

         3 คนรวยตั้งปณิธานว่า ต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้
            คนจนไม่เคยตั้งปณิธานว่าจะต้องรวยให้ได้ในชีิวิตนี้
คนเราส่วนมากคิดดีอย่างมีเหตุผล ว่าทำไมจึงอยากรวย เพราะความร่ำรวย
มีเงินมีทองนั้นหมายถึง การที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน
แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะถ้าหากมีเงินร่ำรวย แต่มาจนด้านสุขภาพจิตและร่างกาย
เสียแล้ว เป้าหมายที่จะมีเงินร่ำรวยอย่างต่อเนื่องก็ต้องหยุดชะงักลงทันที
สิ่งทีดังนั้น เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ ต้องมี
สุขภาพดี อยู่เสมอด้วยเช่นกัน
น             สิ่งที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ คนส่วนมากไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เป็น
เพราะำพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ นั้นเป็นอะไร เป็น
สิ่งใด ส่วนคนรวยนั้น จะรู้สิ่งที่เขาต้องการอย่างชัดเจน แล้วก็คิดมุ่งมั่นอยู่กับ
สิ่งที่เขาต้องการโดยไม่มีวันหยุด เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้สิ่ง
ที่เขาปรารถนาให้จงได้ แต่ไม่ได้ทำผิดกฏหมายและศีลธรรม

            ความคิดที่ต้องมีเงินหรือร่ำรวยนั้น ไม่เหมือนกับความคิด เดินเล่นอยู่
ในสวนสาธารณะ ต้องคอยกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องการอันเป็นเป้าหมาย
อย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่หยุดคุณต้อง
มีความเชื่ออยู่ในจิตว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่วแล้ว
การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่คุณปรารถนนั้นก็เป็นไปได้ยาก

           4 คนรวย คิดใหญ่ คิดอย่างมีพลัง คิดต้องได้ คิดต้องมี
              คนจน คิดเล็ก คิดได้ก็ดี ไม่ได้ช่างมัน
ความลับของความร่ำรวยแท้จริงแล้วอยู่ที่  พลังอำนาจของความคิด ขึ้นอยู่
กับผู้คิด คิดอย่างไรมักได้อย่างนั้น บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดหรือรู้จักคิดย่อม
ใช้พลังอำนาจของความคิดเป็นพลังงานดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาสู่ตนได้
พลังความคิดที่จะเกิดผลได้ จะต้องมีความเชื่อร่วมด้วย

            5 คนรวย ไม่คิดถึงปัญหา หากมีปัญหาก็คิดว่าเป็นแรงเสริมให้
มุ่งมั่นเข้มแข็งขึ้น
                คนจน  คอยคิดถึงแต่ปัญหา หากมีปัญหาก็ยอมแพ้ หยุดสู้ต่อไป
การที่จะร่ำรวยได้นั้น ไม่เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ แต่หาก
เป็นการเดินทางที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ดังที่นักประพันธ์บางคน
กล่าวว่า ชีิวิตเรานั้นใช่ว่าจะเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ หากต้องเดินอยู่บนถนนที่
ขรุขระหรือมีขวากหนามบ้าง ชีวิตจึงจะมีรสชาติ เป็นคำกล่าวที่จริงทีเดียว
คนที่จะมีเงินมีทองได้ต้องทำงานหนัก คนที่จะมีชื่อเสียงได้ต้องทำงานหนัก
ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แล้วจะได้เงินได้ทอง ได้ชื่อเสียง ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคน
ล้วนแล้วแต่เป็นนักผจญภัยชีวิตที่ยอดเยี่ยม ฟันฝ่าอุปสรรคนานาชนิดมามากมาย
กว่าจะมาถึงจุดนี้คือจุดที่มั่งมีเงินทอง มีชื่อเสียง
              คนจน เห็นอุปสรรคความยากลำบากเข้าหน่อยก็เกิดความท้อใจ
พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความยากลำบากอยู่เสมอ ไม่เคยคิดกล้าที่จะฟันฝ่า
อุปสรรคความยากลำบากนั้นเลย ชอบความเป็นอยู่ที่ง่าย ๆ สะดวกสบาย
บุคคลประเภทนี้ยากที่จะเจริญ  ยากที่จะร่ำรวย และยากที่จะประสบความสำเร็จ
มีชื่อเสียงได้
            คนรวย ไม่มีความย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ่นเห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่
ช่วยพัฒนาให้มีพลังจิตที่กล้าแข้งอดทน และก่อให้เกิดประสบการ์ณ ก่อให้
เกิดปัญญาที่ช่วยให้รู้วิธีแก้ไขต่อไป ไม่ว่าอุปสรรคชนิดใดเข้ามา ก็จะเอา
ประสบการ์ณและปัญญาในอดีตมาฟันฝ่าแก้ปัญหานั้น ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

            6 คนรวย พยายามจ้องมองหาโอกาสอยู่เสมอ
               คนจน พยายามจ้องมองหาปัญหาอยู่เสมอ
คนรวยเป็นคนที่แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนอยู่เสมอ เป็นการเตรียมตัวรอโอกาส
ที่จะมาถึง เปรียบดังชาวประมงที่เตรียมใบเรือให้พร้อมอยู่เสมอพอลมมาก็แล่นเรือ
ออกสู่ทะเลลึกได้ทันที การเตรียมความรู้ความสามารถให้พร้อมอยู่เสมอเป็นการดี
เมื่อโอกาสมาถึงก็สามารถตอบรับโอกาสนั้นได้ทันที
               คนจนมักเป็นคนที่ชอบความสะดวก ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดด้ิิ้นรนแต่
ประการใด ไม่รักความรู้ ไม่คิดแสวงหาความรู้เลย ไม่เตรียมตัวเพื่อการใด ๆไม่เคย
คิดถึงโอกาส และคิดว่าชีวิตนี้ของตนเอง คงไม่มีโอกาสที่จะมีงานที่ดีคิดว่าไม่มี
ทางที่จะมีเงินร่ำรวยอีกแล้ว จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามมีตามเกิดหรือตามยถา
กรรม เหมือนปลาตายที่ลอยตามน้ำเท่านั้น
               ในโลกทางการเงิน ความกล้าเสี่ยงบางครั้งก็ทำให้ได้รับรางวัลของ
ความกล้าเสียงได้อย่างคุ้มค่า รางวัลที่สูงค่า ย่อมต้องกล้าสู้ความเสี่ยงที่สูง
ด้วยเช่นกัน คนรวยมักเป็นผู้ที่กล้าเสียงเสมอ
               คนรวย มีความคาดหวังต่อความสำเร็จ เขามีความมั่นใจต่อความ
สามารถของเขา มีความมั่นใจต่อความคิดสร้างสรรค์ตลอด และมีความเชื่อ
มั่นว่า สิ่งที่เขาทำต้องประสบความสำเร็จ
               คนจน มีความคาดหวังต่อความล้มเหลว เพราะเขาขาดความมั่นใจ
ในตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา และคิดว่าสิ่งที่เขาทำ
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ เขาเชื่อว่า ถ้าเขาทำไปจะต้องประสบ
ความหายนะแน่นอน
              อย่างไรก็ตาม คนเราเกิดมา ถ้ามีร่างกายครบ 32 มีจิตใจเป็นปกติดี
และรู้จักใช้ความคิด ย่อมต้องทำบางสิ่งเพื่อเป็นการลงทุนให้กับชีวิตบ้าง
เริ่มตัดสินใจ ตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มีการเงินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม
ควรแสวงหาโอกาสที่จะสร้างผลกำไรให้แก่ชีวิตของตน แทนที่จะคิดถึงการ
ขาดทุน สูญเสีย และล้มเหลว
             วันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพัฒนาศักยภาพในการปลุกความคิด
ให้มีพลังอำนาจของความคิดปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกอย่างชัดเจน เป็นพลัง
ผลักดันให้ท่านมีความคิดที่มีพลังมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายได้อย่างประสบ
ความสำเร็จ สมความปรารถนา

8/25/10

หนังสือเกี่ยวกับพลังจิต ตอนที่2

     ตามที่สัญญาว่าจะนำมาลงให้อ่านกันอีก 1 เล่มค่ะ ถึงช้าแต่ก็ไม่ลืมนะจ้ะ
ชื่อเรื่องว่า   ยุทธศาสตร์พัฒนาจิต ผู้เขียนท่านเดิมคือ ดร.บุญเลิศ สายสนิท
คิดว่าคนที่สนใจเรื่องพลังจิตคงจะรู้จักท่านกันเป็นอย่างดีแล้ว

     มีทั้งหมด25 ยุทธศาสตร์
1     กฏของการเป็นมนุษย์
2     จิตรอบรู้เรื่องที่ทำให้เราเสียเวลาและพลังงานแห่งชีวิต
3     จงรักชีวิตของตนอย่างแท้จริง
4     ความรู้ ความเข้าใจ คุณค่าของคน
5     พลังดีมีอำนาจมากที่สุดในจักรวาล
6     สร้างจิตสำนึกและหมั่นเติมพลังงานให้ตนเองทุกวัน
7     พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งความคิด
8     พลังคิดพิชิตความจน
9     สูตรสั่งจิตที่มีส่วนประกอบและหลักการสำคัญ
10     จูนกระแสจิตด้วยรอยยิ้มเพื่อสุขภาพ
11     บรรเทาความเครียดด้วยจิตผ่อนคลาย
12     กุญแจบุคลิกภาพของความสำเร็จที่ซ่อนเร้น
13     6วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย
14     10หลักพัฒนาจิตให้ทำงานอย่างมีความสุข
15      ใช้จิตวางแผนเร่งการเรียนรู้เร็ว
16     พัฒนาจิตพลิกสูตรแห่งความสำเร็จแบบยั่งยืน
17     ใช้จิตสำรวจตรวจสอบ การดำเนินชีวิตส่วนตัวอย่างรอบคอบ
18     ศาสตร์สรรค์สร้างจิตให้คิดใหม่
19     บันได 15ขั้น ก้าวสู่ความสำเร็จ
20     พลังอำนาจของความคิดด้านลบ
21     พลังอำนาจจิตของความคิดในเชิงบวก
22     วิธีกำหนดเป้าหมายของคุณ
23     หลักการดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
24     หลักการดำเนินชีวิตเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี
25     หลักการเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

รูปเล่มเป็นดังนี้จ้า
จะขอเลือกบางส่วนมาเขียน เดา ๆ เอาแล้วกันว่าคนส่วนใหญ่น่าจะอยากรู้เรื่อง
   ยุทธศาสตร์ที่13   :   6 วิธีสร้างพลังจิตให้คิดรวย
     การที่จะมีความมั่งคั่งร่ำรวยได้นั้น คุณต้องมีความต้องการ ความมั่งคั่งร่ำรวย
สภาวะจิตของคุณต้องคิดถึงความมั่งคั่งร่ำรวย นี่คือสิ่งทีี่เราต้องโปรแกรมจิต
เริ่มจากการพิสูจน์  คุณต้องมีความเชื่อว่า คุณสามารถที่จะรวยได้   ฝึกจิตของคุณ
ให้บรรลุถึงความสำเร็จ ต่อไปนี้จะเป็นวิธีการสร้างการคิดรวย

     คุณเคยพูดหรือเคยมีความเชื่อในประโยคเหล่านี้บ้างไหม
-     คุณต้องทำงานหนักถึงจะได้เงิน
-     การมีเงินนั้น มันเป็นเรื่องของคนอื่น ๆ เขา ไม่ใช่ฉัน
-     การจัดการกับการเงินนั้น เป็นเรื่องยาก
-     เป็นการยากที่จะหาเงินให้ได้มาก ๆ
-     ต้องมีเงินต่อเงิน จึงจะได้เงินมา
-     การดำรงชีวิตด้านจิตวิญญาณ ไม่ควรคิดว่าเงินสำคัญ
-     ชั่วชีวิตนี้ ฉันจะไม่มีวันร่ำรวยแน่นอน
-     ไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรือสิ่งใด ไม่เห็นทางว่าจะร่ำรวนได้เลย

     คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติแนวคิดที่มี  ความเชืื่่่่อในเรื่องความรวยที่อยู่ในขอบเขตจำกัด
ให้เป็นความเชื่อว่าจะต้องรวยได้อย่างไร้ขอบเขตจำกัด

     การที่คุณจะร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่การโปรแกรมจิตตามความคิดของคุณ คำพูดและ
การกระทำของคุณเป็นเครื่องบ่งบอกว่า คุณจะเป็นคนมั่งมีหรือเป็นคนจน

     พลังอำนาจของความคิดนั้นมีจริง ทุกครั้งที่คุณคิด สิ่งที่คุณคิดจะก่อตัวตนและปรากฏ
ขึ้น ทำให้คุณรู้สึกได้ ทำให้ตัวคุณเองและผู้อื่นมองเห็นได้ ดังเราจะเห็นคนที่ิคิดถึงความ
ผิดหวัง คิดถึงการตัดสินใจผิดพลาดไป คิดถึงความสูญเสีย หรือคิดถึงความล้มเหลว
แม้แต่เหตุการณ์เหล่านี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความคิดเหล่านี้ก็ยังคุกกรุ่นอยู่ในความรู้สึก
และอารมณ์ตลอดเวลา ทำให้ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์เช่่นนี้ถูกผลักดันจากภายใน
ออกมาปรากฏภายนอก ทำให้เห็นบุคลิกลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป มองดูอ่อนเปลี้ย
เพลียแรง คล้ายหมดกำลังวังชา หน้าตาซูบเซียวหมองคล้ำ ส่วนผู้ที่คิดบวกสร้างสรรค์
คิดถึงสิ่งที่ตนได้มาหรือกำลังจะได้มา สิ่งที่ได้มานี้จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความเป็นอยู่
ดีขึ้น และทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข ความคิดเช่นนี้ แม้คิดอยู่ภายใน
แต่ก็จะปรากฏออกมาภายนอกให้เห็นได้อย่างชัดเจน อากัปกิริยาท่าทาง บุคลิกที่มีพลังใจ
พลังกายแสดงออกมา มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงว่องไว กระปรี้กระเปร่า ดวงตา
สดใสเป็นประกายแห่งความสุขสดชื่นแจ่มใส มีรอยยิ้มในดวงตาและบนใบหน้าอย่างเห็น
ได้ชัด บ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ที่ดีมีความสุขอยู่ภายใน ผลักดันให้ปรากฏ
ออกมา ดังนั้น พลังอำนาจของความคิดนั้นจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์เราทุกคน
  
     โดยทั่วไปแล้ว คนรวยมักคิดดี คิดใหญ่ คิดได้ ไม่คิดเสีย แตกต่างไปจากคนจน ที่คิด
กลัว คิดไม่กล้า คิดท้อใจ คิดเบื่อหน่าย คิดเกียจคร้าน ขาดความเชื่อมั่น คิดลบ คิดระวัง
ระแวงไปต่าง ๆ นา ๆ จนทำให้ชีวิตอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้า และในที่สุดทำให้ไม่ประสบความ
สำเร็จในชีวิต แม้วัยจะล่วงเลยไปถึง เลข 4 เลข5 หรือเลข6 และนับวันตัวเลขแห่งวัยที่
เพิ่มขึ้น แสดงออกให้รู้ว่าบทละครแห่งชีวิตใกล้จะปิดฉากลง เป็นฉากสุดท้ายที่จบลง
อย่างทุกขเวทนา และน่าสงสาร

ในตอนหน้าเราจะมาอ่านต่อถึง 6วิธีที่จะสร้างพลังจิตให้คิดรวยกันจ้า