ที่มาของบทความ: ธรรมะใกล้ตัว
หมอพีร์
มกราคม ๒๕๕๐
ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ
วันนี้มีลูกค้าเก่าโทรมานัด บอกว่าจะพาคุณยายมาดูดวง
พอถึงเวลาที่นัดไว้ซึ่งเป็นคิวแรกพอดี ก็เดินเข้ามาในห้อง
ดูหน้าตาแล้ว ไม่เหมือนเป็นคุณยายอย่างที่บอกไว้
เหมือนเป็นคุณแม่มากกว่าคุณยายอีก หน้าตายังดูไม่แก่ ผิวพรรณก็ยังไม่เหี่ยวมาก
สวัสดีทักทายเสร็จก็เชิญนั่ง ถาม วันที่ เดือน พ.ศ. ที่เกิด
พอได้เห็น พ.ศ. เกิด และคำนวณออกมา ต้องเรียกว่าคุณยายจริง ๆ
เพราะปีนี้อายุแปดสิบแล้ว ซึ่งก็ถือว่าอายุยืนมากสำหรับคนสมัยนี้
โดยปรกติลูกค้าที่มาดูดวงส่วนใหญ่ อายุไม่ค่อยจะเกินหกสิบเท่าไหร่
ถ้าวันไหนที่มีลูกค้าอายุขึ้นเลขแปดมาดู จะทำให้ฉันได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ
มาช่วยลูกค้าที่ยังอายุน้อย ๆ ว่าจะทำอย่างไร จึงจะผ่านดวงเคราะห์ร้ายต่าง ๆ ได้
โดยดวงคุณยายบอกอยู่แล้วว่า เป็นคนชอบทำบุญทำทาน
จึงทำให้ดวงเรื่องการเงินหายนะไม่เป็นไปตามดวง
และส่วนใหญ่คุณยายมักจะเก็บเงินเป็นทรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน
ไม่ค่อยได้เก็บเป็นเงินสดไว้
ซึ่งตอนต้นชีวิต คุณยายก็ไม่ได้เก็บเงินเป็นอสังหาริมทรัพย์
แต่เพราะเป็นคนใจอ่อน อดใจที่จะให้คนยืมเงินไม่ได้ และพอให้เงินคนอื่นยืม
ก็มักจะไม่เคยได้คืนสักครั้งเลย เลยตัดสินใจเก็บเป็นทรัพย์สินไว้
มนุษย์เราพอกรรมเล่นงานเรื่อย ๆ กรรมเบาลง ก็ทำให้เกิดปัญญาคิดได้
เช่น คุณยายโดนโกงไปหลายครั้ง จนกรรมเบาลง
พอถึงเวลาที่คิวของบุญให้ผล ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้คิดได้ว่า
ต้องเก็บเงินไว้ในรูปแบบอื่น
บวกผลของบุญที่ได้ทำตลอด ก็จะทำให้หาเงินสดมาผ่อนที่ดินได้หมด
การที่จะมีฐานะที่มั่นคงไม่เดือดร้อนทางด้านการเงินนั้น
ไม่ได้เกิดจากผลแห่งบุญแต่เพียงอย่างเดียว
ต้องอยู่ที่ความขยันที่จะทำให้ทรัพย์สินเพิ่ม
ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินรายได้ของตัวเอง ไม่ยุ่งกับการพนันทุกชนิด
ไม่ติดสุรา ไม่คบเพื่อนที่เที่ยวมากเกินไป
วันนี้คุณยายมาดูเรื่องของการขายที่ดิน ว่าจะขายได้ไหม
ซึ่งคุณยายคิดที่จะขายที่ดิน เพราะอยากจะได้เงินสดมาเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนอยากจะเก็บไว้ทำบุญตามที่อยากจะทำ
ดวงคุณยายมีดวงขายที่ดิน จึงบอกว่ามีเกณฑ์ขายได้
ส่วนเรื่องสุขภาพ ตามดวงตัวเลขในตำราหมอดู จะมีเกณฑ์อายุสั้น
แต่คุณยายเหนือดวงด้วยการทำกรรมดีมาตลอด
จึงทำให้ดวงไม่เดินตามดวงตัวเลข
คุณยายมักจะได้ทำบุญ กับผู้ป่วยโรงพยาบาลอยู่เสมอ
ปล่อยสัตว์อยู่เรื่อย ๆ และยังได้ทำบุญด้านอื่นที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกาย
ความเจ็บป่วยของมนุษย์ ตามกำลังที่จะทำได้
บวกกับการที่ คุณยายโชคดีมีบุญเก่าหนุน
ทำให้เกิดในครอบครัวที่สอนให้รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์เพิ่ม
ทำบุญสร้างกุศล และภาวนา
ศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยพลอยทำให้ดูเป็นคนแก่ที่ไม่ขี้บ่น ไม่แก่เร็ว
กรรมที่จะหนัก ก็เลยกลายเป็นเบา หรือเวลาที่โดนกรรมเล่นงาน ก็หนีได้ทัน
แถมยังเป็นคนไม่ค่อยคิดมาก ไม่หลงไม่ลืมอะไรง่าย
ภาษาอังกฤษที่เคยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมา ยังพูดได้ดีอยู่เลย
ด้วยเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลที่คุณยายได้ทำไป
จึงทำให้คุณยายเป็นคนอายุยืนเหนือดวง ไม่มีราหูที่จะครอบดวงได้
ไม่จนไม่ตกอับเรื่องของการเงิน เพราะผลแห่งทานที่ได้ทำมาตลอด
ไม่เป็นคนแก่ที่หลงขี้ลืมอะไรง่าย มีความจำดี
มีเหตุและผลไม่ขี้บ่นจนทำให้ลูกหลานเบื่อหน่าย
เพราะปฏิบัติภาวนา ขัดเกลากิเลส แถมยังฉลาดทันโลกอีกด้วย
แต่ในใจลึก ๆ เหมือนยังมีห่วงอยู่ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นทุกข์มาก
ก็คิดว่าคงห่วงลูกห่วงหลาน ก็ได้ถามว่าคุณยายมีอะไรสงสัยถามได้นะคะ
คุณยายก็ถามว่าแล้วคุณแม่และคุณน้า จะอยู่ได้อีกนานไหมคะ
ฉันตกใจกับคำถามเล็กน้อย คิดในใจว่าคุณยายอายุแปดสิบแล้ว
คุณแม่และคุณน้า ของคุณยายจะอายุเท่าไหร่กัน
คุณยายให้ดวงมาคำนวณ คุณแม่อายุ ๑๐๒ ปี คุณน้าอายุ ๘๖ ปี
ปฏิทินร้อยปีเปิดง่ายมาก อยู่ตอนต้นเล่มพอดี
ตั้งแต่ดูดวงมานี่เป็นครั้งแรก ที่มีโอกาสได้ดูดวงคนอายุเป็นร้อย
ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกมากเหมือนกัน ที่ดวงทั้งสามคน
คุณยาย คุณแม่ คุณน้ามีดวงอายุสั้น แต่ไม่เห็นมีใครสั้นซักคนเลย
ทุกคนอายุเกินมาตรฐาน ๗๕ ปีหมดเลย
ก็เตือนไปว่าใครต้องระวังอะไร ตอนอายุเท่าไหร่
บอกกับคุณยายว่า บ้านคุณยายเหนือดวงกันทั้งบ้าน
ทั้ง ๆ ที่ดวงอายุสั้น แต่ไม่สั้นกันทั้งบ้าน
เป็นเพราะผลของกรรมดีที่ทำกันทั้งบ้าน ทำให้อายุยืน
คุณยายเล่าให้ฟังว่า คุณแม่เคยเป็นมะเร็ง ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
คุณหมอที่รักษาให้ตอนนี้เกษียณกันหมดแล้ว หมอตายก่อนคุณยายก็มี
จนตอนนี้คุณแม่ของคุณยายอายุ ๑๐๒ ปีแล้ว มะเร็งหายแล้ว
และได้เล่าอีกว่าคุณแม่ชอบทำบุญมาก
ตอนสมัยที่มีสงครามโลก พระที่วัดไม่มีข้าวจะฉัน
คุณแม่เป็นแม่งานใหญ่ทำกับข้าวเลี้ยงพระทั้งวัด
และแจกคนแถวนั้น ตลอดระยะเวลาที่มีสงคราม
คุณแม่คิดจะบวชตลอดชีวิต ก็ได้ไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมแล้ว
แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องออกมาช่วยลูกสาวเลี้ยงหลาน เพราะไม่มีใครช่วยเลี้ยง
คุณน้ายังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วทำงานบ้านได้อยู่เลย
ถึงแม้จะมีโรคร้ายเบียดเบียน ผลแห่งกุศลที่ทำไป ก็จะทำให้เจอหมอที่เก่ง
ไม่สะเพร่า กินยาไม่ดื้อยา ไม่แพ้ยา สามารถรักษาให้หายได้
และที่สำคัญ ผลแห่งการภาวนาทำให้ไม่กลัวตายมากจนจิตใจหดหู่
และเป็นทุกข์เพราะความกลัว “ความตาย”
ความเป็นจริงมนุษย์เราเกิดมาก็ต้องตาย
แต่อยู่ที่ใครจะไปช้าหรือไปเร็วกว่ากันแค่นั้นเอง
หลายคนที่เคยไปดูหมอมักจะโดนทักว่าดวงกำลังจะถึงฆาต
หรือต้องตายอายุเท่านั้นเท่านี้ กำหนดอายุมาให้พร้อมเลย
คนที่จิตอ่อนคิดมากไปดูหมออาจจะอายุสั้น
เพราะคำทำนายของหมอดู ทำให้คิดมากนี่แหละค่ะ
การที่ดวงออกมาเป็นดวงอายุสั้น หรือดวงที่มีเคราะห์นั้น
เกิดจากกรรมเก่าที่เคยฆ่าสัตว์ ทำให้ต้องมาเกิดในฤกษ์เกิดที่มีเคราะห์
และอายุสั้น แต่ถ้าทำกรรมดีใหม่ ๆ ก็จะเป็นตัวแปรที่สามารถเปลี่ยนดวงได้
หรือว่าใครมีโรคร้ายอยู่เพราะกรรมเก่าเป็นเหตุ
ทำให้มีอายุอยู่ได้อีกไม่นาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้
ลองมาเปลี่ยนเส้นทางออกจาก นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต
ไปสู่เส้นทางที่จะไปสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นมนุษย์ กันดีกว่า
เริ่มจากการสำรวจว่า ได้ทำกรรมหนักอะไรไหมในชีวิตที่ผ่านมา
โดยใช้ศีลห้าเป็นหลักในการตัดสิน
พอพบแล้วว่าได้ทำผิดไป ก็สำนึกผิดในกรรมที่ทำไป
ตั้งใจที่จะไม่ทำผิดอีก และไม่ต้องสำนึกผิดบ่อยเกินไป
ถ้าเราสำนึกผิดบ่อยมากเกิน
มันจะเป็นตัวเชื่อมโยงกรรมเก่า ๆ ที่ทำมาเล่นงานตัวเราเร็วขึ้น
ถ้าเคยทำกรรมกับพ่อกับแม่ไว้ ก็ไปกราบขอให้ท่านอโหสิกรรมให้
และก็สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน ใช้บทสวดสั้น ๆ ก็ได้
เพื่อที่จะได้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เป็นพึ่งทางใจให้อบอุ่น
เพราะไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ในตอนนั้น และก็แผ่เมตตา
เวลาที่โกรธใครก็พยายามให้อภัย
ถ้าช่วงไหนใจมันไม่ยอมให้อภัยง่าย ๆ ก็ค่อยสอนบอกต่อว่า
ไหน ๆ ก็จะไม่อยู่แล้ว ให้อภัยไปเถอะ
เวลาดูข่าว ได้ยินเรื่องสะเทือนใจ ก็แผ่เมตตา
และก็บอกตัวเองว่า “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม”
จิตใจจะได้ไม่ทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น
จิตที่เกิดความโกรธ
จะเป็นหนทางไปนรก
และพอร่างกายไม่สบายจิตใจก็จะหดหู่ คิดมาก
พยายามเดินจงกรม ให้มีสติ (ถ้าเดินไหว)
หรือไม่ไหวก็เคาะให้รู้สึกตัว ขยับไม้ขยับมือ
ง่ายสุด ดูลมหายใจตัวเองเพื่อดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันเรื่อย ๆ
จิตใจจะได้มีความสุขกับปัจจุบัน
จิตที่คิดมากฟุ้งซ่าน หดหู่
จะพาให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
พยายามสละทานเล็กน้อยอยู่เรื่อย ๆ
สมบัติอะไรที่รักมากหวงมาก ก็ลองพยายามสละออกให้คนที่เขาไม่มีโอกาส
เพื่อละความตระหนี่ จิตใจจะได้ไม่หวงสมบัติ
จิตที่มีแต่ความโลภ หวงสมบัติ
จะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ภพภูมิของเปรต
อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้
อนาคตอยู่ที่ปัจจุบัน
การกระทำในปัจจุบัน เป็นเครื่องกำหนดอนาคตของเรา
9/9/10
ดวงเหนือดวงได้ อยู่ที่การกระทำกรรมดีจริง ๆ
9/8/10
INCARNATIONเกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน2)

ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!!
เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา
เพื่อไปส่องสว่างยังคำตอบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั่นเอง
การดึงความคิดให้รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ความคิดมีพลังจดจ่ออยู่กับ
เป้าหมาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การเขียนสิ่งที่ต้องการลงในกระดาษทุก ๆ สิบนาที จดจ้อง
มองสิ่งที่เขียน กลั้นลมหายใจระหว่างจับจ้องข้อความนั้น
อาจมีคำถามว่า หากเป็นเช่นนั้น มิต้องเขียนทั้งวันหรอกหรือ คำตอบคือ ใช่!!!เพราะ
นีคือการสร้างความคิดที่จดจ่อ
อย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า สาเหตุที่เราเป็นคนเดิมที่เกียจคร้านหรือเฉื่อยชา
มิใช่ว่าเราไม่รู้จักเป้าหมาย อีกทั้งไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักวิธีการที่ดี แต่เป็นเพราะเราไม่จดจ่อ
อยู่กับเป้าหมาย และเป้าหมายเราไม่ดึงดูดใจมากพอ
มีคนเก่ง มีการศึกษาดี มีต้นทุนและเครื่องมือที่เพรียบพร้อมมากมายที่ไม่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะพวกเขาไม่รู้จักควบคุมความคิดให้รวมศูนย์ ผลก็คือเขาทำหลาย ๆ
อย่าง คิดหลายอย่าง และสนใจหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน จนสับสนปนเปกันไปหมด
อย่างเช่นคนที่มีความฝันสวยหรู กำลังมีความสุขกับการทำงานอยู่ดี ๆ ไปพบรักกับ
ผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอ จนเกิดความสุขสีชมพู วัน ๆ เอาแต่โทร
ศัพท์คุยกันวันละหลายชั่วโมง ต้องหาเวลาพาคนรักออกไปเที่ยว ไปรับประทานอาหาร
ดูหนัง ฟังเพลง ผลก็คือ ต้องเสียเวลาและพลังงานไป ไม่เหลืออะไรไว้สำหรับเป้าหมาย
ที่สดใสที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้น นี่คือเป็นเรื่องของการจดจ่อทางความคิด
เมื่อความคิดของคุณแตกแยกเป็นหลายเรื่อง พลังดึงดูดจากจิตใต้สำนึกก็ซ่าน
กระเซ็น ทำให้สิ่งที่คุณต้องการก็จะมาถึงช้าลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจิตใต้สำนึก
ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆในเวลานั้น
วิธีการรวมศูนย์ของความคิด ให้เริ่มต้นที่การถามตัวเองด้วย คำถามนี้ซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่ยืน
เดิน นั่งหรือนอน ว่า
“ขณะนี้ฉันกำลังทำสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงอยู่หรือเปล่า” ”ฉันกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหรือเปล่า” ”สิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เวลานี้เร่งด่วนกว่าเป้าหมายหลักที่ฉันรักที่สุดหรือเปล่า” ”ฉันรอที่จะทำเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่กัน” ”ฉันกำลังเดินถอยหลังจากเป้าหมายหลักอยู่หรือเปล่า” |
ในสถานที่เงียบ ๆ หรือหากคุณยืนหรือเดิน ก็ให้ถามขณะยืนหรือเดิน ถามซ้ำ ๆ
ถัดมาให้หาเวลาในแต่ละวัน ๆละ10นาที ถอดจิตตัวเองด้วยวิธีขยายร่างเสมือนจริง
(Doubling body & mind)ด้วยการหลับตามองเห็นตัวตนคนเดิมของคุณที่ล้มเหลว
ผิดหวัง เสียใจ เกียจคร้าน เฉื่อยชา ติดคอมพิวเตอร์ ติดทีวี หรือนิสัยแบบไหนก็ตาม
ที่คุณต้องการขจัดออกไป โดยจินตนาการว่าคุณกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกท่วม
ตรงกลางมองเห็นตัวเองร้อนเหงื่อไหลเปียกโชกทั้งตัว แล้วค่อย ๆ เห็นเปลวไฟลุกโชนขยายขอบเขตใหญ่ขึ้นครอบคลุมร่างคุณผ่านไปสัก 2-3 นาที ให้จินตนาการมองเห็นตัวเองมีร่างกายสีทองสดใส ลุกขึ้นจากกองเพลิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ดวงตาเป็นประกายมั่นใจ ทรงพลัง แล้วเห็นตัวเองมีรูปร่างขยายใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็มองเห็นเปลวเพลิงค่อย ๆมอดดับลงช้าๆ สวนทางกับร่างกายของคุณที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเห็นสีผิวตัวเองจากสีทองเปล่งประกายค่อย ๆเปลี่ยนสภาพเป็นสีเนื้อตามปกติแต่มีประกายสดใสมีชีวิตชีวา มองเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสดใหม่ มั่นใจเหลือล้นอยู่เช่นเดิม ให้ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบสิบนาที แล้วบอกตัวเองว่า
“อา…ในที่สุดเราก็เป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เวลานี้เรารู้สึกดีเหลือเกิน มีพลังเหลือเกิน มีความกระตือรือร้นเหลือเกิน เราพร้อมแล้วที่จะลงมือทำและอยู่กับเป้าหมายทันทีเดี๋ยวนี้และจดจ่ออยู่กับมันเท่านั้น จะไม่ยอมเสียเวลากับอะไรอื่น นอกจากนี้”
โดยให้คิดถึงข้อความนี้ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
วิธีการข้างต้นผมขอรับประกันว่ามันจะทำให้คุณสร้างตัวตนคนใหม่ให้เกิดขึ้นภายในได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อข้างในใหม่ผลลัพธ์ที่งดงามย่อมเปล่งประกายออกสู่ภายนอกโดยอัตโนมัติ
ที่ผมพูดถึงภายนอก หมายถึงในส่วนของร่างกายครับ อย่างที่บอก การเฝ้าร่างกายอย่างถูกวิธีจะทำให้เราไม่หลงทางทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์
เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไร้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องไม่ยากก็คือหากสิ่งที่ท่านทำไม่ส่งผลลัพธ์โดยตรงให้ท่านบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ให้รีบสรุปได้ทันทีว่านั่นแหละคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์
การที่ใครสักคนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อรอให้เวลาผ่านไป แม้ว่าคน ๆนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่ในระยะยาวไม่มีอะไรรับประกันว่า สิ่งนั้นจะเกิดประโยชน์ต่อคนทำ
ดูตัวอย่างคนเสพยา ซึ่งไม่ต่างจากคนเสพคอมพิวเตอร์ เสพโทรทัศน์ เสพการคุยโทรศัพท์ เสพวงสนทนา เสพสุรา เสพการติฉินนินทา เสพการวิพากษ์วิจารณ์ เสพการพักผ่อนนอนหลับ หรือเสพกามพวกเขาทำเพราะรู้สึกดี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป
ร่างกายคนโดยลำพังไม่สามารถทำอะไรได้ หากไร้ซึ่งอำนาจบงการของจิตใจ เมื่อไหร่ที่จิตใจขาดพลัง ความคิดขาดการรวมศูนย์ร่างกายก็จะไร้ซึ่งการควบคุม ทำให้เซลส์ของร่างกายขาดการชี้นำที่ถูกต้องเหมาะสม มันถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจและต่างเซลล์ก็ต่างเจตจำสง ผลก็คือร่างกายแต่ละส่วนจะทำผิดหน้าที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลการเจ็บป่วย ความแก่ชรา และบาดเจ็บล้มตายให้เห็นในที่สุด ความจริงแท้ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหย่ละเลย แต่มักจะไปโทษเวรกรรม บาปเคราะห์ อะไรทำนองนั้น
การเฝ้าสังเกตร่างกายอย่างถูกวิธี จะทำให้คุณประสานพลังเจตนารมณ์ให้เข้ากับร่างกายได้อย่างสอดคล้อง จะทำให้ร่างกายคุณอยู่ยืนยงและมีกำลังวังชาทำงานตามที่คุณสั่งได้อย่างไม่เกียจคร้านเหน็ดเหนือย
วิธีการง่าย ๆ คือให้เฝ้าสังเกตุพฤติกรรมในแต่ละวันว่า “ช่วงนี้ ฉันกำลังเสพติดอะไรอยู่” “สิ่งที่ฉันเสพอยู่นี้ให้อะไรแก่ตัวฉันอย่างถาวรบ้าง” “กิจกรรมที่เสพติดนี้ส่งผลให้ฉันคืบหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วหรือไม่” จงถามคำถามแบบนี้ให้บ่อยที่สุด
จากนั้นให้เฝ้าสังเกตุว่าทุกครั้งที่คุณนั่ง ยืน เดิน อ่าน ฟัง ดู สนทนา หรือตอบสนองกิจกรรมต่าง ๆ ทุก ๆขณะจิต ให้ถามตัวเองว่า “กิจกรรมที่กำลังเสพอยู่นี้ ใช่หนทางไปสู่เป้าหมายหรือ” ถ้าคำตอบว่าไม่ใช่ ให้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเปลี่ยนสิ่งที่กำลังทำอยู่เวลานั้นทันทีให้ฝึกทำเช่นนี้เป็นประจำ คุณจะพิชิตชัยชนะเหนือร่างกายและจิตใจแล้วกลายเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน ผมรับประกัน
ก่อนจากกันชั่วคราว ให้อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างจดจ่อและมีสมาธิ ซ้ำ ๆ อย่างน้อย 10เที่ยว
“นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะเป็นคนใหม่ที่มีพลังและมีศักยภาพมากกว่าเก่าอย่างสิ้นชิง ฉันจะลงมือทำสิ่งที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไม่เสพสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ฉันจะเป็นในสิ่งที่อยากเป็น ฉันเชื่อว่าฉันสามารถมีทุกอย่างที่อยากมี สามารถครอบครองทุกสรรพสิ่งที่อยากได้ ฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันเป็นคนใหม่แล้ว ฉันคิดการใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันมั่นใจ ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันนับจากนี้มันช่างยอดเยียมเหลือเกิน”ขอให้โชคดีและมีชีวิตที่เหลือเชื่อครับ !!!
ที่มา : หนังสือเกิดใหม่ในชาตินี้ / ผู้แต่ง : วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์
INCARNATION เกิดใหม่ในชาตินี้(ตอน1)
เป็นหนังสือจากนักเขียนที่ชื่นชอบอีกท่านนึงที่ติดตามผลงานมาก็หลายเล่มแล้ว
ผู้เขียนคือคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ ลองมาอ่านบางตอนที่น่าสนใจดูค่ะ
ในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภทเท่านั้น คือคนที่ประสบความสำเร็จและคนล้มเหลว
ไม่มีคนประเภทระหว่างกลางที่ก้ำกึ่งให้คุณเลือกเป็น หากคุณไม่อยู่ในเส้นทางที่มุ่ง
ไปหาความสุขและความสำเร็จ นั่นหมายความว่าคุณกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ตรงกันข้าม
ผลก็คือเมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า คุณจะวนกลับมาที่เดิมแล้วนั่งถามตัวเองว่าทำไม
เป้าหมายที่ใฝ่ฝันมันช่างห่างไกลเหลือเกิน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่เคยตัดสินใจที่จะ
เลือกเป็นคนใหม่และไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพื่อจะมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
เลยสักครั้ง
ทันทีที่คุณใช้วงจรชีวิตแบบเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม
และยังคบคนกลุ่มเดิม ๆ คุณจะไม่มีวันเป็นคนใหม่ได้เลย
หากคุณใช้เวลานอนเท่าเดิม กินอาหารแบบเดิม อ่านหนังสือแนวเดิม และไม่เคยลง
มือทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ต่างออกไป โอกาสที่จะเกิดเป็นคนใหม่ในชาตินี้ก็จะยังมาไม่ถึง
แต่การพบกับหนทางใหม่ที่สดใสอย่างฉับพลันก็มิใช่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป
เพียงแค่คุณทำตัวเป็นนกฟินิกซ์
นกฟินิกซ์เป็นสัตว์ในตำนานตามเทพนิยายอียิปต์โบราณและเชื่อต่อกันมาจนถึงสมัย
กรีก ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ของการจุติใหม่เป็นนกที่มีวงจรชีวิตยาวนานถึง 500 ปี
และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นกฟินิกซ์จะก่อกองไฟขึ้นเผาตนเองเพื่อกำเนิดเป็น
นกฟินิกซ์ตัวใหม่ที่เยาว์วัยจากกองถ่านขี้เถ้าและจากนั้นก็จะมีชีวิตต่อไปอีก 500ปี
วนเวียนตลอดไปอยู่อย่างนี้จนเป็นอมตะ
นกฟินิกซ์มีลักษณะคล้ายนกอินทรี นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าราวประกาย
แสงอาทิตย์ มีจงอยปากแหลมกว่านกอินทรีย์ ขนสีทองทั้งตัว บริเวณคอมีสีแดงสลับ
ม่วง มีเกล็ดสีทองวับวาวตามหน้าแข้งเล็บสีแดงบานคล้ายกลีบกุหลาบ
การมีชีวิตยืนยาวเยี่ยงนกฟินิกซ์รวมถึงการเผาตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ทำให้ชาวกรีก
และชาวโรมันนำภาพนกฟินิกซ์มาเป็นสัญลักษ์ของความเป็นอมตะและชัยชนะเหนือ
ความตาย
นี่เองเป็นที่มาของวิธีการหลอมละลายตัวตนคนเดิมแล้วหล่อรูปกายสร้างจิตวิญญาณ
ใหม่ที่ศาสตร์เอ็นแอลพีทำกันมาจนโด่งดัง
หลักการง่าย ๆ มีอยู่ว่า การที่คนเราไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็น
เพราะเราไม่เฝ้าสังเกตจิตใจและร่างกายอย่างถูกวิธี
การกระทำของคนมีความคิดเป็นตัวนำ แต่ความคิดมีเกิดดับตลอดเวลา ขอย้ำอีกครั้ง
ว่า ในแต่ละวันเรามีความคิดหลักผุดขึ้นมาประมาณ 500 เรื่องที่ทำให้เราใช้เวลาคิดในแต่
ละเรื่องมากกว่า 2 วินาที ยกเว้นบางเรื่องที่เราเสียเวลากับมันทั้งวัน แต่แม้กระนั้น เรื่องที่
เราคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ยังมีความคิดปลีกย่อยแทรกขึ้นมาอีก นี่ยังไม่นับความคิดเบ็ดเตล็ด
ผุดดับ ๆ อีกนับไม่ถ้วน ด้วยสภาพจิตใจแบบนี้ ทำให้คนเราขาดสมาธิ ไม่มีการจดจ่อ
และสิ่งที่ทำตรงหน้าก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ในที่สุดทำให้พลังดึงดูดของเราก็ทำงานไม่เต็มที่
ด้วยความคิดจำนวนมากที่เกิด ๆ ดับ ๆ เช่นนี้ ทำให้พลังแห้งการคิดของเราขาดการ
รวมศูนย์ ผลก็คือเราไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงพอ หมายความว่า
เราไม่สามารถรวมจิตให้มีพลังเหมือนลำแสงเลเซอร์
ต้องไม่ลืมว่าลำแสงเลเซอร์คือกลุ่มพลังงานที่มีเครื่องมือชนิดพิเศษนำพลังแสงมา
รวมไว้ในที่เดียวกันจนบังคับทิศทางได้ ทำให้เกิดพลังงานเข้มข้น สามารถทะลุทะลวงโลหะ
ได้อย่างง่ายดาย

Subscribe to:
Posts (Atom)
-
การอยู่เฉยๆ ทำตัวนิ่ง แบบ คนว่างงานนั้น มีประโยชน์อยู่มากมายอะไรบ้าง มาดูกันเลย ได้คุณภาพของงาน...
-
สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้...
-
ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!! เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา เพื่อไปส่องสว่างยังค...