เขียนโดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ (www.bt-training.com) Email:tpongvarin@yahoo.com ,Tel.089-8118340 เมื่อวันจันทร์ และวันอังคารที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปบรรยาย หลักสูตร การบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ (Manage Your Time) ให้กับ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบริหารเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อช่วยสร้างสมดุลย์ระหว่างชีวิตครอบครัว และชีวิตการทำงาน จึงอยากนำประสบการณ์บางส่วนมาแลกเปลี่ยน ผมขอถามท่านก่อนว่า ท่านเคยถามตัวเองอย่างนี้บ้างหรือไม่? “ฉันอยากจะมีเวลาซักวันละ 30 ชั่วโมง” "ฉันอยากมีความสุขกับชีวิตมากกว่านี้” “ฉันมักจะถูกไฟลนก้นอยู่เสมอ” “ฉันหาสมดุลของชีวิตการทำงาน และครอบครัวไม่ได้” “ฉันเครียดเหลือเกินแล้วใช่ไหมเนี้ย?” “แล้วฉันจะบริหารชีวิตอย่างไรดีจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ?” เวลา คือสิ่งที่สำคัญ เพราะแล้วหมดไป มีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน หรือ 1,440 นาที แต่ทำไม? บางคนถึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น และการงานก็เจริญก้าวหน้า ตรงข้ามกับใครอีกหลายคน ที่ต้องทำงานกลับบ้านดึก หอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว นี่นะหรือชีวิตของฉัน? หลายคนติดอยู่กับกับดักของความเร่งด่วน เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีงานมากจนเกินความสามารถ หรือไม่กล้ามอบหมายงานให้คนอื่นทำ เลยทำเองทั้งหมด ไม่กล้าให้คนอื่นทำงานแทน เพราะกลัวขาดความสำคัญ หรือ จัดลำดับงานไม่ได้ เพราะงานทุกชิ้น ก็ด่วนทุกชิ้น เป็นต้น การบริหารเวลาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะคุณค่าของเวลานั้น ขึ้นอยู่กับคุณค่าของการใช้เวลาของตัวเราเอง เพราะถ้าหากเราใช้เวลาในปัจจุบันได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็จะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในอนาคตของเราอย่างแน่นอน ตรงข้าม หากเราปล่อยชีวิตไปวันๆ จุดจบสุดท้ายของชีวิต ก็คือความล้มเหลวโดยไม่ต้องสงสัย วันนี้จึงอยากให้ทุกท่านลองคิดดูนะครับว่าท่านได้ใช้เวลาไปคุ้มค่า มากน้อยเพียงใด และสิ่งที่ทำไปในแต่ละวันนั้นมีส่วนช่วยทำให้ท่านบรรลุความฝันที่ได้ตั้งใจเอาไว้หรือไม่? ถ้าใครตอบว่า "ใช่" แล้วละก็ ผมก็ดีใจด้วย แต่ถ้าหากใครตอบว่า "ไม่ใช่" ผมก็ดีใจด้วยเหมือนกัน เพราะว่าอย่างน้อยท่านก็รู้ตัวว่า ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องรีบปรับปรุงตัว แต่ถ้าใครตอบว่า "ไม่รู้ หรือไม่แน่ใจ ว่าใช้เวลาไปคุ้มหรือไม่" แล้วละก็ควรรีบวิเคราะห์ตนเองโดยด่วนเลยละครับ เพราะเวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง ต้องใช้อย่างคุ้มค่า มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งผมแลกเปลี่ยนแนวคิด โดยเรียกว่า บันได 6 ขั้นในการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ ดังนี้ 1. มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน โดยเป้าหมายนั้นต้อง วัดได้ เป็นไปได้ ทำได้จริง ไม่เกินกำลังความสามารถของเรา 2. จัดลำดับความสำคัญเร่ง ด่วน อะไรสำคัญ กว่า เร่งด่วนกว่า ก็ลงมือจัดการกับงานนั้นก่อน จากนั้นก็ค่อยๆจัดการกับงานส่วนที่เหลือ สำหรับหลักการที่นิยมมากที่สุดคือ ควรจัดการกับงานที่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน ซึ่งงานประเภทนี้มักจะเป็นการวางแผนงา การป้องกัน การพัฒนา เป็นต้น 3. ประเมินเวลาที่จะใช้จริงก่อนเริ่มงานในแต่ละวัน โดยก่อนที่จะเลิกงานในแต่ละวันควรวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อกำหนดกิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติ และประเมินเวลาที่ต้องใช้ในแต่ละกิจกรรมนั้น นอกจากนี้ควรเผื่อเวลาเอาไว้อย่างน้อยอีกซัก 30นาที หรือ 1 ชั่วโมง เผื่องานด่วนเข้ามา 4. ลงมือปฏิบัติตามกิจกรรมในแต่ละช่วงเวลาอย่างเคร่งครัด นั่นหมายถึงว่าท่านต้องมุ่งมั่นต่องานที่ปฏิบัติ โดยใช้เวลาตามที่ได้กำหนดไว้ ถ้าหากใช้เกินเวลาต้องรีบเร่งทำงานนั้นให้เสร็จโดยเร็วที่สุด 5. กำจัดสิ่งรบกวน แน่นอนครับในแต่ละวันจะมีพวกงานด่วน งานเร่ง งานจร การขอคำปรึกษา การประชุมนอกแผนงาน ซึ่งเราไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งเราต้องเรียนรู้ที่จะกำจัดงานประเภทเหล่านี้ออกไปบ้าง อย่าไปรับเอามาเสียทั้งหมด (แต่อย่าทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเราปัดงาน หรือเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น) เพราะงานเหล่านั้นจะรบกวนเวลาที่เราได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งงานเหล่านั้นอาจกระทบต่อแผนการใช้เวลาที่เรากำหนดเอาไว้ 6. ทบทวนการใช้เวลา และเรียนรู้จากการใช้เวลาที่ผิดพลาด หลังจากใช้เวลาไปจนหมดวัน ก็มาทบทวนดูซิว่า เราใช้เวลาไปกับงานที่ช่วยสนับสนุนทำให้ชีวิตของเราเจริญก้าวหน้า งานที่ไม่เกี่ยวกับงานของเรา หรือใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรทำไปมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็พิจารณาเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน นี่ก็คือบันได 6 ขั้น เพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จครับ สุดท้าย จากการวิเคราะห์ผู้ที่มีความสามารถในการบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมนั้นมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ "ความมีวินัยในตนเอง" เพราะความมีวินัยนี่แหละครับ คือปัจจัย ที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในทุกๆสิ่งที่เราต้องการ ขอให้โชคดี และสนุกสนาน กับการบริหารเวลากันทุกคนนะครับ............. |
1/11/11
บันได 6 ขั้นเพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ
1/6/11
วิธีเจริญอสุภะ
วิธีเจริญอสุภะ อนึ่ง เมื่อจะเจริญอสุภะ พึงเจริญดังนี้ก็ได้ว่า อัตถิ อิมัสมิง กาเย ของไม่งามเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดมีอยู่ในกายนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มังสา นะหารู อัฏฐี อัฏฐิมิญชัง วักกัง คือ เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง คือเนื้อหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง คือ ไส้ใหญ่ สายเหนี่ยวไส้ ราก ขี้(คูถ) มัตถะเกมัตถะลุงคังคือ เยื่อในสมองศีรษะ ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ โลหิตัง เสโท เมโท คือ น้ำดี น้ำเสมหะ น้ำเหลืองน้ำหนอง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น อัสสุ วะสา เขโฬ สิงฆานิกา ละสิกา มุตตัง คือ น้ำตา น้ำมันเปลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำเยี่ยว ผมนั้น งอกอยูตามหนังศีรษะ ดำบ้างขาวบ้าง ขน นั้น งอกอยู่ตามขุมขนทั่วกาย เว้นไว้แต่ฝ่ามือฝ่าเท้า เล็บ นั้น งอกอยู่ตามปลายมือปลายเท้า ฟันนั้น งอกอยู่ตามกระดูกคางข้างบนข้างล่าง สำหรับ เคี้ยวอาหาร ชุ่มอยู่ด้วยน้ำลายเป็นนิตย์ หนัง นั้น หุ้มทั่วกาย เอาผิวนอกออกเสียแล้ว มีสีขาว เนื้อ นั้น มีสีแดง เหมือนกับชิ้นเนื้อสัตว์ เอ็น นั้น รัดรวบโครงกระดูกไว้ มีสีขาว กระดูก นั้น เป็นร่างโครงค้ำแข้งอยู่ในกาย มีสีขาว เยื่อในกระดูก นั้น มีสีขาว เหมือนกับยอดหวายที่เผาไฟอ่อน แล้วใส่ไว้ในกระบอกไม้ฉะนั้น เยื่อในขมองศีรษะ นั้น เป็นยวงๆ เหมือนกับเยื่อในหอจุ๊บแจง ม้าม นั้น คือแผ่นเนื้อมีสีแดงคล้ำๆ สองแผ่นมีขั้วอันเดียวกัน เหมือนกับผลมะม่วงสองผลมีขั้วอันเดียวกันฉะนั้น อยู่ข้างซ้ายเคียงกับหัวใจ เนื้อหัวใจ นั้น มีสีแดง สัณฐานดังดอกบัวตูม ตั้งอยู่ท่ามกลางอก ตับ นั้น คือแผ่นเนื้อสองแผ่น สีแดงคล้ำๆ ตั้งอยู่ข้างขวาเคียงเนื้อหัวใจ พังผืด นั้น มีสีขาว เหนี่ยวหนังกับเนื้อ เอ็นกับเนื้อ กระดูกกับเอ็น ติดกันไว้บ้าง ไต นั้น เป็นชิ้นเนื้อสีดำคล้ำเหมือนกะลิ้นโคดำอยู่ชายโครงข้างซ้าย ปอด นั้น เป็นแผ่นเนื้อสีแดงคล้ำ ชายเป็นแฉกปกเนื้อหัวใจอยู่ท่ามกลางอก ไส้ใหญ่ นั้น ปลายข้างหนึ่งอยู่คอหอย ปลายข้างหนึ่งอยู่ทวาร ทบไปทบมา มีสีขาว ชุ่มอยู่ด้วยเลือดในท้อง สายเหนี่ยวไส้ใหญ่ นั้น มีสีขาว ราก นั้น คือของที่กลืนกินแล้วสำรอกออกมาเสียฉะนั้น คูถ นั้น คือของที่กินขังอยู่ในท้องแล้วถ่ายออกมาฉะนั้น น้ำดี นั้น สีเขียวคล้ำๆ ที่เป็นฝักอยู่ท่ามกลางอก ที่ไม่เป็นฝักซึมซาบอยู่ในกาย น้ำเสมหะ นั้น มีสีขาวคล้ำๆ เป็นเมือกๆ ติดอยู่กับพื้นไส้ข้างใน น้ำเหลืองน้ำหนอง นั้น มีอยู่ในที่สรีระมีบาดแผล เป็นต้น น้ำเลือด นั้น มีอยู่ตามขุมถูกในกายและซึมซาบอยู่ในกาย น้ำเหงื่อ นั้น ซ่านออกตามขุมขนในกายเมื่อร้อนหรือกินของเผ็ด น้ำมันข้น นั้น มีสีเหลือง ติดอยู่กับหนังต่อเนื้อ น้ำตา นั้น ไหลออกมาจากในกายเมื่อไม่สบาย น้ำมันเหลว นั้น เป็นเปลวอยู่ในพุงเหมือนกับเปลวสุกร น้ำลาย นั้น ใสบ้าง ข้นบ้าง น้ำมูก นั้น เหลวบ้า ข้นบ้าง เป็นยวงออกจากนาสิก น้ำไขข้อ นั้น ติดอยู่ตามข้อกระดูก น้ำเยี่ยว นั้น เกรอะออกจากรากแลคูถ อะยะเมวะ กาโย กายประชุมส่วนเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดนี้นั่นแลอุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มันมีหนังหุ้มอยู่ที่สุดรอบปุโร นานับปะการัสสะ อะสุจิโน มันเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เชคุจโฉ ปะฏิกุโล แต่ล้วนเป็นของไม่งามมีกลิ่นเหม็น ปฏิกูลน่าเกลียดหมดทั้งสิ้น อสุภกัมมัฏฐานหรืออสุภสัญญานี้ เป็นข้าศึกแก่ราคะ ความกำหนัดยินดีโดยตรง ผู้ใดมาเจริญอสุภะ เห็นเป็นของไม่งามในกาย เห็นกายเป็นของไม่งามปฏิกูลน่าเกลียด จนเกิดความเบื่อหน่ายไม่กำหนัดยินดี ดับราคะ โทสะ โมหะ เสียได้ ผู้นั้นได้ชื่อว่า ดื่มกินซึ่งรสพระนฤพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสรรเสริญ กายะคตาสติอสุภกัมมัฏฐานนี้ว่า “ผู้ใดได้เจริญกายคตาสตินี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่าบริโภคซึ่งรสคือนฤพาน เป็นธรรมที่ผู้ตายไม่มี” ดังนี้ นฤพานนั้นก็ดับราคะ โทสะ โมหะนั้นเอง เหตุนั้น เราทั้งหลายจง อย่าได้ประมาทในกายะคตาสติ นี้เลย อุตส่าห์เจริญเถิด จะได้ประสพพบพระนฤพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เลิศกว่าธรรมหมดทั้งสิ้นนี้ วิธีเจริญอสุภะ ปอด: http://www-medlib.med.utah.edu/WebPath/jpeg1/LUNG001.jpg หัวใจ: http://www-medlib.med.utah.edu/WebPath/jpeg5/CV001.jpg ตับ: http://www-medlib.med.utah.edu/WebPath/jpeg4/LIVER001.jpg กระดูก: http://vhgallery.gsm.com/subscribe/happy_halloween.jpg ไต: http://www-medlib.med.utah.edu/WebPath/jpeg1/RENAL003.jpg สมอง: http://www-medlib.med.utah.edu/WebPath/jpeg5/CNS315.jpgที่มา จากคุณปราณ เวปบอร์ดพลังจิตดอทคอม | |
อานิสงส์ของเมตตา ๑๑ อย่าง
ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ย่อมได้อานิสงส์ ๑๑ อย่างดังนี้ คือ
(๑)
หลับก็เป็นสุข
ไม่ทุรนทุราย ละเมอไปต่างๆ ฯลฯ
(๒)
ตื่นก็เป็นสุข
คือ ตื่นด้วยความอิ่ม ไม่ตื่นแบบหวาดผวา งัวเงีย
(๓)
ไม่ฝันร้าย
คนเจริญเมตตาจะฝันดี รู้สึกสบายใจในเรื่องที่ฝันเห็น
(๔)
อมนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
อมนุษย์ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด ได้แก่
สัตว์เดรัจฉาน เทวดา เปรต อสุรกาย ที่เรียกว่า ผี และ
สัตว์นรก ... ในที่ใดที่มีภัย อมนุษย์ทั้งหมดจะรักใคร่
ไม่ทำร้ายผู้เจริญเมตตา
(๕)
มนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
คนที่มีเมตตา ไม่พยาบาทกับใครนั้น ทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
รักใคร่เอ็นดูสงสาร อยากจะช่วยเหลือ
(๖)
เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครองผู้นั้น
เทวดานั้นชอบคนดี ย่อมคุ้มครองคนดี จึงกล่าวกันว่า
มีเราบางคนมีเทวดาติดตามอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ก็เพราะว่า
เทวดาบางองค์นั้นเคยเป็นแม่ของเราในชาติก่อน หรือเคย
เป็นพ่อหรือเคยเป็นเพื่อน หรือบางท่านไม่เคยเป็นอะไรกัน
แต่ได้เมตตาจิตจากเรา ก็ให้การคุ้มครองรักษา
(๗)
ไฟ ศาสตรา อาวุธ ยาพิษ ไม่อาจจะกร้ำกรายผู้นั้นได้
อันนี้สำคัญมาก ถ้าใครสามารถนำของขลังคือ เมตตา เข้ามา
ไว้ในตัวเราได้แล้ว คือ ทำเมตตาจิตนี้ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็น
ต้องเสกน้ำล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องแขวนพระที่เจริญเมตตาคุณ
เข้ามาไว้ในตัว นี้เป็นอานิสงส์ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้
(๘)
ผิวหน้าย่อมผ่องใส
คนเจริญเมตตานี้ ย่อมมีผิวพรรณผ่องใส
ผู้ที่เจริญเมตตามากมองดูแล้วสบายใจ เข้าไปหาท่านแล้วชื่นใจ
เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนทั่วไป ผิวพรรณก็ผ่องใสด้วย
อายุก็ยืน ผิวหน้าไม่มีริ้วรอยแห่งความโกรธ
(๙)
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว
ถ้าใครเจริญเมตตาอยู่เป็นประจำบ่อยๆ ทุกวัน ทุกคืน
จิตจะเป็นสมาธิได้ไวกว่าคนที่ไม่เจริญเมตตา
(๑๐)
เมื่อตายเป็นผู้ไม่หลงตาย
เพราะการเจริญเมตตาจิตบ่อยๆ ความหลงตายในขณะตาย
จะไม่มี ไม่เพ้อ บางคนก่อนตายเพ้อย่างนั้นอย่างนี้ จำอะไร
ไม่ได้ แม้แต่คนใกล้ชิด แต่คนที่เจริญเมตตาจิตนี้เป็นคน
ไม่หลงตาย
(๑๑)
เมื่อจากโลกนี้ไปก็ไปบังเกิดในพรหมโลก
นี้หมายถึงท่านผู้ใดที่ได้ฌานโดยเฉพาะเท่านั้น สำหรับผู้ที่
ยังไม่ได้ฌาน ก็ไปบังเกิดตามภพภูมิของตนๆ
(๑)
หลับก็เป็นสุข
ไม่ทุรนทุราย ละเมอไปต่างๆ ฯลฯ
(๒)
ตื่นก็เป็นสุข
คือ ตื่นด้วยความอิ่ม ไม่ตื่นแบบหวาดผวา งัวเงีย
(๓)
ไม่ฝันร้าย
คนเจริญเมตตาจะฝันดี รู้สึกสบายใจในเรื่องที่ฝันเห็น
(๔)
อมนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
อมนุษย์ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด ได้แก่
สัตว์เดรัจฉาน เทวดา เปรต อสุรกาย ที่เรียกว่า ผี และ
สัตว์นรก ... ในที่ใดที่มีภัย อมนุษย์ทั้งหมดจะรักใคร่
ไม่ทำร้ายผู้เจริญเมตตา
(๕)
มนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
คนที่มีเมตตา ไม่พยาบาทกับใครนั้น ทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
รักใคร่เอ็นดูสงสาร อยากจะช่วยเหลือ
(๖)
เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครองผู้นั้น
เทวดานั้นชอบคนดี ย่อมคุ้มครองคนดี จึงกล่าวกันว่า
มีเราบางคนมีเทวดาติดตามอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ก็เพราะว่า
เทวดาบางองค์นั้นเคยเป็นแม่ของเราในชาติก่อน หรือเคย
เป็นพ่อหรือเคยเป็นเพื่อน หรือบางท่านไม่เคยเป็นอะไรกัน
แต่ได้เมตตาจิตจากเรา ก็ให้การคุ้มครองรักษา
(๗)
ไฟ ศาสตรา อาวุธ ยาพิษ ไม่อาจจะกร้ำกรายผู้นั้นได้
อันนี้สำคัญมาก ถ้าใครสามารถนำของขลังคือ เมตตา เข้ามา
ไว้ในตัวเราได้แล้ว คือ ทำเมตตาจิตนี้ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็น
ต้องเสกน้ำล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องแขวนพระที่เจริญเมตตาคุณ
เข้ามาไว้ในตัว นี้เป็นอานิสงส์ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้
(๘)
ผิวหน้าย่อมผ่องใส
คนเจริญเมตตานี้ ย่อมมีผิวพรรณผ่องใส
ผู้ที่เจริญเมตตามากมองดูแล้วสบายใจ เข้าไปหาท่านแล้วชื่นใจ
เป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนทั่วไป ผิวพรรณก็ผ่องใสด้วย
อายุก็ยืน ผิวหน้าไม่มีริ้วรอยแห่งความโกรธ
(๙)
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว
ถ้าใครเจริญเมตตาอยู่เป็นประจำบ่อยๆ ทุกวัน ทุกคืน
จิตจะเป็นสมาธิได้ไวกว่าคนที่ไม่เจริญเมตตา
(๑๐)
เมื่อตายเป็นผู้ไม่หลงตาย
เพราะการเจริญเมตตาจิตบ่อยๆ ความหลงตายในขณะตาย
จะไม่มี ไม่เพ้อ บางคนก่อนตายเพ้อย่างนั้นอย่างนี้ จำอะไร
ไม่ได้ แม้แต่คนใกล้ชิด แต่คนที่เจริญเมตตาจิตนี้เป็นคน
ไม่หลงตาย
(๑๑)
เมื่อจากโลกนี้ไปก็ไปบังเกิดในพรหมโลก
นี้หมายถึงท่านผู้ใดที่ได้ฌานโดยเฉพาะเท่านั้น สำหรับผู้ที่
ยังไม่ได้ฌาน ก็ไปบังเกิดตามภพภูมิของตนๆ
Subscribe to:
Posts (Atom)
-
การอยู่เฉยๆ ทำตัวนิ่ง แบบ คนว่างงานนั้น มีประโยชน์อยู่มากมายอะไรบ้าง มาดูกันเลย ได้คุณภาพของงาน...
-
สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้...
-
ความคิดของคนก็เป็นอย่างนั้นไม่ผิดเพี้ยน!!! เมื่อไหร่ที่เรารวมศูนย์ความคิดได้ มันก็จะมีพลังไปทะลุทะลวงกำแพงแห่งปัญหา เพื่อไปส่องสว่างยังค...