11/13/10

Brainวิธีลับสมอง

art_239925
1  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ด้านความคิด การวางแผนจัดการ
2  เคี้ยวอาหารให้ละเอียด  ผลการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยืนยันว่า การเคี้ยวช่วยกระตุ้นสมองส่วนความจำที่เรียกว่า ฮิพโพแคมปัส ควรเคี้ยวคำละ 30 ครั้งขึ้นไปหรือจะเคี้ยวหมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลเสริมด้วยก็ได้
3  ฟังเพลงคลาสสิค ทั้งของบาค (Bach) บีโทเฟน (Beetoven) โมสาร์ท (Mozart) เวลาที่เหมาะคือก่อนนอนหรือช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายเพื่อช่วยปรับคลื่นความคิด
4  รับประทานอาหารเช้า ร่างกายและสมองต้องการสารอาหารเพื่อใช้เป็นพลังงานหลังจากว่างเว้นมาเกือบ 12 ชั่วโมง การรับประทานมื้อเช้าจะทำให้สมองกระปรี้กระเปร่า มีสมาธิ ความคิดแล่นฉิว
5  อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์  พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ๆ อาจมีมุมมองบางด้านที่เรามองข้ามหรือคิดไม่ถึง การเรียนรู้ความคิดเห็นของผู้อื่นผ่าน 3 วิธีข้างต้น จะช่วยเปิดโลกทัศน์ มองสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างไกลและรอบด้าน อีกทั้งรู้จักยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย
6  วาดรูป  คุณอาจจะอุทธรณ์ว่าฝีมือวาดรูปไม่เป็นสับปะรด แต่การวาดรูปที่ช่วยลับสมองนี้ไม่จำเป็นจะต้องออกมาเหมือนผลงานจิตรกรมือเอก เมื่อคุณจดบันทึกเรื่องอะไร ก็ให้มองทุกอย่างในภาพรวมแล้วประมวลความคิดออกมาเป็นรูปประกอบเรื่องนั้น ๆ จะช่วยคุณจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องจาก หนังสือalternative medicine,ภาพจาก beauty2healthy4u.com

11/11/10

ผู้หญิงกับไมเกรน

10378_20_2[1]
       มีผลการศึกษาออกมาว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นไมเกรนมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะสตรีในช่วงอายุ 25-34 ปี กล่าวคือพบในผู้หญิง 17% ส่วนผู้ชาย 6% ทั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือน การอดอาหารเพื่อรักษารูปร่าง การรับประทานอาหารที่มีผงชูรสหรือประทานไม่เป็นเวลา
            แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าไมเกรนเกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อกันว่าส่วนหนึ่งเป็นไมเกรนไวในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ อากาศ แสง สี เสียง กลิ่นฯลฯ ดังนั้นเพื่อป้องกันอาการกำเริบคุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นไมเกรน ไม่ว่าจะเป็น อากาศร้อนจัด หนาวจัด การอยู่กลางแดด ความเครียด ความวิตกกังวล การอดนอน การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (แต่ต้องไม่มากเกินไป การนอนหลับที่เกินพอดีก็เป็นปัจจัยกระตุ้นไมเกรนเช่นกัน) ออกกำลังกาย รู้จักปล่อยวาง หางานอดิเรกที่โปรดปราน เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หากต้องการใช้ยาในการรักษาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
เรื่องจากหนังสือ alternative medicine

มาทานอาหารเช้ากันเถอะ

ที่มา หนังสือalternative medicine

 2007-10-31_124913_re_อาหารเช้า_1

        ด้วยภารกิจที่รัดตัว ด้วยเวลาที่เร่งรีบ ด้วยความต้องการลดความอ้วนและอื่น ๆ อีกมากมายที่หลายคนยกมาเป็นเหตุผลในการละเลยอาหารม้อเช้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคือมื้อที่สำคัญที่สุด จากมื้อเย็นจนถึงมื้อเช้าเป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร หากคุณข้ามมื้อเช้าไปก็จะกลายเป็น 18 ชั่วโมงกว่าที่จะมีสารอาหารตกถึงร่างกายอีกครั้งในมื้อเที่ยง

          ยามตื่นนอนระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำร่างกายจำเป็นต้องได้รับพลังงานเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาล แต่ถ้าคุณไม่ทานอาหารเช้า ร่างกายจะต้องไปดึงเอาคาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทน แต่คาร์โบไฮเดรตจากตับซึ่งมีสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นมาใช้งานแทนพลังงานจากอาหารได้อย่างเต็มที่ คนที่พลาดอาหารเช้าจึงขาดความกระฉับกระเฉงหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย หัวสมองไม่ค่อยแล่นเมื่อเทียบกับคนที่ทาน นอกจากนี้คนที่ไม่ทานมื้อเช้ามีแนวโน้มที่จะทานหนักในมื้อเย็น ซึ่งเป็นมื้อที่ควรทานน้อยที่สุดเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการพลังงานน้อยและอาหารถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมได้ง่าย

         กินมื้อเช้าอย่างราชา กินมื้อเย็นอย่างยาจก แล้วคุณจะมีกำลังวังชา สมองแจ่มใสไปตลอดวัน

ขอบคุณ เรื่องจากหนังสือalternative medicine,photo:webboard sanook.com