12/26/10

ไม่มีกำลังใจ... ทำอย่างไรดี

ไม่มีกำลังใจ... ทำอย่างไรดี  ท่านคงจะเคยได้ยินได้ฟังคนอื่นพูดหรือบ่นอยู่เสมอว่า 
ไม่ค่อยมีกำลังใจจะทำอะไรเลย โดยความเป็นจริงแล้ว
มนุษย์เราทุกคนเมื่อเกิดมาย่อมต้องการความรัก ความอบอุ่น ความสุขสมหวัง ความสำเร็จ ความร่ำรวย ตลอดจน ร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็มิใช่ว่าจะประสบกับความสุขสมหวังเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องประสบกับความผิดหวัง ในสิ่งที่พึ่งปรารถนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม บางคนก็สามารถ แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ แต่ก็มีหลายรายที่ไม่สามารถปัญหาได้ตามที่คาดหวังไว้

ผู้ที่ขาดกำลังใจนั้น มักจะมีความรู้สึก เบื่อหน่าย ท้อแท้ หดหู่ เซื่องซึม ไม่กระตือรือร้นที่จะกระทำกิจกรรมใดๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านมีความรู้สึกขาดกำลังใจเช่นว่านี้ก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จงพยายามค้นหา ใคร่ครวญ ตรึกตรอง พินิจพิจารณาถึงสาเหตุแห่งความผิดหวังหรือความล้มเหลวนั้นซึ่งสาเหตุของการหมดกำลังใจ มีได้หลายสาเหตุ ได้แก่
1. ด้านร่างกาย อาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายไม่สมประกอบ มีโรคประจำตัว เจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถทำงานได้เหมือนผู้อื่น สิ่งเหล่านี้มีผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่ายหมดกำลังใจได้
2. ด้านจิตใจ อาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัว คือรู้ตัวว่ามีปัญหาและรู้ว่าปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ไม่สามารถขจัดหรือแก้ปัญหานั้นได้ จึงเกิดความไม่สบายใจเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่พึงปรารถนา หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่มีกำลังใจ เงินทองก็มีใช้ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี แต่ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองดู ก็จะรู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร สาเหตุอาจจะอยู่ลึกๆ หรือฝังใจมาตั้งแต่เด็กจนเราอาจนึกไม่ถึงก็เป็นได้ เช่น  มีความน้อยเนื้อต่ำใจในรูปร่างของตัวเอง ความไม่ยุติธรรมของพ่อแม่หรืออาจจะรู้สาเหตุแต่ไม่ยอมรับ จึงเกิดอาการท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติกิจกรรมใดๆ ให้เป็นผลดีได้เท่าที่ควร
3. ด้านสังคม คือ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ เมื่อตนทำดีแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นความดี เช่น ทำงานมาหลายปี แต่เจ้านายไม่เคยเห็นความดี หรือความสำคัญของตนเลย 
วิธีที่จะทำให้เกิดกำลังใจ  มีดังนี้
1 ก่อนอื่นต้องพยายามหาสาเหตุเสียก่อนว่า การที่เราไม่มีกำลังใจนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วพยายามหาทางปรับปรุงแก้ไขและยอมรับเสีย
2 อย่าคิดหรือมองว่าตนเองเป็นคนมีปัญหา ไร้ความสามารถ คนอื่นที่เขามีปัญหา ไร้ความสามารถมากกว่าเราก็ยังมีอีกมาก เราต้องมาตั้งใจกระทำใหม่
3 อย่ามัวหมกตัวอยู่คนเดียว ลองพูดคุยกับผู้ที่เราไว้ใจ หรือเชื่อถือ อย่างน้อยก็เป็นการระบาย ความอัดอั้นตันใจของเราได้และเราอาจจะได้รับคำแนะนำ ชี้แนะจากเขาผู้นั้นก็เป็นได้
4 มองโลกในแง่ดี พยายามทำจิตใจให้สดชื่น อะไรต่างๆ ก็จะดูดีขึ้น
5 อ่านหนังสือดีๆ อาจจะได้รับความรู้ สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้น และยังทำให้เราเกิดความเพลิดเพลินอีกด้วย
6 ออกกำลังกายตามที่ท่านชอบและถนัด ซึ่งอาจจะทำให้สุขภาพแข็งแรงได้อีกด้วย
7 พยายามอย่าปล่อยให้มีเวลาว่างมากเกินไป ควรหางานอดิเรกทำ เช่น หัดทำกับข้าว เย็บปักถักร้อย ทำสวนครัว ฯลฯ เพราะอาจจะสนุกไปกับงานเหล่านั้น
8 เมื่อตื่นนอน ควรรีบลุกจากที่นอนทันที ควรมีแผนการทำงานของแต่ละวันและทำงาน ด้วยความกระฉับกระเฉง ตั้งใจที่จะกระทำกิจกรรมต่างๆ อย่างจริงจัง 
จากวิธีที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะทำให้ท่านที่ขาดกำลังใจกลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะส่งผลทำให้ชีวิต ของคุณมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณบทความจาก http://www.love4home.com/
ขอขอบคุณบทความคุณธาริณี มาลัยมาตร์ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
 

12/14/10

คุณต้องหาสิ่งที่รักให้เจอ

หนังสือทำสิ่งที่รัก…ยังไงก็รุ่ง

         เขียนถึงหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งที่สองแล้วเนื่องจากว่ามีความจริงดี อีกหลายอย่างที่เรามองข้ามและเราไม่ทันสังเกตุกับมันจนมาได้อ่านหนังสือของคุณบัณฑิต จึงรู้สึกว่าจริงสิทำไมเราไม่รีบทำสิ่งที่เรารักเสียแต่วันนี้ เรามัวแต่ทำตามคนอื่นว่าดี นั้นเราลองคิดตามที่หนังสือบอกว่าให้คิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆนั้นคืออะไร ลองมาอ่านหนังสือเล่มนี้กันต่อเลยดีกว่าคะ

ตอนผมอายุ 17 ผมได้อ่านคำคมบทหนึ่งที่กล่าวทำนองว่า
“ถ้าคุณใช้ชีวิตแต่ละวันให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ ในที่สุด คุณก็จะมีวันหนึ่งที่เป็นวันสุดท้ายของคุณจริงๆ”
คำพูดนี้ฝังใจผมมาตลอด และตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลา 33 ปี ผมจะมองกระจกทุกเช้าและถามตนเองว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตผมผมจะอยากทำสิ่งที่กำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า?” และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาเป็นไม่ใช่ หลายวันติดต่อกัน ผมก็รู้ทันทีว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ในชีวิตแล้ว
การนึกได้ว่าผมอาจจะตายเร็ว ๆนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยผมได้ดีที่สุดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของชีวิต เพราะแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากภายนอก ศักดิ์ศรี ความกลัวการขายหน้าหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะหายไปจากความคิดทันที เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เหลือเพียงแต่สิ่งที่สำคัญกับเราอย่างแท้จริงการตระหนักได้ว่าเราจะต้องตาย เป็นทางที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะพ้นจากกับดักของความคิดที่ว่าคุณมีอะไรต้องเสีย เพราะในความเป็นจริงชีวิตคุณนั้นเปลือยเปล่าอยู่แล้ว
                                ฉะนั้น
มันไม่มีเหตุผลใด ๆที่จะไม่ทำตามหัวใจของคุณเอง
เวลาของคุณนั้นมีจำกัด ฉะนั้นอย่าเสียมันไปกับการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่างติดอยู่ในกรอบความคิดคนอื่น อย่าให้เสียงของความเห็นคนอื่นดังกลบเสียงข้างในตัวคุณเอง และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าทำตามที่หัวใจและเสียงภายใน เพราะหัวใจของคุณมันรู้อยู่แล้วว่าจริง ๆ คุณต้องการจะเป็นอะไร สิ่งอื่นใดเป็นเรื่องรองลงมา
photo by hugmagazine

ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง

บัณฑิต อึ้งรังษี
ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
จากหนังสือทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง
เป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจอีกเล่มหนึ่งของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี เขียนเกี่ยวกับการทำความฝันหรืองานที่เรารักโดยไม่ต้องกลัวกังวล โดยใช้เทคนิคต่าง ๆในเล่มและข้อเสียของการอยู่กับงานที่เราไม่ได้รักมันจะดูดชีวิตชีวาของเราให้หายไปและทำให้เรากลายเป็นคนซังกะตายหมดความฝันเลยทีเดียว วันนี้จะขอนำบางส่วนในหนังสือเล่มนี้มาเขียนให้อ่านกันนะคะ
เปรียบเทียบกระบวนการแบบเก่า&กระบวนการแบบใหม่
กระบวนการแบบเก่า(สร้างคนธรรมดา)
1   หาว่าทำอะไรแล้วรวย หรือมั่นคง(เอาเงินเป็นโจทย์ตั้ง)
2   พยายามจะทำงานนั้น ไม่คำนึงว่าตนชอบหรือไม่
3   กระโดดไป กระโดดมาจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งเห็นคนอื่นทำบางอย่างแล้วรวย ก็ทำตาม
4   ไม่เก่งสักอย่าง
5   ไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่รัก แล้วสิ่งที่เรียนมาตั้งแต่แรกก็ทำได้ไม่รุ่งเพราะสู้คนที่ทำงานนั้นเพราะรักไม่ได้
6   อายุมากขึ้นถูกlay offจากงาน เพราะบริษัทสามารถหาคนใหม่ที่ถูกกว่าได้ หรือไม่ก็ทนทำงานไปวันๆ(ราชการไล่ออกไม่ได้)รอวันเกษียณ
7   มีชีวิตอยู่แบบซังกะตาย
8   ไม่ได้สร้างสิ่งที่มีคุณค่ากับสังคมเท่าไรนัก เพราะตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลยจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
9    จากโลกนี้ไปแบบไม่ได้ทิ้งอะไรที่มีค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง
กระบวนการแบบใหม่(สร้างคน พิเศษ ที่ใช้ชีวิตเต็มศักยภาพ)
1    หาให้เจอว่าอะไร คือ งานแห่งชีวิต ที่รักและถนัด
2    คิดถึงตอนจบ ว่าตนต้องการไปถึงตรงไหน ( เช่น เป็นcloth designer อยู่เมืองนอกมีแบรนด์เป็นของตนเอง หรือทำงานอยู่เมืองไทย มีธุรกิจใหญ่เป็นของตนเอง)
3   ใช้เวลาฝึกฝนสิ่งนั้นจนเก่งมาก ๆ
4    มีความสุข สนุกตลอดเวลาในการเดินทาง
5    หาวิธีรุ่งจากสิ่งนั้น ถ้ายากที่จะเห็นในตอนแรก
6    ทุกอย่างตามมา เงินทอง ชื่อเสียง ความสุขในการทำงาน
7    สร้างสิ่งที่มีคุณค่าให้สังคม และคนรุ่นต่อไป(เพราะตนเองมีเหลือเฟือ สามารถให้เวลา เงินทอง คำแนะนำ บริการที่ดี สิ่งของผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ฯลฯกับคนอื่น)อย่างสตีฟ จ๊อบส์ เฉินหลง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เจ.เค. โรว์ลิ่ง
8   จากโลกนี้ไปแบบ เปลี่ยนโลกเป็นที่จดจำของคนรุ่นหลัง เช่น คานธี เบโอเฟ่น จอห์น เลนนอน