1/13/11

เทคนิคการสร้างพลังภายในเพื่อความสำเร็จ



ณรงค์วิทย์ แสนทอง
วิทยากร ที่ปรึกษาและนักเขียนอิสระ
www.peoplevalue.co.th
คนเราเกิดมาพร้อมกับความฝัน เช่น ฝันอยากเป็นโน่น อยากทำนั่น อยากได้นี่ อยากอยู่ที่นี่ อยากไปที่นั่น และมีคนจำนวนไม่น้อยที่แปลงความฝันเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้ เช่น อยากเป็นผู้จัดการภายใน 5 ปี อยากเก็บเงินให้ได้หนึ่งแสนบาทภายในสองปี อยากเรียนต่อปริญญาโทหลังจากทำงานแล้วสองปี อยาก......ฯลฯ
 
แต่…ความฝันมักจะกลายเป็นฝันค้าง ฝันสลาย เป้าหมายก็จะกลายเป็น เป้านิ่ง เป้าหนัก หรือบางครั้งก็กลายเป็นเป้าเน่าไปเลยเพราะเก็บไว้นานเกินไปเป้าหมายในชีวิตนั้นหมดอายุ เช่น ฝันอยากเป็นดาราตั้งแต่หน้าตายังเอาะๆตอนนี้หน้าเหี่ยวแล้วก็ยังไม่ได้เป็นเลย ฝันอยากจะเรียนต่อจนต่อนี้ลูกเรียนจบไปแล้วตัวเองยังไม่ทำอะไรเลย
 
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเดินไปไม่ถึงฝัน เดินไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง       ก็เพราะ “ขาดพลังภายใน(หมายถึงแรงจูงใจ แรงฮึด ความมุ่งมั่น ความปรารถนา)” คือไม่มีแรงจูงใจมากพอ บางคนมีแรงจูงใจแต่ไม่ต่อเนื่อง บางคนมีแรงจูงใจแต่มีน้อยกว่าปัญหาอุปสรรคเลยทำให้ท้อแท้ และพลังภายในมีข้อเสียตรงที่ไปซื้อหาที่ไหนไม่ได้ต้องสร้างขึ้นมาเองจากข้างใน ไปหยิบยืมใครมาก็ไม่ได้ ที่สำคัญพลังภายในหมดไวเพราะรั่วไหลได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาชีวิตเราท้อ พลังภายในแทบจะหมดเกลี้ยง สังเกตได้จากช่วงจังหวะที่ชีวิตที่เราย่ำแย่ เราจะรู้สึกเหนื่อยมากและเหนื่อยเร็วกว่าปกติทั้งๆที่เราไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย
 
ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำตัวอย่างแนวทางการสร้างพลังภายในให้กับตัวเอง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่ความฝันที่เป็นจริง ไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จที่เรากำหนดไว้ เช่น
 
สร้างพลังภายในจากความกลัว
บางครั้งเราจำเป็นต้องหลอกตัวเองให้รู้สึกกลัวอนาคตบ้าง ถ้าเรารู้สึกกลัวว่าอนาคตเราจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป จะช่วยให้เรามีพลังภายในเพื่อป้องกันการสูญเสียในปัจจุบันได้ เหมือนกับคนที่ถูกหมอดูทำนายทายทักว่าจะมีเคราะห์ทั้งๆที่จะจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ คนๆนั้นก็มักจะเกิดความกังวลหรือกลัว บอกให้ทำอะไรเพื่อป้องกันหรือลดเคราะห์กรรมที่จะมาถึง ก็ทำตามได้โดยไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งๆที่เรื่องบางเรื่องต้องลงทุนต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำไมทำได้ ก็เพราะ...ความกลัวเปลี่ยนเป็นพลังภายในนั่นเอง
 
ลองถามตัวเราเองดูว่าในชีวิตที่ผ่านมาเราเคยรู้สึกมีพลังภายในเพราะความกลัวบ้างหรือไม่ถ้าเคยก็ลองนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น พลังภายในเราเพิ่มขึ้นได้อย่างไร เช่น บางคนที่ต้องสูญเสียคนที่รักหรือเสาหลักของครอบครัวไป ไม่มีใครให้เป็นที่พึ่งมีภาระที่ต้องดูแลคนรอบข้างอีกหลายชีวิต ตัวเองคือคนที่อยู่ในสถานะที่ต้องดูแลคนอื่นชีวิตตอนนั้นจึงต้องสู้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ลองนึกดูว่าพลังภายในตอนนั้นมาจากไหน มาจากภาพของคนที่เราต้องดูแลฝังอยู่ในหัว ประทับอยู่ในใจตลอดเวลาใช่หรือไม่
 
และให้ถามว่าวันนี้เราจะรอให้สูญเสียก่อนแล้วค่อยสร้างพลังภายใน หรือเราจะสร้างพลังภายในจากความกลัวในอนาคตดีกว่าหรือไม่?
 
สร้างพลังภายในจากความอยาก
จริงๆแล้วทุกคนมีความอยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เราต้องเปลี่ยนความอยากนั้นๆให้เป็นพลังภายใน เหมือนการเปลี่ยนอาหารที่กินให้เป็นพลังงาน สาเหตุที่คนยังไม่สามารถเปลี่ยนความอยากให้เป็นพลังได้ก็เพราะ “อยากหลายเรื่องเกินไป” ทำให้แรงฮึดน้อย มีอาการเบื่อๆอยากๆ ไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง รู้สึกอยากเพราะสิ่งกระตุ้นภายนอก ไม่ว่าจากคนรอบข้าง จากการบริโภคสื่อ หรือกระแสสังคม
 
ดังนั้น ถ้าต้องการสร้างพลังภายในจากความอยาก ขอแนะนำให้สะสมความอยากให้มากๆ โดยการเพิ่มระดับของเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ถ้าต้องการเก็บเงินเพื่อไว้ใช้ยามจำเป็น เราอาจจะมีแรงฮึดน้อย ก็ให้เปลี่ยนเป้าหมายให้ท้าทายมากขึ้น เช่น เก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน เก็บเงินเพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือเก็บเงินเพื่อส่งลูกเรียนให้จบด๊อกเตอร์ เพราะเป้าหมายที่ท้าทายมักจะมีความหมายต่อความอยาก และระดับความอยากก็จะมีผลโดยตรงต่อพลังภายในที่เกิดขึ้น ถ้าความอยากของเราคนเดียวไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เราเกิดแรงฮึด ก็อาจจะต้องเอาไปบวกกับความคาดหวังของคนอื่นเข้ามาอีกแรงหนึ่งด้วยโดยการไปสร้างพันธะสัญญากับคนรอบข้างว่าเราจะทำโน่นทำนี่ ทั้งนี้ เพื่อให้คนรอบข้างช่วยเสริมแรงบวกทางใจให้เราอีกทางหนึ่งด้วย
 
สร้างพลังภายในจากความสำเร็จของผู้อื่น
ถ้าเราเป็นไข้หวัดธรรมดาร่างกายเราอาจจะมีภูมิคุ้มกันได้ เป็นก็หายเองได้ แต่ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่เราจำเป็นต้องพึ่งยาจากหมอจึงจะหาย เช่นเดียวกันกับการสร้างพลังภายในให้กับตัวเอง บางครั้งเชื้อเพลิงที่จะนำมาสร้างพลังภายในมีน้อยหรือหมด เราสามารถไปหยิบยืมเอาความสำเร็จของผู้อื่นมาเป็นเชื้อเพลิงทางใจได้ เพราะความสำเร็จของเรามักจะมีพลังต่อจิตใจของเรา โดยเฉพาะความสำเร็จของคนที่ตรงกับเป้าหมายชีวิตของเรามักจะมีพลังมากกว่าความสำเร็จในเรื่องอื่น ยิ่งเราได้มีโอกาสได้เข้าไปใกล้ชิดหรือได้ฟัง ได้เห็น ได้ยินคนที่ประสบความสำเร็จถ่ายทอดมาโดยตรง ยิ่งทำให้เกิดพลังมากกว่าการอ่านหรือฟังจากสื่อต่างๆ เพราะในขณะที่ผู้ที่ประสบความสำเร็จถ่ายทอดแนวคิดหรือประสบการณ์ออกมานั้น เขาได้ส่งพลังภายในของเขาออกมาให้เราสัมผัสได้ด้วยสีหน้า แววตา และท่าทาที่ทรงพลังยิ่งกว่าการอ่านหนังสือเสียอีก
 
ใช้พลังงานภายในให้คุ้มค่าในช่วงเวลาที่ Peak
พลังภายในเราไม่แตกต่างอะไรจากไฟในแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือที่มีเต็มหลังจากชาร์ต เมื่อใช้ไปนานๆแบตลดลงๆจนเหลือน้อยหรือหมดเกลี้ยง สิ่งที่น่าเสียดายคือบางช่วงเรามีพลังภายในเยอะมาก แต่เราไม่ได้ใช้ให้คุ้มค่า ปล่อยให้พลังภายในหมดไปตามกาลเวลา ช่วงเวลาที่เราประสบความสำเร็จในชีวิตบางอย่างเป็นช่วงที่เรามีพลังภายในสูงมาก เราน่าจะนำเอาพลังงานส่วนเกินนั้นไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับชีวิตให้มากที่สุด เช่น เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหม่ๆ เราควรจะรีบลงมือทำโน่นทำนี่ คิดนั่นคิดนี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อยากอ่านหนังสือให้รีบอ่าน อยากปรับปรุงตัวเองให้รีบทำ อยากคิดโครงการให้รีบคิดรีบเขียน ช่วงเวลานี้ร่างกายและจิตใจของเรามีความอดทนสูงมาก จะทำงานดึกจะมาทำงานแต่เช้าก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะพลังภายในมากพอที่จะจัดการกับข้ออ้าง จัดการกับปัญหาอุปสรรคทั้งหลายได้
 
ประหยัดการใช้พลังภายในในยามที่ชีวิตมีปัญหา
ถ้ามีเงินไม่มากอย่าพยายามซื้อโน่นซื้อนี่ ขอให้ใช้เงินอย่างประหยัด เพราะถ้าเงินน้อยแล้วใช้ไม่ประหยัดอีกยิ่งทำให้ชีวิตเดินเข้าไปสู่หุบเหวแห่งการเป็นหนี้ได้ง่าย เช่นเดียวกันกับช่วงจังหวะชีวิตที่พลังภายในเราตกต่ำหรือเหลือน้อย อย่าพยายามหาเรื่องที่ต้องบั่นทอนกำลังใจเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดิมที่คั่งค้างอยู่ในจิตใจหรือเรื่องใหม่ที่ยังมาไม่ถึง เราต้องพยายามรักษาระดับแบตเตอรี่ใจให้ใช้ได้นานที่สุด  หรือไม่ก็ต้องรีบหน้าทางไปชาร์ตแบตใหม่อย่างเร่งด่วน
 
จงเก็บสะสมพลังภายในอย่างต่อเนื่อง
คนเรามักจะมีพลังภายในแบบวูบวาบ เวลามีก็มีเยอะเกินไปจนเหลือใช้ เวลาหมดก็หมดเลย เช่น คนจะเริ่มไปหากำลังใจจากพระ จากหมอดูหมอเดา จากที่ปรึกษา จากหมอ ก็ต่อเมื่อตัวเองมีความทุกข์มากแล้วเท่านั้น คนเราจะไปฝึกนั่งสมาธิ สวดมนต์ก็ต่อเมื่อมีปัญหาชีวิตที่หาทางออกไม่ได้ด้วยตัวเองแล้ว ซึ่งบางครั้งพลังภายในที่เราใช้เวลาสร้างเพียงสั้นๆไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันนั้นไม่ทันกับการใช้งานหรอก ทางที่ดีเราควรจะรู้จักสะสมพลังภายในให้กับตัวเองอย่างต่อเนื่อง เช่น การบริโภคข้อมูลข่าวสารความสำเร็จของผู้อื่น ฝึกจิตใจให้สามารถสร้างพลังภายในด้วยตัวเราเอง แบ่งปันความสำเร็จของตัวเองให้ผู้อื่น เพราะทุกครั้งที่เราแบ่งปัน เราจะได้พลังภายในกลับคืนมาเสมอ ไม่เชื่อลองพูดถึงความสำเร็จของตัวเองให้คนอื่นฟัง ให้สังเกตว่าตอนเรากำลังพูดหรือเพิ่งพูดเสร็จ เรารู้สึกอย่างไร มีไฟในตัวเองเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
 
ใช้พลังภายในเผาผลาญข้ออ้างเพื่อเปิดทางเดินให้ชีวิต
ถ้าเราต้องการให้รถยนต์วิ่งได้เร็วขึ้นโดยมีกำลังเครื่องยนต์เท่าเดิมคือต้องลดน้ำหนักการบรรทุกลงโดยการเอาสัมภาระบางอย่างออกจากรถ และรถคันนี้ต้องวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอไม่ใช่วิ่งๆหยุดๆโดยการเหยียบคันเร่งสลับกับการเหยียบเบรกไปตลอดทาง
 
ชีวิตคนเราก็เช่นกันถ้าเราต้องการให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าได้เร็วอย่างต่อเนื่อง เราต้องกำจัดภาระที่เป็นตัวถ่วงในชีวิตออกจากจิตใจให้ได้ ภาระบรรทุกของรถยนต์ชีวิตคือ ข้ออ้างและความกังวลซึ่งจะทำให้ชีวิตเราสูญเสียพลังงานไปกับการคิดทั้งสองเรื่องนี้
 
เราต้องพยายามสร้างพลังภายในให้เกิดขึ้นในใจให้มากพอที่จะกำจัดข้ออ้างและความกังวลให้หมดไป หรือน้อยลง เพื่อให้ชีวิตของเราเดินไปข้างหน้าได้ดีกว่าและเร็วกว่า
 
          สรุป พลังงานที่ขับเคลื่อนชีวิตของคนเรามีทั้งมาจากสิ่งกระตุ้นภายนอก และการสร้างขึ้นมาจากภายใน บางครั้งเราต้องอาศัยการพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์ชีวิตคันอื่นในกรณีชีวิตเราแบตหมดเกลี้ยง บางครั้งเราจำเป็นต้องสร้างมาจากภายในของเราเอง โดยใช้ความอยากและความกลัวเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังภายในเพื่อใช้ในชีวิตตัวเองและถ้ามีเหลือก็ควรจะเผื่อแผ่ให้เพื่อนมนุษย์คนอื่นบ้างเช่นกัน พลังภายในแปลกตรงที่เรายิ่งให้คนอื่นเรายิ่งมีพลังภายในเพิ่มขึ้น ลองถามตัวเองดูว่าทุกวันนี้เรามีพลังงานภายในมากพอที่จะทำให้ความสำเร็จในชีวิตเป็นจริงแล้วหรือยัง และพลังภายในของเรามาจากข้างในจริงๆหรือมาจากสิ่งกระตุ้นภายนอก และคำถามสุดท้ายคือ เราจะทำอย่างไรให้มีพลังภายในมากพอและต่อเนื่อง